วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2554

สวัสดีปีใหม่ หัวใจสดชื่นกันทุกคนครับ


วันนี้เป็นวันทำงานอย่างเป็นทางการวันสุดท้ายของผมครับ พรุ่งนี้จะเดินทางไปเพชรบูรณ์ ไปเยี่ยมพ่อแม่ที่อยู่ที่นั่นอยู่แล้ว และจะได้เจอกับพี่ๆ น้องๆ ที่มาเยี่ยมบ้านเนื่องในโอกาสวันปีใหม่กันด้วย พรุ่งนี้จะเป็นวันสุดท้ายของปี 2554 นี้ครับ ผมขอถือโอกาสนี้สวัสดีปีเก่ากับทุกท่านครับ เอาไว้เจอกันคราวหน้าค่อยมาสวัสดีปีใหม่กันอย่างเป็นทางการนะครับ ขอให้คุณพระคุณเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ท่านเคารพนับถือจงคุ้มครองให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง มีกำลังใจที่เข้มแข็ง ห้าวหาญ ตลอดไป และอย่าลืมสนุกกับชีวิตที่กำลังจะผ่านเข้ามาในวันข้างหน้าด้วยนะครับ สวัสดีครับ...

วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2554

แอบถ่าย...

สวัสดีเกือบปีใหม่ครับ ใกล้ปีใหม่แล้ว ดูบรรยากาศคึกคักดีนะครับ มีของน่ารัก น่าใช้ วางขายสำหรับซื้อไปเป็นของขวัญเต็มไปหมดเลยนะครับ หลายอย่างก็มีริบบิ้นผูกไว้เรียบร้อย ถ้าไม่คิดอะไรมากก็ซื้อไปให้เป็นของขวัญได้เลยต่างหาก ไม่ต้องห่อกระดาษ ช่วงนี้อากาศก็เย็นๆ ช่างเป็นใจให้มีแต่ความสำราญจริงๆ เลยช่วงนี้

ผมเอาภาพนี้มาลงให้ดูเพราะมันน่ารักดีแล้วก็มีความหมายต่อผมเองด้วย ผมถ่ายภาพนี้ (ที่จริงเป็นชุด มีหลายภาพครับ) ในวันหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นฤดูร้อน ปี 2542 วันนั้นผมไปชัยนาท แล้วพอดีตอนกลางวันไปเดินเล่นใต้ต้นมะม่วงก็เลยเห็นเจ้ากิ้งก่าท้องแก่ตัวนี้กำลังสาละวนอยู่กับการหาที่วางไข่ ผมชอบอะไรที่เป็นธรรมชาติๆอยู่แล้ว ก็เลยเฝ้ามองพร้อมถ่ายรูปไปด้วย ตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการวางไข่เลย

เจ้ากิ้งก่าน้อย เริ่มจากการกวาดพื้นเอาใบไม้ออกไปห่างๆ ให้เห็นพื้นดินโล่งๆ คือโล่งขึ้นมาหน่อยครับ แต่คงไม่ถึงกับเตียนเลยทีเดียวเพราะว่ามันคงจะปวดท้องมาก อยากออกลูกเต็มที เราก็เลยยังเห็นมีใบไม้เกะกะอยู่สองสามใบตรงนั้นอยู่นะครับ พอเห็นว่าโอเคแล้ว (มั้ง) มันก็เริ่มขุด ขุด แล้วก็ขุด โดยเอาขาหน้าตะกุย ตะกุย ระหว่างที่ขุดมันก็จะเงยหน้าขึ้นมาดูว่ามีอะไรมาป้วนเปี้ยนหรือจะเป็นอันตรายกับมันหรือเปล่า ก็ไม่มีอะไรครับ นอกจากผมที่นั่งจ้องอยู่พร้อมกับกล้องในมือ แต่ผมก็อยู่นิ่งๆ พอมันจ้องดูจนคิดว่าไม่มีอะไรแล้ว มันก็ขุดต่อ มันขุดๆ เงยๆ อยู่อย่างนี้พักหนึ่งจนได้หลุมที่ลึกพอ แล้วมันก็หยุดครับ จากนั้นก็เริ่มวางไข่ ทีละฟอง ทีละฟอง จนหมด ผมจำไม่ได้ว่ากี่ฟอง แต่ประมาณได้ว่า 4-5 ฟองครับ พอผมเห็นว่าไข่คงหมดท้องแล้ว ก็เลยเดินจากมา พร้อมกับนึกขอบใจที่เจ้ากิ้งก่าน้อยได้มอบประสบการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจให้กับผมในวันนั้น...

แล้วพบกันใหม่ครับ สวัสดีครับ...

วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ตำรวจผู้ต่อกรกับโรค VHL!

Jeff Romanoff Picture

นี่คือรูปคุณ Jeff ครับ เป็นตำรวจซึ่งผมเดาว่าน่าจะที่สหรัฐอเมริกาครับ คุณเจฟอายุ 43 ปี และตรวจพบว่าตัวเองเป็นโรค VHL ครับ จากความตั้งใจเดิมที่อยากจะเป็นตำรวจเพื่อต่อสู้กับผู้ร้าย ตอนนี้คุณเจฟต้องมาผจญกับโรค VHL แทนครับ คุณเจฟผ่านการผ่าตัดมาหลายครั้งรวมทั้งได้รับการปลูกถ่ายไตด้วย ตอนนี้คุณเจฟต้องต่อสู้กับโรคร้ายนี้เพื่อครอบครัวซึ่งก็มีลูกด้วย และเนื่องจากว่าโรคนี้ยังไม่มีทางรักษา คุณเจฟก็เลยตั้งใจที่จะหาทุนช่วยเหลือโครงการวิจัยของโรคนี้ครับ จริงๆ แล้วจดหมายจาก VHLFA ที่ผมได้รับนี้เป็นจดหมายเชิญชวนให้บริจาคเพื่องานวิจัยครับ ผมเอามาลงให้ดูเพราะต้องการบอกต่อว่ายังมีคนที่เป็นโรคนี้อยู่อีกเยอะ และทั่วโลก เราไม่ได้อยู่คนเดียวหรอกครับ สวัสดีครับ

วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554

สมาชิกในครอบครัว... ของเสือธรรมแข้งดาบ... คุณพ่อผมเองคร้าบบ


สวัสดีครับ พบกันวันนี้จะขอแนะนำสมาชิกในครอบครัวหน่อยนะครับ ภาพนี้ลูกสาวคนเล็กวาดไว้เมื่อสักสองสามเดือนที่แล้วครับ เห็นน่ารักดีก็เลยเอามาลงไว้ เป็นภาพสมาชิกในครอบครัวครับ รวมกันหมดทั้งสี่แม่รวมทั้งแม่ผม แม่ผมหรือแม่เทียมจิต ซึ่งเป็นชื่อของ blog นี้ด้วย เสียชีวิตแล้วประมาณปี 2517 ครับ พ่อมีแม่ใหม่อีกสามคน ซึ่งตอนนี้ก็อยู่กับแม่สองคนที่เพชรบูรณ์ ลูกๆ ของทั้งสี่แม่รวมกันแล้วก็ 14 คนครับ ประมาณนี้ ถ้านับเฉพาะพี่น้องท้องแม่เดียวกันกับผมก็ 8 คน ในจำนวนนี้เป็นโรค VHL ซะ 4 คนครับ ซึ่งก็ผ่าตัดสมองกันแล้วทั้งหมด เข้าใจว่าพี่ชายผมอีกคนที่ยังไม่มีอาการใดๆ จะมียีน VHL ผิดปกติด้วยครับ เพียงแต่ยังไม่แสดงอาการใดๆ เท่านั้นเอง ถึงอย่างนั้นก็ต้องระวังครับ เพราะมีหลักฐานปรากฏแล้วว่าบางคนอาจมีอาการเมื่ออายุปาเข้าไป 80 แล้วก็ได้...

ตั้งใจว่าจะเขียนเรื่องของลูกๆ แต่ละคน เอาเฉพาะเรื่องที่สนุกๆ แทรกสลับไปกับเรื่องของโรค VHL ครับ

พบกันคราวหน้าครับ ขอให้มีความสุขกันทุกคน ราตรีสวัสดิ์ครับ...

วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2554

วันนี้เหนื่อยมาก อากาศก็เย็นสบายน่านอนมากด้วยครับ

สวัสดีครับ วันนี้เข้ามาทักทายเฉยๆ ครับ ไม่มีเวลาหาอะไรที่พอจะเป็นประโยชน์มาเล่าให้ฟังเลยครับ แต่ก็อยากเข้ามาบันทึกอะไรไว้สักหน่อย เพราะเว็บบล็อกก็เหมือนอะไรที่เป็นการบันทึกเรื่องราวส่วนตัวนิดๆอยู่แล้ว เอาไว้เผยแพร่สิ่งที่เป็นประโยชน์แล้วก็บางทีสิ่งที่คนเขียนอยากแลกเปลี่ยนครับ

ตอนนี้ลูกสาวทั้งสองคนก็มี blog เป็นของตัวเองทั้งคู่เลย แต่ลูกๆ ยังไม่ค่อยมีเวลาหรือวัตถุดิบมาเขียนสักเท่าไร สงสัยจะเลียนแบบพ่อในการเขียน blog ครับ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีนะครับ เพราะกว่าจะเขียนได้ก็ต้องมีข้อมูล ก็เป็นการฝึกทักษะในการหาข้อมูลและการเขียนด้วยไปในตัวเลย

ช่วงนี้ก็ถือว่าเป็นเทศกาลปีใหม่นะครับ ที่ทำงานผมก็จะมีการจับฉลากของขวัญกันพรุ่งนี้ และกินอะไรกันนิดหน่อย ส่วนของลูกทางโรงเรียนก็จัดงานปีใหม่กันไปเรียบร้อยแล้ว มีการจับของขวัญแล้วก็เอาพวกขนม เอาอาหารต่างๆ ข้าวเหนียว ไก่ทอดไปกินกันด้วย มองไปทางไหนตอนนี้ก็ช่างน่ารื่นรมย์ไปซะหมด อากาศก็เป็นใจอีกต่างหาก ที่จริงอากาศเย็นก็ดีครับ ผมชอบมาก แต่ตอนนี้ก็เริ่มจะเจ็บคอเพราะอากาศเย็นนี่แหละครับ รู้สึกไม่ค่อยสบายด้วย วันนี้คงต้องนอนเร็วและตื่นสายหน่อยละครับ...ราตรีสวัสดิ์ครับผม

วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2554

กินไก่ย่างกับอะไรดี?


วันนี้ขออนุญาติเอารูปไก่ย่างวิเชียรบุรีมาจากเมืองไทยดอทคอมมาลงนะครับ เพราะว่าลืมถ่ายรูปมาเอง ที่จริงแล้วผมขับรถผ่านไก่ย่างวิเชียรบุรีทุกวัน คือทุกวันเพราะเดี๋ยวนี้ที่ไหนทั่วบ้านทั่วเมืองก็เห็นร้านขายไก่ย่างวิเชียรทั่วไปหมด และที่ผ่านร้านขายไก่ย่างที่วิเชียรบุรีจริงๆ ก็บ่อยครับ อย่างน้อยที่สุดก็เดือนละครั้ง บางเดือนกลับบ้านบ่อยหน่อยก็สามครั้งครับ กินทีไรก็ยังอร่อยอยู่ครับ ใครที่เคยผ่านไปทางนั้นจะเห็นว่าพอถึงเขตขายไก่ย่างก็จะเห็นกลุ่มควันโขมงจากเตาย่างไก่อบอวลไปทั่วบริเวณเลยทีเดียว นั่งกินไก่ย่างข้าวเหนียวที่นั่นก็บรรยากาศดี สบายๆ ไปอีกแบบครับ มีภูเขาเป็นแนวอยู่ข้างหลัง ลมพัดมาเย็น ๆ นั่งกินกันสบายๆ อาหารก็มีให้เลือกหลากหลาย โอย... ยอดเยี่ยม

นอกจากไก่ย่างแล้ว สิ่งที่ทุกท่านจะพบเมื่อไปจอดรถซื้อไก่ย่างหรือเข้าไปนั่งในร้านก็ตามก็คือจะมีคนขายข้าวหลามขับรถมอเตอร์ไซค์มาให้บริการถึงที่ครับ ทุกครั้งครับ... ผมก็ซื้อบ้างไม่ซื้อบ้าง ส่วนใหญ่ไม่ได้ซื้อครับ แต่เมื่อไรที่ซื้อมากินก็พบว่าอร่อยดีเหมือนกันครับ มีทั้งแบบข้าวเหนียวขาว ข้าวเหนียวดำ (ข้าวก่ำ) ใส่ถั่วดำ กระทิ หรือบางทีก็ใส่มะพร้าวอ่อนด้วย อร่อยมากครับ ต้องลอง ส่วนขนาดของบ้องข้าวหลามก็แล้วแต่ร้าน ใหญ่บ้างน้อยบ้าง มัดละ 30 บาทหรือไม่ก็ไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้สักเท่าไรครับ ผมเห็นมีข้าวหลามขายกับไก่ย่างมาตั้งแต่สมัยที่ผมเริ่มจะรู้จักไก่ย่างวิเชียรใหม่ๆ นั่นแหละครับ ไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่าทำไมต้องข้าวหลาม กับไก่ย่าง...?

แต่ไก่ย่างวิเชียรที่ขายกันที่อื่นที่ไม่ใช่ที่อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ ก็ไม่เห็นมีข้าวหลามขายคู่นะครับ อันนี้ก็ไม่ทราบว่าทำไมเหมือนกัน อ้อ เรื่องนี้ก็ทำให้ผมนึกถึงอีกเรื่องที่คู่กันก็คือก๋วยเตี๋ยวเรือที่รังสิตมักจะมีขนมถ้วยขายคู่กันด้วยเสมอ ถ้าเป็นก๋วยเตี๋ยวเรือรังสิตแต่ขายที่อื่นผมก็ยังไม่เจอขนมถ้วยเหมือนกัน ... แต่ก็อาจจะมีครับ เพียงแต่ผมยังไม่เจอเท่านั้นเอง

เที่ยวปีใหม่กันให้สนุกครับ อาทิตย์หน้าก็จะส่งท้ายปีเก่าและเข้าสู่วันปีหม่กันแล้ว ร้านไก่ย่างวิเชียรบุรีที่อำเภอวิเชียรบุรีตอนนี้ก็มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อันนี้ก็แสดงว่าคนนิยมกินกันมากขึ้นครับ ก็ดีใจกับเจ้าของร้านกันด้วย กลับบ้านปลอดภัย เมาไม่ขับนะครับ

สวัสดีครับ...

วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ปลาม้าลายผู้เยี่ยมยุทธ




สวัสดีเช้าวันเสาร์ครับ อากาศเย็นสบายอีกแล้ว วันนี้จะมาเล่าเรื่องปลาม้าลายพระเอกของเราต่อจากคราวที่แล้วอีกหน่อยนะครับ คราวที่แล้วเขียนเรื่องของนักวิทยาศาสตร์ที่เอาปลาม้าลายมาทำการวิจัยเรื่องโรค VHL นี้เอง วันนี้ผมไปค้นข้อมูลมาเพิ่มเติมเกี่ยวกับปลาม้าลายอีกนิดนะครับ

ปลาม้าลายถูกใช้ในวงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์มานานแล้วครับ เริ่มตั้งแต่ทศวรรษที่ 70 ที่สหรัฐอเมริกา โดยนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโอเรกอนครับ และในปัจจุบันการใช้ปลาม้าลายในงานวิจัยก็เป็นที่นิยมกันมากขึ้นทั่วโลกครับ นักวิทยาศาสตร์ใช้ปลาม้าลายในการศึกษาชีววิทยาของเซลล์ต้นกำเนิด ระบบประสาท และการแสดงออกของยีนต่างๆ ครับ ล่าสุดมีการจัดประชุมนานาชาติเรื่องของเจ้าปลาม้าลายนี้ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ไปเมื่อกลางปีที่ผ่านมานี้เองครับ

เค้าบอกว่าปลาม้าลายนี้มีความสามารถในการซ่อมแซมเซลล์ที่เสียหาย (เช่นเดียวกับพวกสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ) เนื่องจากมีเซลล์ต้นกำเนิด หรือสเต็มเซลล์จำนวนมากนั่นเอง มากกว่าในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายเท่า สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมก็อย่างเช่น มนุษย์ สุนัข แมว และอื่นๆอีกมากมายที่ใช้น้ำนมเลี้ยงลูกอ่อนนั่นแหละครับ การทดลองต่างๆกับปลาม้าลายยกตัวอย่างเช่นการตัดเส้นประสาทที่ตา การทำให้บาดเจ็บที่ไขสันหลัง หรือการตัดกล้ามเนื้อหัวใจออกบางส่วน ... หวังว่าคงไม่โหดร้ายเกินไปนะครับ... แล้วเจ้าพระเอกของเราก็สามารถซ่อมแซมอวัยวะต่างๆ เหล่านั้นที่เสียหายได้! เห็นมั้ยครับว่าน่าทึ่งแค่ไหน...

ไม่เท่านั้นครับ ยังมีการทดลองกับการทนต่อสารพิษอีกด้วย อันนี้ก็เพื่อจะดูเรื่องของการปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมว่าอย่างนั้นครับ

เห็นมั้ยครับว่าเค้าเป็นผู้เยี่ยมยุทธและเป็นพระเอกของเราจริงๆ เรื่องราวต่างๆ ของปลาม้าลายยังมีอีกมากมายนะครับ ถ้าสนใจสามารถหาอ่านได้จากอินเตอร์เน็ตไม่ว่าจะของไทยหรือต่างประเทศ คราวหน้าผมอาจจะเอามาเล่าให้ฟังอีกสักตอนนะครับ แล้วก็คงจะไปต่อที่เรื่องอื่นๆบ้าง

สำหรับวันนี้หวังว่าทุกคนคงจะสบายๆกับวันที่อากาศดีๆ และทำงานหรือพักผ่อนกันอย่างมีความสุขนะครับ สวัสดีครับ...

วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ปลาม้าลายป่วยเป็นโรค VHL อะไรนะ??

สวัสดีครับ ปกติเราจะเห็นข่าวนักวิทยาศาสตร์ค้นพบผลงานใหม่ๆ ผ่านการทดลองกับหนู (หรือหนูทดลองนั่นเอง) อยู่ตลอดเวลานะครับ แต่เดี๋ยวนี้มีการทดลองกับสัตว์พวกอื่นและที่ผมเพิ่งทราบก็คือกับปลาม้าลายครับ (zebrafish) น่าแปลกใจและน่าสงสารครับ ปลาม้าลายเป็นปลาตู้เลี้ยงไว้ดูเพื่อความเพลิดเพลินครับ เพราะมันมีลวดลายสวยงามแปลกตาดี แต่ก็นั่นแหละครับ พวกหนูก็น่าสงสารเหมือนกัน ไม่เป็นไรครับ เอาเป็นว่าเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ สัตว์เหล่านี้ก็เลยถูกใช้ในการทดลองทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ครับ

เอาละครับ เข้าเรื่องกันดีกว่า มีข่าวจาก VHLFA (VHL Family Alliance) ครับ ว่าคุณ Rachel Giles ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้าน Nephrology ไม่แน่ใจว่าแปลว่าอะไร แต่เข้าใจว่าเป็นทางด้านไตครับ จากประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งได้รับทุนวิจัยจากมูลนิธิ VHLFA ให้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับโรคนี้ครับ เธอได้ส่งผลการวิจัยมาให้อ่านกันดังนี้ครับ คือแรกเริ่มเธอได้ทำการศึกษาโรค VHL ในหนูทดลองซึ่งปกติหนูจะมีระบบร่างกายที่เหมาะกับการทำการวิจัยเรื่องโรคต่างๆที่เกิดขึ้นกับมนุษย์มาก แต่การทำให้หนูเป็นโรค VHL นั้นยากมากครับ

ก็เลยเปลี่ยนมาทำกับปลาม้าลายแทน!!!

เค้าบอกว่าปลาม้าลายทำให้เป็นโรคนี้ได้ง่ายมาก และจะเห็นผลเพียง 7 วันหลังจากมันปฏิสนธิเท่านั้นเอง... น่าสงสารนะครับ ปลาเป็นโรค VHL ซะแล้ว... เธอยังบอกอีกว่าเจ้าปลาม้าลายนี้มีอาการของโรคนี้เหมือนมนุษย์อย่างมากด้วย เช่นการเกิดเนื้องอกในสมอง ไขสันหลัง ตา ต่อมหมวกไต และที่ไตเองด้วย จากการศึกษายังพบอีกว่าเมื่อให้เซลล์ VHL ที่ปกติของคนลงไปในปลา มันก็จะกลับมามีสุขภาพที่ดีได้อีก อันนี้ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรว่าอย่างไร ก็งงงงอยู่เหมือนกันครับว่าทำอย่างไรกันแน่... เธอบอกว่านี่แสดงให้เห็นว่าเซลล์ของปลาม้าลายนี้กับของคนสามารถทดแทนกันได้อย่างดีอีกด้วย อันนี้ก็ไม่แน่ใจครับ ว่าผมเข้าใจถูกหรือเปล่า เอาไว้คราวหน้าจะมาอัพเดทอีกทีครับ

ตอนนี้เธอกำลังศึกษาปลาม้าลายที่เป็นโรค VHL อยู่จำนวนเป็นพันๆตัวจาก 13 ครอบครัวปลา ต่อไปจะเป็นการศึกษาว่าการเกิดโรคและการรักษาจะสามารถทำได้เหมือนที่ทำกับมนุษย์หรือไม่ วัตถุประสงค์ก็เพื่อจะเอามาปรับใช้กับมนุษย์นี่แหละครับ

ครับ... อ่านแล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้าง เอาเป็นว่ายังไงเราก็ต้องสู้กับโรคนี้ต่อไปนะครับ พออ่านเสร็จผมก็บริจาคเงินเพื่อการวิจัยของกลุ่ม VHLFA นี้ไปตามกำลังครับ เพื่อสนับสนุนการวิจัยต่อ ในอนาคตลูกหลานจะได้มีโอกาสที่ดีขึ้นครับ

สวัสดีครับ











วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554

จดหมายจาก VHL Family Alliance

มีจดหมายจากพันธมิตรครอบครัว VHL ฉบับวันที่ 31 ต.ค. 2554 ส่งมาถึงผม (เข้าใจว่าคงส่งให้ทุกคนที่เป็นสมาชิกของครอบครัว VHL นี้หรือได้เข้าไปเกี่ยวข้องบ้าง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อย่างเช่นเข้าไปสั่งซื้อหนังสือเป็นต้นครับ) จดหมายก็แจ้งข่าวสารธรรมดาครับ รวมถึงเรื่องที่จะมีการประชุมนานาชาติทางการแพทย์ของโรคนี้ (the 10th International VHL Medical Symposium) ในปีหน้า ที่จะจัดขึ้นที่เมืองฮุสตัน สหรัฐอเมริกาในช่วงวันที่ 26-29 มกราปีหน้าด้วยครับ ซึ่งทางครอบครัวพันธมิตรก็มีความหวังว่าผลการวิจัยทางการแพทย์จะมีความก้าวหน้าและค้นพบวิธีการรักษาได้ในที่สุด ทั้งนี้ทั้งนั้นเค้าก็ขอแรงสนับสนุนจากทุกๆท่านที่สามารถจะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นเงินที่จะช่วยในงานวิจัย เป็นการบริจาคเนื้อเยื่อ หรืออะไรอื่นๆ ที่จะพอช่วยได้ เค้ามีเว็บไซต์ครับ ที่ http://www.vhl.org/ ครับ ลองเข้าไปดูนะครับ

วันนี้ง่วงแล้วครับ คงขอตัวเข้านอนก่อน แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าครับ สวัสดีครับ...

วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ชีวิตเหมือนภาพยนตร์ที่สร้างไว้จบแล้ว

สวัสดีตอนเช้าครับ วันนี้วันอาทิตย์กลางๆเดือนธันวา ใกล้ปีใหม่แล้วนะครับ หลายคนคงวางแผนไปเที่ยวปีใหม่กันแล้ว เห็นข่าวบอกว่าภาคเหนืออากาศเย็นมากแล้ว หลายที่มีน้ำค้างแข็งหรือแม่คะนิ้งเกิดขึ้นบนยอดหญ้า น่าไปเที่ยวมากเลยนะครับ ปีใหม่ปีนี้นักท่องเที่ยวคงพากันแห่ไปเที่ยวเหนือกับอีสานกันอย่างคึกคักแน่ๆ ส่วนผมก็คงกลับบ้านไปหาพ่อแม่ที่เพชรบูรณ์เหมือนทุกปีที่ผ่านมาครับ อากาศที่บ้านก็หนาวเย็นเหมือนกัน ช่วงเดือนที่ผ่านมาที่บ้านก็เย็นมากครับ นอนตอนกลางคืนต้องห่มผ้าห่มนวมครับ พัดลมก็ไม่ต้องเปิด อากาศดีมาก เหมาะกับการหามันเทศมาเผากินท่ามกลางลมหนาวและดาวเดือนครับ

วันนี้ตั้งใจจะเอาคำที่พ่อเคยพูดให้ฟังอยู่เสมอๆ ในอดีตมาเล่าสู่กันฟังครับ พ่อเคยบอกว่าชีวิตเหมือนภาพยนตร์ที่สร้างไว้จบแล้ว... ฟังตอนแรกผมรู้สึกไม่ค่อยเห็นด้วย และขัดใจมาก ตอนนั้นยังเป็นวัยรุ่นอยู่ครับ เป็นนักเรียนมัธยม ความรู้สึกตอนนั้นก็คือ เราต้องเป็นผู้กำหนดชีวิตของเราสิ ใครจะมาสร้างไว้แล้วได้ยังไง?? ไม่ยอมเด็ดขาด...

แต่พอเวลาล่วงเลยมานานๆ ความรู้สึกนั้นก็เริ่มจะเอนๆ นิดๆ ไปในทางที่เริ่มให้น้ำหนักไปในทางเชื่อคำพูดนั้นมากขึ้น แต่ก็ยังไม่เชื่อทั้งหมดหรอกครับ ที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องเชื่อไม่เชื่ออะไร มันเป็นประมาณเรื่องของทัศนะคติในการใช้ชีวิตมากกว่า หลายๆ เรื่องที่เกิดขึ้นเราไม่รู้ว่าทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้น ทำไมมันจึงเป็นอย่างนี้ บางคนอาจไปโทษกรรมเก่าครับ ในขณะที่บางคนก็บอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุ เป็นอย่างนั้นเอง อย่างนี้เอง อันนี้ก็แล้วแต่แต่ละบุคคลครับ

จะยกตัวอย่างให้ฟังนะครับ เมื่อสามสี่วันก่อนตอนค่ำๆขณะที่ผมขับรถกลับบ้านที่รังสิตคลองสาม ตอนรถติดอยู่ที่ถนนเลียบคลองซึ่งกำลังติดอยู่อย่างมาก แทบไม่ขยับเลยนั้นเอง ก็มีเด็กวัยประมาณอนุบาลหรืออย่างมากก็ป1 ขี่จักรยานคันเล็กๆ ตัดออกจากแถวรถยนต์ฝั่งที่จอดติดอยู่ออกไปอีกเลนที่รถว่างมากเพื่อจะข้ามไปยังฝั่งตรงข้าม ซึ่งผมเหลือบไปเห็นพอดีอยู่เยื้องๆ กับรถผมไปทางด้านหลัง ทันใดนั้นสิ่งที่ทำให้ผมแทบหัวใจหยุดเต้นก็เกิดขึ้นครับ มีรถมอเตอร์ไซค์ขับมาอย่างเร็วมากๆ แล้วก็ชนเด็กอย่างแรงทันทีตรงนั้นนั่นเอง ทั้งเด็กทั้งจักรยานและมอเตอร์ไซค์กระเด็นไปสี่ห้าเมตร ไปกองอยู่ใกล้ๆ กันตรงขอบถนนใกล้กันนั่นเองครับ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และอย่างเงียบๆ แล้วทุกอย่างก็นิ่งไปเฉยๆ เพราะไม่มีใครกระดุกกระดิกครับ ความรู้สึกผมตอนนั้นบอกไม่ถูกครับว่าเป็นอย่างไร... สุดท้ายรถของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งก็เข้ามาจัดการครับ นี่แหละครับเป็นเพียงเหตุการณ์หนึ่งที่เราไม่อาจรู้ล่วงหน้าได้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น... คงมีเหตุการณ์อีกหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวท่านเองหรือที่ได้พบเห็นมานะครับซึ่งไม่รู้ว่าจะอธิบายได้อย่างไรว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร และทำไม...

ผมพยายามจะเชื่อว่าเราเองเป็นผู้กำหนดชีวิตของเราเอง แต่หลายๆอย่างที่เกิดขึ้นมันชัดเจนครับว่ามันไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไป... เรากำหนดได้บางส่วนเท่านั้น? หรือว่าไม่ได้เลย? ลองไปคิดกันต่อนะครับ สวัสดีครับ...

ไปหาหมอเบาหวานวันนี้ - คนเยอะอย่างกับหนอน!


สวัสดีครับ วันนี้ไปพบหมอเบาหวานตามนัดที่ศิริราชมาครับ คนเยอะมากๆ แทบไม่มีที่ยืนเลยนะครับ ยิ่งเรื่องที่นั่งนั้นไม่ต้องพูดถึงเลยครับ ถ้าหาเจอก็นับว่าโชคดีจริงๆ แต่ถึงแม้ว่าจะหาที่นั่งยากและผมใช้เวลาตั้งแต่ไปถึงโรงพยาบาลจนถึงได้รับยานับได้ 8 ชั่วโมงก็ตาม ผมก็แอบไปหาที่นั่งจนได้ครับ คือผมไปโรงพยาบาลบ่อยจนพอจะทราบว่าต้องรออะไรในขั้นตอนไหนนานแค่ไหน จึงรู้ว่าช่วงไหนจะหนีไปหาที่นั่งข้างนอกได้ และนานเท่าไร... ครับ ก็เลยไม่เมื่อยมาก แต่ช่วงยืนก็ต้องคอยหลบผู้คนที่เดินไปมา และเปลผู้ป่วยที่เจ้าหน้าที่เข็ญผ่านไปมานะครับ สภาพอย่างนี้น่าเห็นใจทั้งคนไข้และเจ้าหน้าที่ ทั้งหมอ พยาบาล ผู้ช่วยต่างๆ ไปจนถึงคนทำความสะอาดห้องน้ำเลยครับ ทุกคนเหนื่อยจริงๆ แต่ที่น่าประทับใจก็คือว่าผมเห็นเจ้าหน้าที่ทุกคนยิ้มแย้ม อารมณ์ดีกันหมดเลย ไม่มีใครเครียด ถึงแม้ว่าบางครั้งเจ้าหน้าที่จะต้องใช้เสียงดังมากในการจัดระเบียบคนไข้กับญาติที่มาใช้บริการก็ตาม ก็ไม่รู้สึกว่าถูกด่าหรือต่อว่าให้เสียอารมณ์อะไร ผมคิดว่าทางโรงพยาบาลคงจะมีวิธีการดูแลเจ้าหน้าที่ที่ดีมาก จนทำให้ทุกคนทำงานแบบเครียดแต่กาย แต่ใจมีแต่รอยยิ้ม ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ครับ คิดว่าคนอื่นก็คงรู้สึกอย่างผมเหมือนกัน คนก็เลยหลั่งไหลกันมาจากทั่วประเทศอยู่ตลอดเวลาเลยจริงๆ

วันนี้ผมไปตรวจน้ำตาลในเลือดและการทำงานของไต ต้องเจาะเลือดและเก็บปัสสาวะส่งตรวจด้วย ผลก็คือน้ำตาลสะสมในเลือดสูงขึ้นอีกครับ วัดได้ 8.6 ซึ่งผมเข้าใจว่าน่าจะสูงมากเกินไปแล้ว ที่ผ่านมาตั้งใจจะลดแต่ก็ทำไม่ได้สักที เห็นทีคราวนี้คงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้แล้ว ผมยังไม่อยากต้องตัดนิ้วเท้าตอนอายุมากกว่านี้หรอกครับ... น่ากลัวมาก เพราะจะมีลักษณะคล้ายโดราเอมอนที่ไม่มีนิ้วนะครับ.. ฮ๋าๆ หมอก็เลยเพิ่มยาเบาหวานให้ ให้กินยา Glipizide เพิ่มอีกเม็ดก่อนอาหารเย็น ตอนนี้ก็เลยเป็นว่า กิน Miformin 850mg หลังอาหารเช้าเย็นมื้อละเม็ด Glipizide ก่อนอาหารเช้าเย็นมื้อละสองเม็ด และ Amlopine ยาลดความดันหลังอาหารเช้าอีกเม็ด เฮ้อ... กลัวไตจะพังก่อนนะสิครับ ยิ่งเหลือแค่ข้างเดียวอยู่ด้วย คราวนี้คงต้องเอาจริงแล้ว จะมามัวหยวนๆ กับพวกของหวาน ขนมปังอย่างเดิมคงไม่ได้แล้ว เพราะนี่คงไม่ค่อยน่าสนุกเท่าไรถ้าต้องตัดโน่นตัดนี่ทิ้งนะครับ

ส่วนเรื่องไตหมอไม่ได้บอกค่าไต หรือค่าการทำงานของไตครับ เพียงแต่ถามว่ากินน้ำน้อยมั้ย? ผมเลยเดาเอาว่าค่าไตอาจจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แล้วหมอก็ถามอีกว่าหมอรักษาไตนัดอีกเมื่อไหร่ ผมบอกไปว่านัดเดือนมกราปีหน้า ก็เดือนหน้านี่แหละครับ คือหมอห่วงว่าถ้าต้องตรวจเอ็กซ์เรย์ไตนั้นจะมีความยุ่งยากนิดนึง ผมไม่ได้ถามครับว่ายุ่งยากอย่างไร แต่เดาว่าคงเป็นเพราะต้องฉีดสีเข้าเส้นเลือดนั่นเอง ที่อาจจะมีผลต่อการขับออกของไต แล้วไตจะต้องทำงานหนักขึ้น เหมือนตอนที่พ่อผมจะต้องทำบอลลูนเส้นเลือดหัวใจนั่นแหละครับ ที่คุณหมอต้องระวังเรื่องการให้สารสีเข้าเส้นเลือดมากเป็นพิเศษ แต่พอผมบอกหมอว่านัดตรวจอัลตราซาวนด์ครับ ไม่ได้เอ็กซ์เรย์ คุณหมอก็เลยไม่ได้ว่ายังไงต่อ อ้อ หมอบอกว่าตามปกติถึงจะเหลือไตแค่ข้างเดียวแต่ก็ทำงานเหมือนมีสองข้างนะครับ

เบาหวาน แล้วก็กินยา แล้วก็ต้องระวังไต... เหนื่อยครับ แต่ก็ต้องลองดูสักตั้ง...

วันนี้พอตรวจเสร็จผมเอาช็อกโกแลตมาฝากคุณหมอด้วยครับ เพื่อเป็นการขอบคุณที่หมอได้ให้การรักษาดูแลมาอย่างยาวนาน ถึงตอนนี้ก็สิบปีได้แล้วครับ คุณหมอบอกว่าขนมเหรอ? หมออ้วนแล้วเนี่ย น้ำหนักขึ้นเป็น 70กิโลแล้ว ฮ่าๆ... ผมเห็นมีของฝากจากคนไข้เต็มชั้นหลังห้องตรวจคุณหมอเลย ทุกคนก็คงอยากตอบแทนหมอบ้างกระมังครับ เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี คือจะให้อะไรที่ใหญ่ๆ มีค่ามากๆ ก็คงไม่เหมาะ แค่อะไรที่เป็นการแสดงความขอบคุณก็น่าจะพอแล้ว แล้วผมก็มีช็อกโกแลตฝากเจ้าหน้าที่พยาบาลหน้าห้องด้วยเหมือนกัน รู้สึกขอบคุณน้องเค้าด้วย เห็นทำงานหนักมากมาตลอดเหมือนกัน พวกเราคนไข้ยังหลบไปโน่นไปนี่ได้ถ้าเหนื่อย แต่นี่หมอกับพยาบาลต้องนั่งอยู่ตรงนั้นจนกว่าคนไข้จะหมด ไม่ได้กิน ไม่ได้เข้าห้องน้ำกันเลยครับ น่าเห็นใจมาก ในขณะเดียวกันก็รู้สึกยกย่องในความเสียสละและอดทนมากครับ

ผมขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลทุกคนอย่างจริงใจอีกครั้งครับ หัวใจพวกเค้าช่างยิ่งใหญ่จริงๆ.. สวัสดีครับ

วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554

หลังผ่าสมองน้องฝ้ายกินเก่งขึ้น

สวัสดีครับ วันนี้จะมาอัพเดทเรื่องราวของน้องฝ้ายครับ ว่าหลังจากผ่าตัดไปประมาณสามเดือนแล้ว ตอนนี้น้องฝ้ายอ้วนขึ้นเยอะเลยครับ ก่อนผ่าสมองนั้นตัวผอมๆ กะหร่องๆ แล้วก็ดูห่อเหี่ยวมาก แต่หลังจากผ่าก็กิน กิน แล้วก็กิน ตั้งแต่ฟื้นออกจากห้องผ่าตัดเลยนะครับ เพราะว่าพอฟื้นขึ้นมาในห้องไอซียูก็ขอกินเค้กแล้ว แล้วก็กินไม่หยุดเลยตั้งแต่นั้นมา ถึงแม้จะกินได้มากแต่ก็ไม่ได้อ้วนเกินครับ กำลังดี แค่เสื้อผ้าเก่าใส่ไม่ค่อยได้แค่นั้นเอง... :-)

วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554

หมาน้อยที่บ้านผู้เอาแต่นอน...

ที่บ้านมีลูกสุนัขตัวเล็กอายุประมาณสองเดือนได้ครับ เป็นพันธุ์ชิสุ วันๆมันเอาแต่นอน นอนจริงๆ ครับ เดินไปได้สองสามก้าวก็ล้มตัวลงนอนแผละแล้ว เค้าเรียกมันว่าเจ้า "บริดเจต" แต่ผมเรียกว่าเจ้าถั่วน้อยเพราะเวลามองจากที่ไกลๆหน่อยก็จะเห็นก้อนอะไรสีเทาๆ ดำๆ เหมือนเม็ดถั่วดำขนาดใหญ่วางอยู่ที่พื้นครับ ฮ่าๆ วันนี้รู้สึกว่ามันจะร่าเริงขึ้นมานิดหน่อยหลังจากที่ไปฉีดวัคซีน กับกินยาถ่ายพยาธิมา เอาไว้เล่าให้ฟังต่อคราวหน้าครับ สวัสดีครับ...

วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ยังชาในแนวใต้แผลผ่าตัดอยู่เลย

สวัสดีครับ ผมผ่าตัดต่อมหมวกไตขวาไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ถึงตอนนี้ก็เกือบปีแล้วครับ ส่วนไตซ้ายนั้นก็หลังต่อมหมวกไตขวาสามเดือนครับ ตอนนี้ผิวหนังบริเวณใต้แผลผ่าตัด (ใต้แนวสีส้มในรูป) ยังไม่รู้สึกเลยครับ มันชาๆครับ บางทีเวลาคันก็เกาไม่หายสักที ที่เป็นอย่างนี้เพราะเส้นประสาทบริเวณนั้นถูกตัดขาดออกจากกันครับ บริเวณเหนือแผลยังมีความรู้สึกเป็นปกติอยู่ แต่ใต้แผลลงมานั้นไม่รู้สึกเลย ตอนนี้ชินกับความรู้สึกนี้แล้วครับ แต่ก่อนหงุดหงิดมาก ก็ลองนึกถึงตอนที่เราคันแล้วเราเกาไม่ถูกที่คันดูซีครับ คิดว่าหลายๆคนคงเคยเจอ... เห็นมั้ยครับว่ามันน่าหงุดหงิดแค่ไหน

ส่วนตัวแผลเองก็ยังรู้สึกตึงๆ ภายในอยู่เลยครับ ไม่หายสักที... แล้วพบกันใหม่ครับ สวัสดีครับ...

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

การ์ดอีเลคทรอนิคส์อวยพรปีใหม่จาก VHL Family Alliance


ได้รับอีเมลส่งการ์ดอวยพรปีใหม่จาก VHL Family Alliance สำหรับปีใหม่ 2012 หรือ 2555 มาวันนี้ครับ เห็นสวยดีก็เลยเอามาลงให้ดูกัน นอกจากการ์ดอวยพรปีใหม่แล้วก็ยังมีแจ้งข่าวสารอื่นๆอีกด้วยนะครับ อย่างเช่นการจัดงานประชุมนานาชาติที่เมืองฮุสตันในเดือนมกราคมปีหน้า ซึ่งจะมีการอัพเดทข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับการวิจัยโรคนี้ และการดูแลผู้ป่วยเป็นต้น

ที่ต่างประเทศนั้นมีการศึกษาโรคนี้กันอย่างจริงจังมากนะครับ อยากให้เมืองไทยมีการศึกษาวิจัยลึกๆอย่างนั้นบ้างจังเลยนะครับ หวังว่าในอนาคตคงจะมีสถาบันการแพทย์ โดยเฉพาะโรงเรียนแพทย์ทำการวิจัยอย่างเข้มข้นนะครับ พวกเราจะได้มีความหวังมากขึ้น ผมเข้าไปอ่านเว็บของต่างประเทศ ผู้ป่วยบางคนต้องเสียชีวิตเนื่องจากไตวาย หรือต้องฟอกไตกันจนเสียชีวิตไปเลยก็มีเยอะครับ เป็นเรื่องที่น่าเศร้านะครับที่คนเหล่านั้นต้องมาเป็นโรคนี้ โรคที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย ก็เกิดมาแล้วนี่ครับ

สำหรับวันนี้ถึงแม้ว่าจะยังไม่ถึงวันปีใหม่ แต่ผมก็ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ท่านนับถือจงโปรดอำนวยพรให้ทุกท่านมีความสุข ความเข้มแข็ง และกล้าหาญตลอดไปครับ สวัสดีครับ...

วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554

น้องฝ้ายไปโรงเรียนได้ตามปกติครับ


สวัสดีตอนอากาศหนาวๆ ครับ อากาศเย็นเข้ามาเยือนกรุงเทพกับแถวๆรังสิตที่ผมอยู่มาหลายวันแล้วนะครับ ผมชอบมากๆ และคิดว่าหลายคนก็ชอบเหมือนกัน วันนี้อยู่บ้านทั้งวันครับ ตั้งใจว่าจะกลับมาเขียนบล็อก (blog) ให้ได้สม่ำเสมอเหมือนเดิมครับ ที่ผ่านมานอกจากจะหนีน้ำท่วมไปต่างจังหวัดแล้ว บางครั้งก็ไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไรเหมือนกันเพราะว่าเรื่องของโรค VHL ที่ตั้งใจจะแปลบทความการศึกษาของต่างประเทศนั้นพอเอาเข้าจริงๆ ก็ไม่ง่ายเท่าไรครับ เพราะว่าส่วนใหญ่บทความมักจะเป็นเรื่องของแพทย์ หรือไม่อย่างนั้นก็เป็นเรื่องของงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ก็ไม่ง่ายเหมือนกัน แต่ก็ยังตั้งใจจะทำต่อครับ

ตัวผมเองตอนนี้สุขภาพพอไปได้ครับ แผลผ่าตัดไตซ้ายและต่อมหมวกไตขวายังเจ็บๆตึงๆอยู่ แต่โดยรวมก็ต้องถือว่าปกติครับ เพราะสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ขับรถไปทำงานได้เหมือนเดิม เดินนานๆได้เหมือนเดิมแถมยังออกกำลังกายเบาๆได้เหมือนเดิมอีกครับ ตอนนี้ผมพยายามออกกำลังกายโดยการเหวี่ยงแขน หรือยีดเส้นยีดสาย วิดพื้นก็ยังได้เลยนะครับ บอกลูกว่าจะทำซิกแพ็กค์ให้ดู ฮ่าๆ ยังไม่เจียมตัวอีกนะครับ ...

ตอนนี้น้องฝ้ายไปโรงเรียนแล้วครับ โรงเรียนเปิดเมื่อวานนี้ครับ น้องฝ้ายอยู่จุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย ต้องนอนหอพักที่โรงเรียนครับ ปกติสองอาทิตย์กลับบ้านครั้งนึง ไม่แน่ใจว่าเทอมนี้จะได้กลับบ้านเหมือนเดิมหรือว่าเปลี่ยนแปลง คือช่วงที่น้ำท่วมโรงเรียนก็เลื่อนเปิดเทอมครับ ก็เลยเดาว่าอาจจะเร่งสอนทำให้ได้กลับบ้านน้อยลง แต่ไม่เป็นไรครับ น้องฝ้ายดูเหมือนจะปรับตัวได้เยอะแล้ว เมื่อเช้าก็โทรศัพท์มาคุยและรายงานผลการเรียนเทอมที่ผ่านมาว่าได้เกรดเฉลี่ยดีมากเลยด้วยครับ ผมในฐานะที่เป็นพ่อก็ต้องปลื้มมากๆเป็นธรรมดาครับ หลังผ่าตัดน้องฝ้ายน้ำหนักมากขึ้นเพราะว่ากินเก่งขึ้นครับ กินได้มากโดยเฉพาะของหวาน พวกเค้กช็อกโกแล็ตนี่แหละครับ...อร่อยมาก... เปิดเทอมนี้ก็เลยต้องหาเสื้อผ้าใหม่กันวุ่นไปเลย ปัญหาสุขภาพอื่นๆก็ไม่มีอะไรครับ น้องฝ้ายแข็งแรงดีและไม่มีอาการที่เป็นผลกระทบจากการผ่าตัดสมองแต่อย่างใด ที่ผ่านมาน้องฝ้ายยังขยันเพิ่มอีกอย่างด้วยนะครับ คือน้องฝ้ายเขียน web blog ด้วยครับ ก็เป็นเรื่องของส่วนตัวที่โรงเรียนและยังแปลเรื่อง VHL จากหนังสือที่ผมซื้อมาให้ด้วย ที่อยู่ตามนี้นะครับ เผื่อใครสนใจอยากเข้าไปดู http://jp16422.wordpress.com/

ดูแลสุขภาพรับลมหนาวกันด้วยนะครับ สวัสดีครับ

วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

กลางสายน้ำ

สวัสดีครับทุกคน

ไม่ได้เจอกันนานนนมากหลังจากข้อความครั้งที่แล้ว ผมจำไม่ได้แล้วครับว่าครั้งสุดท้ายเขียนเรื่องอะไรไว้ หายไปกับสายน้ำครับ แต่ตอนนี้ก็กลับมาแล้ว ก่อนที่จะหายไปอีกเป็นอาทิตย์ น้ำท่วมคราวนี้หลายๆบ้านต่างก็มีสภาพไม่ค่อยต่างกันเท่าไรหรอกนะครับ สำหรับตัวผมเองก็ต้องอพยพหนีน้ำไปต่างจังหวัดวุ่นวายเหมือนกันครับ เริ่มตั้งแต่ไปพัทยา ไปชัยนาท กลับเข้ามารังสิต ออกไปทำงาน ไปชัยนาทอีกครั้ง ไปเพชรบูรณ์ แล้วก็... อีกมากมายครับ ตอนนี้น้ำก็ยังไม่ลด แต่ก็พยายามกลับเข้ามาทำงานครับ กำลังจะไปต่างประเทศพรุ่งนี้ คืนนี้พักที่โรงแรมใกล้ๆ สนามบินสุวรรณภูมิครับ จะเดินทางพรุ่งนี้เช้า ต้องจอดรถไว้ที่สนามบินหนึ่งอาทิตย์ ได้แต่หวังว่าช่วงที่จอดรถไว้ น้ำจะไม่มาเยี่ยมครับ ดูข่าวเมื่อคืนเจ้าหน้าที่บอกว่ากำลังทำการป้องกันอย่างเข้มงวด ก็เลยอุ่นใจ(นิดๆ) คงทำอะไรไม่ได้ครับ นอกจากทำใจ มองโลกในแง่ดี และหวังว่าทุกอย่างจะโอเค

เข้าเรื่องสุขภาพกันสักหน่อยนะครับ เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว พี่ชายผมไปทำ mri ตรวจเนื้องอกในสมองมาอีก เพราะหมอสั่งหลังจากที่ดูฟิล์มเก่าแล้ว คือหมอเห็นว่าอาจจะถึงเวลาผ่าตัดแล้วครับ ก็เลยสั่งให้ไปทำ ผลตอนนี้ยังไม่ชัดเจนว่าเป็นอย่างไรบ้างเพราะยังไม่ได้พบหมอ แต่คาดว่าคงต้องเข้ารับการผ่าตัดอีกไม่นานนี้ครับ ถ้าผ่าคราวนี้ก็จะเป็นครั้งที่สี่ของพี่ชายคนนี้ครับ ผมหวังว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยดี ส่วนตัวของผมเองก็ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้มีครั้งต่อไปอีกเลย มันเสียวครับ...

แล้วพบกันใหม่ครับ หวังว่าทุกคนคงสบายดี สู้กันต่อไปครับ สวัสดีครับ...

วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ตำแหน่งของสมองที่มักจะพบเนื้องอกจาก VHL

สวัสดีครับ

ช่วงนี้น้ำท่วมหลายๆ พื้นที่หวังว่าทุกท่านจะไม่เป็นทุกข์ไปกับน้ำท่วมด้วยนะครับ ผมเห็นจากข่าวแล้วรู้สึกสงสารและเห็นใจพี่น้องเราอีกหลายๆคนที่ต้องลำบากเพราะน้ำท่วมนี่แหละครับ หลายคนต้องขนข้าวของขึ้นไปอยู่บนหลังคาบ้าน นึกไปแล้วก็ใจหายเหมือนกันว่าข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างที่เอาออกมาไม่ได้ หรือไม่ทันก็ต้องจมน้ำเสียหายหมด...

เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาผมกลับบ้านไปเพชรบูรณ์ ไปเยี่ยมพ่อแม่ โชคดีที่น้ำไม่ท่วมแถวนั้นครับ ไม่งั้นลำบากแย่ เพราะท่านก็อายุมากกันแล้ว จะหนีไปไหนก็คงลำบากน่าดู ที่ตั้งใจจะเขียนวันนี้คือเรื่องที่เขียนไว้ที่หัวเรื่องนั่นแหละครับ คือจากตำราเค้าบอกว่าเนื้องอกในสมองส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดที่ตำแหน่ง สมองส่วนท้าย (cerebellum) กับ ก้านสมอง (brain stem) ครับ

ในครอบครัวผมที่ผ่าสมองกันมาทั้งหมด (รวมกัน 12 ครั้ง) มีที่เป็นที่ก้านสมองเพียงครั้งเดียวครับ คือของลูกสาวผมที่เพิ่งผ่าไปนี่เอง นอกนั้นเป็นที่ตำแหน่งสมองส่วนท้ายทั้งหมดครับ ส่วนสาเหตุอันนี้ผมไม่ทราบเหมือนกันครับ เอาไว้ถ้าค้นเจอแล้วจะเอามาเล่าให้ฟังนะครับ

ในเรื่องการรักษา เนื้องอกในส่วนของก้านสมองรักษา (ผ่าตัด) ยากกว่าครับ เพราะอยู่ในตำแหน่งที่ลึกเข้าไปในกลางกระโหลกศีรษะ และก้านสมองยังเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาท คุณหมอท่านบอกว่าเป็นตำแหน่งของชีวิตเลยล่ะครับ ตอนที่ลูกสาวจะผ่าตัดก็รู้สึกใจคอไม่ค่อยดีเหมือนกัน เพราะฟังจากคุณหมอแล้ว มันเป็นตำแหน่งที่อันตรายมาก แต่ก็ยังนับว่าโชคดีที่การผ่าตัดสำเร็จด้วยดีครับ

สำหรับวันนี้คงเอาไว้เท่านี้ก่อนนะครับ ก่อนจากกันขอฝากไว้นิดนึงครับ ว่าอย่าลืมว่าเหตุการ์ต่างๆ ส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นเราไม่สามารถควบคุมได้ แต่เราสามารถควบคุมว่าเราจะตอบสนองต่อเหตุการนั้นๆ อย่างไรได้ส่วนหนึ่งนะครับ ไม่ว่าจะอย่างไร เครียดหรือทุกข์ไปก็ไม่มีประโยชน์ครับ สวัสดีครับ...

วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2554

ไม่ได้เจอกันนาน วันนี้ขอคุยเบาๆไปก่อนครับ

สวัสดีครับทุกท่าน

ผมไม่ได้เขียนบล็อกนานเลยช่วงนี้ หายไปสองสามอาทิตย์ติดกันเลยนะครับ ช่วงนี้มีธุระติดพันเยอะครับ ทำให้ไม่มีเวลาค้นข้อมูลเลย มีทั้งงานเลี้ยงที่ทำงาน มีทั้งต้องเร่งงานให้เสร็จทันส่งตามกำหนดเส้นตาย และอะไรอีกหลากหลายครับ ก็เลยหายไปนาน หายไปนานๆ อย่างนี้ก็กลัวว่าผู้อ่านหลายๆ ท่านจะเบื่อเหมือนกันนะครับ หลายท่านอาจจะแวะเข้ามาดูแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรเพิ่มเติม ก็อย่าเพิ่งเบื่อเลยนะครับ เพราะจำนวนของคนอ่านนี่แหละครับที่ทำให้ผมมีกำลังใจที่จะค้นคว้าหาข้อมูลมาเขียนต่อไปได้เรื่อยๆ ไม่งั้นหมดแรงแน่เลยครับ ที่สำคัญคือมันทำให้ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมพยายามหามามันคงมีประโยชน์กับหลายๆท่านบ้างไม่มากก็น้อย

สำหรับช่วงนี้หลังจากที่พี่สาวและลูกสาวผ่านมรสุมลูกใหญ่มาได้พักหนึ่งจากการผ่าตัดสมอง ก็เริ่มจะมีอะไรให้ทำต่ออีกแล้วครับ ลูกสาวต้องไปตรวจสมองหลังการผ่าตัด 1 เดือนในวันพฤหัสที่ 6 ต.ค.ที่จะถึงนี้ พอดีช่วงนี้ปิดเทอมก็เลยไม่ลำบากมากนักที่จะไปโรงพยาบาล จะเหนื่อยหน่อยก็ตรงที่ต้องรอคิวพบแพทย์ที่เข้าใจว่าคนไข้น่าจะเยอะเหมือนกัน แต่คิดไปแล้วการรอเท่านี้ก็ไม่หนักหนาเกินทนหรอกครับ เพราะสิ่งที่ได้ตอบแทนก็คือการรักษา คือสุขภาพของเราโดยตรงเลยทีเดียว สุขภาพที่ดี ไม่เจ็บป่วยผมมั่นใจว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนใฝ่หาใช่ไหมครับ ลองนึกถึงแค่ตอนที่เราเป็นไข้ธรรมดา แค่นั้นก็แย่แล้วนะครับ จะกินอะไรก็ไม่อร่อย ทำอะไรก็ไม่สบายตัวไปหมด ฉะนั้นการไม่มีโรคจึงเป็นลาภอันประเสริฐอย่างที่ท่านว่าจริงๆ

ตัวผมเองตอนนี้ยังเจ็บแผลผ่าตัดที่หน้าท้องอยู่เลย แผลผ่าตัดต่อมหมวกไตและไตด้วยครับ ทั้งสองแผลยังเจ็บๆ ตึงๆข้างในอยู่ บางครั้งก็รู้สึกเจ็บจี๊ดๆขึ้นมาเฉยๆ ไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกัน ถ้านับเวลาตั้งแต่ผ่าตัด แผลแรกก็เก้าเดือนเข้าไปแล้ว ส่วนแผลที่สองก็ห้าเดือนแล้ว สงสัยต้องใช้เวลาเป็นปีแน่ๆ เลยนะครับ นอกนั้นก็ไม่มีอะไรผิดปกติ จะมีอีกอย่างก็เรื่องเบาหวานครับ น้ำตาลสะสมยังไม่ยอมลง ตอนนี้หมอให้กินยา glipeside ตอนเช้าเพิ่มเป็นสองเม็ดแล้ว ตัวผมเองก็ตั้งใจจะเอาให้ลงให้ได้ ก็ต้องควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และไม่เครียด ฟังดูแล้วไม่ง่ายเลยนะครับ แค่ตื่นนอนขึ้นมาผมก็หิวแล้ว ขับรถไปทำงานรถก็ติด ก็เครียดอีก ทำงานก็ต้องใช้สมอง ก็หิวบ่อย และก็ต้องกินบ่อย ไม่กินก็จะน้ำตาลต่ำเกินไปอีก โอย...สารพัดนะครับ แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินไป งั้นก็ลุยกันต่อไปครับ

อีกนิดก่อนจากกันวันนี้ น้องชายผมตอนนี้ก็เริ่มตรวจพบน้ำตาลในเลือดสูงแล้ว เป็นเบาหวานแล้วครับ น้ำตาลขึ้นสองร้อยกว่า อายุเพิ่งจะ 38 ปีเอง เป็นตามผมมาติดๆ ไม่รู้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไรเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะกรรมพันธุ์ครับ เพราะพ่อเป็นครับ ไปทำ MRI แล้ว ไม่พบเนื้องอกหรือซีสต์ในตับไตแต่อย่างไดครับ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็คือเบาหวานแหละครับ เป็นแล้วก็ต้องสู้กันต่อไป

ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง และอารมณ์ดีทุกคนนะครับ ยังไงอารมณ์ดีก็เป็นความสุขง่ายๆที่หาได้ทันทีนะครับ ก็เราทำเองนี่นา สวัสดีครับ...

วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554

VHL กับเนื้องอกในหู

http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=nonlimited

สวัสดีครับ วันนี้มาพูดกันถึงเรื่องเนื้องอกในหูชั้นในที่เกิดจากโรค VHL กันนะครับ เนื้องอกในหูชั้นในนี้จะเกิดขึ้นกับส่วนที่เรียกว่า Endolymphatic Sac ครับ และเราเรียกเนื้องอกนี้ว่า Endolymphatic Sac Tumor หรือ ELST ครับ ซึ่งเนื้องอกในหูชั้นในนี้พบในคนที่เป็นโรค VHL ประมาณ 15% ครับ ซึ่งก็ไม่น้อยเลยนะครับ ดังนั้นท่านที่เป็นโรคนี้อยู่แล้ว ควรจะเอาใจใส่กับเรื่องนี้ให้มาก

สำหรับการดูแลในเรื่องของเนื้องอกในหูชั้นในที่เกิดจากโรค VHL นี้ก็ทำได้สองวิธีโดยทั่วไปครับ อย่างแรกเลยก็คือการสังเกตุความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับการได้ยินของเรา และอีกวิธีก็คือไปตรวจด้วย CT scan หรือ MRI ครับ คือเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์นั่นเอง สำหรับเรื่องการได้ยินนั้นเราควรจะสังเกตุว่าการได้ยินเสียงของเรามีความผิดปกติ เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ ถ้าการได้ยินของเราลดลง ซึ่งอาจจะค่อยๆ ลดลงภายใน 3-6 เดือนหรืออาจจะมากกว่านั้น หรือทันทีทันใด ก็คงเป็นสิ่งที่จะบ่งบอกได้ว่าได้เวลาต้องไปหาหมอแล้ว สำคัญนะครับกับเรื่องนี้เพราะว่าโดยทั่วไปถ้าเราสูญเสียการได้ยินไปแล้ว โอกาสที่จะกลับมาเหมือนเดิมนั้นยากมาก ฟังดูแล้วน่ากลัวนะครับถ้าเราจะไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยไปตลอดชีวิต อดฟังเพลงเพราะๆ เลยนะครับ...

ถ้าตรวจพบแล้วทำอย่างไรต่อครับ? ก็คงต้องผ่าตัดครับ ซึ่งการผ่าตัดจะกระทำโดยทีมแพทย์ประสาทศัลยศาสตร์และแพทย์หู คอ จมูก ครับ ในกรณีที่ท่านสังเกตุว่าตัวเองเริ่มมีความผิดปกติของการได้ยิน ก็อาจจะไปปรึกษาแพทย์ด้านหู คอ จมูก ได้ก่อนเลย หรือถ้ามีแพทย์ที่รักษาโรค VHL ของท่านอยู่แล้ว ก็อาจจะไปปรึกษาคุณหมอก่อนก็ได้นะครับ

ถึงแม้ว่าโรคนี้จะสร้างความยุ่งยากในการใช้ชีวิตประจำวัน แต่เราก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ โดยตั้งสติและอย่าไปเครียดหรือท้อถอยอะไรนะครับ ชีวิตเมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องดำเนินต่อไป ขอให้สนุกกับวันนี้นะครับ ...สวัสดีครับ...

วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554

ในเมืองไทยมีคนเป็น VHL กันสักกี่คนกันแน่?

สวัสดีครับ พบกันอีกเช่นเคยตามแต่โอกาสจะอำนวยครับ ผมพยายามคิดว่าจะหาข้อมูลอะไรมาเขียนเพื่อให้เกิดประโยชน์กับผู้อ่านอยู่ตลอดเวลานะครับ หลายๆครั้งก็คิดไปถึงเรื่องการดูแลสุขภาพ บางครั้งก็นึกถึงเรื่องตลกๆ ว่าอาจจะมีคนสนใจเพื่อคลายเครียด หรือบางทีก็นึกว่าจะเขียนถึงเรื่องทางธรรมชาติๆ ที่ผมเองก็สนใจเป็นการส่วนตัวด้วย เอามาเล่าให้ฟังบ้างก็น่าจะดีนะครับ เพราะบางครั้งหลายๆเรื่องที่เกิดขึ้นรอบๆตัวเราก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย ยกตัวอย่างนะครับ เรื่องของปลาที่มีลักษณะคล้ายพยานาคที่เราอาจจะเห็นทางสื่อต่างๆอยู่บ่อยๆ เรื่องของฟอสซิลของสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่พบในชั้นหินอายุหลายสิบหรือหลายร้อยล้านปีขึ้นไป หรืออะไรอื่นๆที่น่าสนใจที่เกิดขึ้นรอบๆตัวเรา ที่ผมพอจะมีความรู้บ้างเหล่านี้แหละครับ เอาเป็นว่านอกจากโรค VHL โดยตรงแล้ว บางครั้งผมอาจจะเอาเรื่องอื่นๆ มาเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ

สำหรับวันนี้ผมหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของสถิติของจำนวนคนที่เป็นโรคนี้มาเล่าสู่กันฟังครับ หลายคนคงสงสัยว่าในประเทศไทยมีคนที่เป็นโรคนี้กี่คนกันแน่ แล้วเรามีโอกาสเป็นหรือไม่? น่าสนใจนะครับ หลายคนมีอาการปวดหัว ลิ้นแข็ง พูดจาไม่ชัดเจนในบางช่วง ก็เลยกังวลว่าเอ๊ะนี่เราเป็นอะไรกัน เป็นโรค VHL หรือเปล่า? การที่จะตรวจให้ทราบก็คงมีอยู่ไม่กี่ทางนะครับ คือคงต้องตรวจ DNA หรือไม่ก็ต้องทำ CT scan หรือ MRI ครับ ถึงจะรู้ได้

ส่วนใหญ่แล้วโรคนี้เกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมครับ คิดเป็น 80เปอร์เซนต์ของคนที่เป็นโรคนี้ทั้งหมด อีก 20เปอร์เซนต์เกิดจากการ "ผ่าเหล่า" หรือ Mutation ครับ เห็นแล้วน่าตกใจเหมือนกันนะครับ ที่คนปกติที่พ่อแม่ไม่ได้เป็นก็มีโอกาสที่จะเป็นโรคนี้ได้ด้วยเหมือนกัน จากสถิติอันนี้จะเห็นได้ว่า ในจำนวนคนที่เป็นโรคนี้หนึ่งร้อยคน มีคนที่เป็นเพราะมีพ่อหรือแม่เป็นมาก่อนอยู่แปดสิบคน ส่วนอีกยี่สิบคนเป็นเพราะว่าเกิดจากการผ่าเหล่าของยีน VHL เองครับ! ซึ่งการผ่าเหล่านี้ ด็อกเตอร์ Eamonn Maher แห่ง Bermingham, England ได้ศึกษาและแสดงออกมาเป็นตัวเลขว่า 1 ใน 4,400,000 ของเด็กที่เกิดมา มีโอกาสผ่าเหล่าและเป็นโรคนี้ครับ ถ้าคิดเป็นเปอร์เซนต์ก็ 0.00002 เปอร์เซนต์ครับ จะเห็นว่าน้อยมาก แต่ถ้าคิดจากจำนวนคนที่เกิดทั้งประเทศหรือทั่วโลกแล้วก็ไม่น้อยเลยนะครับ ใครอยากทราบว่าเป็นจำนวนเท่าไหร่ก็ลองหาสถิติการเกิดมาคูณดูครับ

จะเห็นว่าคนที่พ่อหรือแม่ไม่ได้เป็นโรคนี้ก็มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้นะครับ

จากสถิติเค้ายังบอกอีกว่าในโลกนี้ มีคนเป็น 1 ใน 32,000 คนครับ โดยไม่แยกเผ่าพันธุ์หรือเพศนะครับ คิดเป็นเปอร์เซนต์ก็ 0.003125เปอร์เซนต์ครับ ที่จริงก็น้อยมาก ทีนี้ถ้าคิดถึงคนไทยว่าเป็นกันสักกี่คน ผมก็ประมาณเอาคร่าวๆว่าตอนนี้ถ้าประชากรไทยทั้งหมดคือ 65 ล้านคน ก็จะมีคนที่เป็นโรคนี้ประมาณ 2,031 คนครับ จะเห็นว่าไม่น้อยเลยทีเดียว อันนี้เป็นประมาณการจากสถิติเท่านั้นนะครับ ไม่ได้หมายความว่าคนที่เป็นจริงๆ จะมีจำนวนเท่านี้เป๊ะๆ เลย แต่คิดว่าน่าจะใกล้เคียงครับ ในความเป็นจริงแล้วเราไม่ค่อยจะได้ยินว่ามีคนเป็นโรคนี้เท่าไหร่ในบ้านเรา และผมก็ยังไม่เคยได้ยินชื่อของโรคนี้จากทางสื่อทั่วไปเลยนะครับ นั่นก็คงเป็นเพราะว่ามีคนที่รู้ตัวว่าเป็นโรคนี้น้อยมากๆ หรืออันที่จริงก็ต้องบอกว่ามีคนที่รู้จักโรคนี้แม้กระทั่งแพทย์เองในปัจจุบันนี้น้อยมากๆนั่นเองครับ แต่ผมมั่นใจว่ายิ่งนานวันโรคนี้ก็จะเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายมากยิ่งขึ้นครับ อย่างน้อยยกตัวอย่างของผมญาติพี่น้องและเพื่อนร่วมงานก็เริ่มจะได้ยินชื่อของโรคนี้ผ่านทางตัวผมและญาติที่เป็นกันมากขึ้นๆ ครับ

ทีนี้มาพูดถึงว่าแล้วเราจะเป็นกันตอนไหน ตอนอายุเท่าไหร่ล่ะ จากการศึกษาพบว่าสำหรับเด็กๆ แล้วจะมีอาการที่ตาหรือต่อมหมวกไตก่อนอายุ 10 ขวบประมาณ 10 เปอร์เซนต์ครับ

ยังมีข่าวดีครับ คือว่ามีคนอีกไม่น้อยที่พบว่ามียีน VHL แต่ไม่มีอาการป่วยใดๆเลยจนกระทั่งอายุ 80 ปี! อันนี้เป็นข้อมูลที่ชี้ให้เห็นว่ามันต้องมีอะไรอยู่เบื้องหลังแน่ๆ ใช่ไหมครับ คือเราจะเห็นว่าบางคนจะไม่มีอาการเป็นซีสต์หรือเนื้องอกที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วย เช่นปวดหัว หรืออื่นๆ เลยจนมีอายุมากแล้ว ซึ่งบางคนอาจจะเสียชีวิตไปโดยไม่มีอาการของโรคเกิดขึ้นเลยนะครับ ถ้าเราคิดต่ออีกสักนิดเราก็อาจจะเชื่อได้ว่าถ้าอย่างนั้นมันคงมีปัจจัยที่ทำให้มีการกระตุ้นและเกิดเนื้องอกขึ้นมาได้นะสิ ผมก็เชื่ออย่างนั้นเหมือนกันครับ แต่การค้นหาก็คงไม่ง่ายหรอกนะครับ เพราะคนทุกคนมีความแตกต่างกันทั้งสภาพร่างกายทุกๆ อย่าง และการดำรงชีวิต หรืออื่นๆ อีกมากมายที่ล้วนแตกต่างกันนะครับ ดังนั้นการจะหาว่าต้องใช้ชีวิตอย่างไรจึงจะปลอดภัยคงไม่ง่ายแน่นอน หวังว่าในอนาคตอันใกล้จะมีผู้ค้นพบนะครับ

อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์ก็เชื่อกันว่าน่าจะมีการค้นพบวิธีการรักษาผ่านการศึกษาเรื่องยีนภายในปี 2025 ครับ นับจากวันนี้ก็อีกประมาณ 14 ปีครับ ผมอยากให้เป็นเช่นนั้นครับ เพราะยังมีคนอีกมากที่ต้องทรมานกับโรคนี้อยู่ทุกวันๆ แต่ถึงแม้ว่าตอนนี้จะยังไม่มียารักษาให้หายขาดได้ ก็ยังมีแนวทางในการรับมือครับ เช่นที่ได้กล่าวไปในบทความที่ผ่านๆมาแล้วหลายๆตอน เช่นการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง การใช้หลักโภชนาการที่ดี การไปตรวจร่างกายและติดตามผลอย่างใกล้ชิดเป็นต้น นอกจากนี้การระมัดระวังไม่ให้เครียดมากเกินไปก็มีส่วนดีไม่ใช่น้อย เรื่องความเครียดนี้ที่จริงแล้วก็ส่งผลถึงโรคเกือบทุกโรคได้เหมือนกันนะครับ ที่ชัดๆก็อย่างเช่นโรคหัวใจ ความดัน เบาหวานเป็นต้นครับ

หลายๆโรคก็รักษาไม่หายขาดเช่นกันนะครับ เช่นมะเร็ง เบาหวานนั่นไงครับ แต่เราจะเห็นว่าในปัจจุบันถึงแม้จะรักษาไม่หายขาดแต่ก็มีวีธีรับมือและสามารถมีชีวิตที่ปกติได้ถ้าเราตั้งใจครับ

มันอยู่ที่ใจด้วยครับ ... สวัสดีครับ...

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

มะเร็ง

มะเร็งคืออะไร?

มะเร็ง คำคำนี้ใครได้ยินก็ต้องรู้สึกกลัวๆไว้ก่อนใช่ไหมครับ ใช่แล้วครับ มะเร็ง เป็นอะไรที่น่ากลัวเสมอ และสำหรับครอบครัวที่เป็น VHL ก็ควรจะทราบด้วยว่ามะเร็งสามารถเกิดขึ้นกับโรค VHL ได้ครับ แต่ก็ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องเป็นมะเร็งเสมอไปนะครับ การได้รับการตรวจและรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ อาจจะทำให้เราไม่ต้องเสี่ยงกับมะเร็งเลยก็เป็นได้!

มะเร็งเป็นกลุ่มของโรคมากกว่าร้อยชนิด แต่ในทุกๆชนิดของมะเร็งซึ่งมีความแตกต่างกันออกไปนั้น ก็มีสิ่งที่เหมือนกันอยู่ นั่นคือ มะเร็งทุกชนิดเป็นโรคที่เกิดกับเซลล์ของร่างกายของเราครับ สำหรับมะเร็งที่เกิดกับโรค VHL นั้นมีอยู่ไม่กี่ชนิดครับ

เซลล์ปกตินั้นทำให้เนื้อเยื่อเจริญเติบโต แบ่งตัว และเกิดทดแทนเซลล์เก่าได้อย่างมีระบบระเบียบซึ่งทำให้ร่างกายสามารถดำรงอยู่ได้อย่างปกติ แต่ในบางครั้งที่เซลล์ปกติอาจสูญเสียความสามารถในการควบคุมการเจริญเติบโตของมันเอง ทำให้มีการเจริญเติบโตอย่างผิดปกติและไร้การควบคุมหรือมีระเบียบแบบแผนได้ ทำให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อที่มากเกินไป เกิดเป็นเนื้องอกตามมาได้ ซึ่งเนื้องอกอาจจะเป็นเนื้องอกธรรมดาหรือเนื้อร้ายก็ได้
  • เนื้องอกธรรมดา (ของผู้ที่เป็น VHL) เช่น เนื้องอกในสมอง ไขสันหลัง หรือในจอตา จะไม่มีการแพร่กระจาย
  • เนื้อร้าย เช่นเนื้องอกที่เกิดขึ้นที่ไต เป็นต้น มันจะสามารถแทรกเข้าไปในเนื้อเยื่ออวัยวะและทำลายเนื้อเยื่อหรืออวัยวะนั้นๆได้ เซลล์มะเร็งสามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะส่วนอื่นๆของร่างกาย และทำให้เกิดเป็นเนื้องอกใหม่ขึ้นมาได้
และเพราะว่า VHL สามารถทำให้เกิดเนื้อร้ายขึ้นกับระบบอวัยวะภายในช่องท้องได้ (เช่น ไต ตับ ตับอ่อน และต่อมหมวกไต) มันจึงถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มของปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งที่เกิดจากครอบครัวซึ่งมีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม

วัตถุประสงค์ในการตรวจรักษาจึงจำเป็นต้องตรวจหาให้พบตั้งแต่เนิ่นๆ หรือในระยะเริ่มแรกของโรค และจัดการรักษาก่อนที่มันจะเติบโตและทำร้ายเนื้อเยื่อหรืออวัยวะที่มันเกิดอยู่ได้ ซึ่งเราจะเห็นว่าการตรวจก็ต้องทำด้วยการเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ใช่ไหมครับ

สำหรับตอนนี้ก็ได้มีการทำวิจัยถึงวิธีการในการรักษาโรคนี้กันอย่างเข้มข้นด้วยความร่วมมือของผู้ป่วยเองที่เป็นผู้ให้ข้อมูลแก่แพทย์หรือทีมวิจัย และหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้องนะครับ มีการร่วมมือกับบริษัทยาทำการศึกษาหาหนทางอยู่ตลอดเวลา ผมหวังว่าในอนาคตอันใกล้นี้เราจะมีหนทางในการรับมือกับโรคนี้นะครับ แต่สำหรับในระหว่างนี้เราคงต้องอดทนและดูแลตัวเองให้ดี พยายามทำอารมณ์ให้แจ่มใสครับ ความเครียดทำร้ายเราได้สารพัดนะครับ ยิ่งอ่านมากก็ยิ่งทราบว่าความเครียดมีความสัมพันธ์กับโรคหลายๆ โรคเลยทีเดียว รู้อย่างนี้แล้วยิ้มกันเลยนะครับ สวัสดีครับ...

วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2554

เรื่องทั่วไปของเนื้องอกและซีสต์ของโรค VHL

สวัสดีวันอาทิตย์ครับ

วันนี้เอาเรื่องที่เป็นความรู้ทั่วๆไปเกี่ยวกับเนื้องอกและซีสต์ที่เกิดจากโรค VHL นี้มาเล่าให้ฟังกันครับ เราทราบกันดีแล้วว่าโรค VHL นี้ทำให้เกิดเนื้องอกขึ้นในส่วนต่างๆของร่างกายได้หลายที่ เราเรียกเนื้องอกที่เกิดขึ้นที่สมองและไขสันหลัง (สำหรับโรคนี้) ว่า Hemangoblastoma หรือ ฮี แมน จิ โอ บลาส โอ มา นะครับ ซึ่งประกอบไปด้วยหลอดเลือดที่เจริญเติบโตมากผิดปกติ ประกอบกันขึ้นเป็นก้อนเนื้องอกนั่นเอง และเจ้าก้อนเนื้องอกนี้ก็จะเป็นสาเหตุให้เกิดความดัน หรือแรงดันขึ้นมาครับ ซึ่งก็จะไปกดดันระบบประสาทหรือเนื้อสมองได้ ทำให้เกิดอาการต่างๆ ตามมาครับ อย่างเช่น ปวดหัว ปัญหาการทรงตัวขณะเดิน หรือความอ่อนแรงของแขน ขา เป็นต้น นอกจากนั้นการโตของก้อนเนื้องอกเองก็ยังไปก่อให้เกิดการขัดขวางการไหลของน้ำไขสันหลังในสมอง ทำให้ปวดหัวได้เช่นกันนะครับ ดังเช่นในกรณีของผมเอง และลูกสาว ต้องได้รับการผ่าตัดรักษาให้ทันท่วงทีครับ

ในกรณีที่เนื้องอกนี้โตขึ้น อาจทำให้ผนังของหลอดเลือดอ่อนแอลง และทำให้เกิดการรั่วไหลของเลือดออกมาจากผนังหลอดเลือดนั้นซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อที่อยู่รอบๆนั้นได้ เช่นการรั่วไหลของเลือดหรือของเหลวในจอตา (retina) อาจจะมีผลไปบดบังการมองเห็นได้ เป็นต้น ดังนั้นการได้รับการตรวจลูกตาอย่างใกล้ชิดและละเอียดจึงมีความสำคัญมากๆครับ เท่าที่ทราบสถานพยาบาลหลายๆ แห่งสามารถตรวจเรื่องเนื้องอกในจอตาให้เราได้ แต่การที่จะบ่งชี้ว่ามีความสัมพันธ์กับโรค VHL หรือไม่คงไม่สามารถทำได้ทุกที่ คงต้องเป็นสถาบันที่บุคลากรมีความรู้เกี่ยวกับโรคนี้ด้วยครับ ในกรณีของผมไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลศิริราชครับ ซึ่งการไปพบแพทย์ในแต่ละครั้งนั้นต้องใช้ความอดทนอย่างสูงเนื่องจากจำนวนคนไข้ที่เยอะมากนั่นเองครับ ปกติแล้วผมไปถึงโรงพยาบาลประมาณก่อนเจ็ดโมงเช้า จะได้รับการตรวจโดยแพทย์ประมาณเที่ยงหรือใกล้ๆ บ่ายโมงครับ คนไข้เยอะจริงๆ แต่ที่จริงแล้วการที่ต้องเข้าคิวคอยสำหรับผู้ป่วยนานๆ อย่างนั้นก็ยังเทียบไม่ได้กับแพทย์ครับ คุณหมอต้องตรวจคนไข้อย่างไม่ได้หยุดพักเลยตลอดเวลาจนกว่าคนไข้จะหมดในวันนั้น ซึ่งเท่าที่ผมได้มีประสบการณ์มา ส่วนใหญ่แล้วเห็นคุณหมอตรวจไปจนบ่ายสองบ่ายสาม อย่างต่อเนื่องเลยนะครับ ไม่ได้ทานข้าวกลางวันหรือนั่งพักทำโน่นทำนี่อย่างคนไข้เลยครับ ดังนั้นผมจึงยินดีคอยต่อไปครับ

ต่อกันนะครับ ซีสต์ (Cysts) อาจจะเกิดขึ้นได้รอบๆก้อนเนื้องอก ซึ่งซีสต์นี้ก็คือถุงน้ำที่ประกอบไปด้วยของเหลวอยู่ภายใน ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดแรงดันหรือไปขัดขวางการไหลเวียนของระบบของเหลวต่างๆ ของร่างกายและทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยขึ้นมาได้ครับ

ผู้ป่วยชายบางคนอาจพบมีเนื้องอกในถุงอัณฑะ (scrotal sacs) ได้ ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นเนื้องอกธรรมดาไม่ใช่เนื้อร้าย แต่ก็ควรได้รับการตรวจโดยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะนะครับ เช่นเดียวกับเพศหญิงที่อาจจะมีซีสต์หรือเนื้องอกเกิดขึ้นได้ที่อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ซึ่งก็สมควรจะไปตรวจเช่นกันครับ

ปกติแล้วซีสต์หรือเนื้องอกนี้อาจจะเกิดขึ้นได้ที่ไต ตับอ่อน หรือต่อมหมวกไตได้ ดังที่เคยเขียนถึงในตอนก่อนๆไปแล้วนะครับ ซึ่งปกติแล้วซีสต์กับเนื้องอกเหล่านี้จะไม่ก่อให้เกิดอาการใดๆขึ้นให้เราสังเกตได้ง่ายๆ แต่เราก็ต้องพยายามหาวิธีตรวจสอบให้ได้ครับ เพื่อความปลอดภัยของเราเอง อย่างเช่นอาการอย่างหนึ่งของต่อมหมวกไตก็คือความดันโลหิตสูงครับ เจ้าเนื้องอกพวกนี้โดยทั่วไปจะเป็นเนื้องอกธรรมดาไม่ใช่เนื้อร้าย แต่ก็มีที่เป็นเนื้อร้ายได้เช่นกัน โดยเฉพาะที่ไต ดังนั้นการได้รับการตรวจจึงเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ปกติแล้วควรได้รับการตรวจด้วย CT scan หรือ MRI เป็นประจำทุกปีโดยอาจจะมีการตรวจอัลตราซาวด์ร่วมด้วยครับ

สุดท้ายนี้อย่าลืมนะครับว่าซีสต์หรือเนื้องอกจากโรคนี้ในหลายๆแห่งของร่างกายจะไม่มีอาการของโรคปรากฎให้เห็นหรือให้สังเกตุกันได้ง่ายๆ ดังนั้นท่านต้องระวังตัวเองและอาจจะต้องขอตรวจโดยที่แพทย์ไม่ได้เป็นคนสั่งตามที่ท่านเห็นว่ามีเหตุผลเพียงพอนะครับ เพราะในบางกรณีกว่าจะทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองท่านอาจต้องสูญเสียอวัยวะนั้นๆไป หรือดีไม่ดีอาจเสียชีวิตได้ง่ายๆ เลยครับ

คราวหน้าจะเอาเรื่องของโรค VHL กับมะเร็งมาเล่าให้ฟังครับ ว่าเกี่ยวข้องกันอย่างไรบ้าง คอยติดตามกันนะครับ ขอให้โชคดีทุกท่านครับ สวัสดีครับ...

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554

ธรรมะสำหรับคนเจ็บไข้ จากท่านพุทธทาสภิกขุ

สวัสดีครับ วันนี้วันหยุด เช้านี้ที่นี่อากาศดีมากครับ ฝนตกเปาะแปะๆ อากาศเย็นสบาย มีลมพัดมาเบาๆ บรรยากาศน่าพักผ่อนมากๆ ครับ สำหรับคนที่ไม่ต้องทำงานวันเสาร์อย่างนี้ก็คงหยุดสบายและมีความสุขแต่สำหรับท่านที่ยังต้องทำงานกันก็ขอให้สนุกกับงานนะครับ วันหยุดสบายๆ อย่างนี้ผมตั้งใจจะไปวัดครับ จะไปวัดหลวงพ่อปัญญาที่รังสิตคลองหกนี่เอง ใกล้ๆบ้าน อยากจะไปทำบุญและหาที่สงบๆ ทำใจให้สบายหลังจากที่ผ่านเรื่องยุ่งๆ วุ่นวายมาระยะหนึ่งครับ โดยเฉพาะอาทิตย์ที่แล้วที่ญาติๆพากันป่วยเข้าโรงพยาบาลไปตามๆกัน

เมื่อวานหาหนังสือจากชั้นหนังสือที่บ้านอ่าน เจอพ็อกเก็ตบุคเล่มเล็กๆ เล่มหนึ่งพอดีชื่อ ธรรมะสำหรับคนเจ็บไข้ โดยท่านหลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ ครับ อ่านแล้วอยากจะเอาบางส่วนมาเล่าให้ฟังและแลกเปลี่ยนหากท่านใดอยากคุยด้วยนะครับ ที่จริงช่วงที่ตัวผมเองป่วยต้องเข้ารับการผ่าตัดก็ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ไปแล้ว แต่คราวนี้พอหยิบมาอ่านก็ได้อะไรๆ เพิ่มพูนปัญญามากขึ้นไปอีกครับ หนังสือหลายๆ เล่มเรามักจะได้อะไรเพิ่มเติมเสมอเมื่ออ่านซ้ำนะครับ

ที่จริงพออ่านไปแล้ว ไม่เฉพาะคนป่วยเท่านั้นหรอกครับที่จะได้ประโยชน์ คนที่ไม่ป่วยก็ได้มากเช่นกันครับ หลักธรรมของพุธศาสนาใช้ได้กับทุกคนครับ ชีวิตเป็นทุกข์ตั้งแต่เกิดมาแล้วครับ มีเกิดแล้วก็มีแก่ มีเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วก็ตาย เป็นเรื่องธรรมดามาก เราก็ล้วนทราบกันดีว่าชีวิตต้องเป็นเช่นนี้แต่พอเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นกับตัวเราแล้ว เราก็มักจะตั้งสติไม่ทัน เป็นทุกข์ไปกับมันทันทีนะครับ นี่แหละครับเราจึงควรจะมีธรรมะติดตัวไว้เสมอ มีสติพร้อมกับทุกๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับร่างกายและจิตใจนี้ครับ

เรื่องธรรมะสำหรับคนเจ็บไข้ในพระไตรปิฏกได้สรุปว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง เรียกว่า ตถตา-เป็นเช่นนั้นเอง มันมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งกันแล้ว เป็นเช่นนั้นเอง เรียกว่าอิทัปปัจยตา ทุกอย่างมันมีเหตุ มีปัจจัยที่ทำให้เกิดครับ ความเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนต้องมี เราต้องไม่เอาจิตใจไปสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของความเจ็บป่วยนั้นๆ ว่าเป็นตัวเรา เป็นของเรา แล้วทำให้เกิดเป็นความทุกข์ความร้อนใจขึ้นมาครับ เพื่อที่จะไม่เอาความยึดมั่นความมีตัวตนเข้าไปยึดกับอะไรต่างๆเราต้องสร้างความดับไม่เหลือ ให้เกิดขึ้น ซึ่งมีสองอย่างได้แก่ร่างกายตายแล้วดับไม่เหลือ กับอีกอย่างคือความรู้สึกว่าตัวตน ว่าของตน อย่าให้ความรู้สึกว่าตัวตน - ของตนเกิดมาอีก เราควรจะมีสติ ตั้งใจว่าเมื่อร่างกายนี้ดับไปแล้ว เราไม่อยากจะเกิดอีก ซึ่งการเกิดมาอีกก็จะมีแต่ความทุกข์ตามมาเหมือนเดิมครับ คือแก่ เจ็บ แล้วก็ตาย เราคงไม่อยากจะเจออะไรที่มันซ้ำๆ อย่างเดิมอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่านะครับ ทีนี้วิธีการที่จะใช้เพื่อให้เราเข้าถึงความเข้าใจ เข้าถึงความมีสติ รู้ทันสภาพร่างกายและจิตใจ สังขารที่เปลี่ยนแปลงไปก็คือ การทำสมาธิ ครับ การทำสมาธิเป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ เป็นสิ่งที่ทำได้ ไม่เกินวิสัย คือการกำหนดจิตไว้ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ทำสมาธิเพื่อหยุดหรือว่างจากความนึกคิด ปรุงแต่งอันวุ่นวายเหล่านั้น

การทำสมาธิอย่างง่ายที่สุดคือเอาจิตกำหนดที่ลมหายใจ จิตเป็นผู้วิ่งตามลมหายใจเข้าอยู่ ออกอยู่ อย่าไปเครียด ให้ทำอย่างเบาๆ สบายๆ จิตเท่านั้นทำ แล้วจิตก็จะตั้งมั่น จิตก็จะไม่ฟุ้งซ่าน ความทุกข์ก็จะไม่แทรกแซงเข้ามาได้ เพราะจิตตั้งมั่นเสียในสมาธิ

ท่านยังได้กล่าวอีกว่าการบังคับลมหายใจนี้ มันมีผลทั้งต่อร่างกายและจิตใจครับ เราไม่สามารถบังคับร่างกายได้โดยตรง แต่เราบังคับผ่านสมาธิครับ นี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์ของสมาธินะครับ อยากให้ทุกท่านลองดู เพื่อความสุข และสงบที่หาได้ทันทีครับ เป็นความสุขที่ยั่งยืนตามหลักศาสนาโดยตรงด้วยนะครับ

สำหรับวันนี้คงขอลากันไปก่อนตรงนี้ละครับ ขอให้ทุกท่านมีความสุข มีสติรู้ทันสังขารในยามที่เจ็บป่วยกันทุกคนนะครับ สวัสดีครับ...

วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554

ลูกสาวกับพี่สาวผ่าตัดสมองเรียบร้อยแล้ว ผลออกมาดีเยี่ยมครับ

สวัสดีครับ ในที่สุดการผ่าตัดสมองของทั้งพี่สาวและลูกสาวก็ผ่านไปได้อย่างเรียบร้อยครับ สัปดาห์นี้ก็เลยเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสัปดาห์หนึ่งของครอบครัวและญาติๆเลยทีเดียวครับ หลังจากที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ลุ้นกันแทบตาย ทั้งๆที่ก็เคยเป็นกันมากับตัวเองและผ่านการผ่าตัดมาก็เยอะ แต่พอมาเกิดกับคนอื่นในครอบครัวก็อดเป็นห่วงและคิดไปต่างๆนาๆ ไม่ได้นะครับ พอพี่สาวผ่าตัดเสร็จและออกจากโรงพยาบาลได้ก็เลยดีใจแทบแย่ ยิ่งเมื่อลูกสาวก็ออกมาอย่างปลอดภัยด้วยก็ยิ่งทำให้ต้องดีใจกันยกกำลังสองเข้าไปอีก ฟ้าหลังฝนครับ ดูช่างสดใสจริงๆ


รวมเวลาตั้งแต่เข้าโรงพยาบาลจนถึงตัดไหมก็ 8 วันครับ หมอให้กลับมาพักฟื้นต่อที่บ้านอีกประมาณหนึ่งเดือน ลูกสาวคงต้องรีบกวดตามเพื่อนๆเรื่องเรียนให้ทันเอาเอง ก็คงเหนื่อยหน่อย แต่ก็เป็นความเหน็ดเหนื่อยที่คุ้มค่าครับ เมื่อเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องนับว่าโชคดีที่ผลการผ่าตัดออกมาปกติดีครับ เพราะคุณหมอบอกว่าเนื้องอกมันเกิดจากก้านสมอง และไปกดทับก้านสมองจนบวมด้วย การผ่าตัดต้องกระทำอย่างประณีตที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการไปกระทบกระเทือนกับส่วนของก้านสมองเอง ซึ่งคุณหมอบอกว่าหมายถึงชีวิตเลยทีเดียว การกระทบกระเทือนต่อก้านสมองเช่นการไปสะกิดโดนเนื้อก้านสมองออกไปนิดเดียวก็อาจจะหมายถึงการเสียชีวิตได้ หรือความพิการของร่างกายในส่วนที่มันควบคุมอยู่ได้ครับ ก่อนผ่าตัดพ่อแม่จึงค่อนข้างกังวลและคิดไปต่างๆนาครับ ตอนนี้ทั้งพี่สาวและลูกสาวมีสภาพร่างกายทั่วไปปกติดีครับ ไม่ปวดหัวแล้ว มีแต่อาการเดินเซๆ นิดหน่อย และแผลยังตึงๆอยู่ครับ นอกนั้นก็ถือว่าปกติเหมือนคนทั่วไปครับ สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติแล้ว

สำหรับวันนี้ก็คงเท่านี้ก่อนครับ แล้วจะเอาเรื่องราวต่างๆมาเล่าให้ฟังกันใหม่ในคราวต่อๆ ไปนะครับ

สวัสดีครับ...

วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เรื่องของสมอง


เอาแบบสั้นๆนะครับ ส่วนประกอบของสมองมากกว่าร้อยละ 60 เป็นไขมันที่หุ้มเส้นใยประสาท ทำให้เพิ่มความเร็วในการขนส่งกระแสประสาทในสมอง และช่วยเพิ่มความจำด้วย สมองมีหน้าที่เกี่ยวกับ การจดจำการคิด และความรู้สึกต่างๆ เรื่องราวของสมองมีมากมายไม่รู้จบนะครับ ท่านสามารถหาอ่านได้จากแหล่งความรู้ต่างๆ ได้ตามความสะดวกนะครับ

เนื้องอกในสมองที่ครอบครัวผมและลูกสาวเป็นนี้เกิดขึ้นที่สมองส่วนหนึ่งที่อยู่ในสมองส่วนท้าย เรียกว่า ซีรีเบลลัม (cerebellum) ครับ ซึ่งสมองส่วนนี้ทำหน้าที่ควบคุมระบบกล้ามเนื้อให้สัมพันธ์กันและควบคุมการทรงตัวของร่างกาย อาการของผู้ป่วยนี้เห็นได้ชัดเจน ซึ่งจากตัวลูกสาว และจากตัวผมรวมทั้งญาติคนอื่นๆด้วยครับว่าพอเริ่มมีเนื้องอกในสมองเกิดขึ้นก็มักจะมีการเดินเซๆ แล้วครับ อาการอื่นๆที่เกิดร่วมก็มีเช่น ตาลาย เห็นภาพซ้อน หูอื้อ อาจจะปวดกระบอกตาร่วมด้วย อาเจียน เป็นต้นครับ

ยังถือว่าโชคดีครับที่เนื้องอกที่เกิดขึ้นนี้อยู่ในตำแหน่งที่สามารถผ่าตัดได้ง่าย ผมเคยได้ยินมาว่าบางคนเป็นเนื้องอกในสมองส่วนที่อยู่กลางๆ ซึ่งบางครั้งไม่สามารถผ่าตัดได้และถึงกับเสียชีวิตได้เลยครับ

พบกันคราวหน้าครับ

พาลูกสาวไปตรวจ MRI สมองและช่องท้องมาครับ

สวัสดีครับ

เมื่อวานนี้ผมพาลูกสาวไปตรวจ MRI ซึ่งเป็นเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ชนิดหนึ่ง (ใช้หลักการของสนามแม่เหล็ก) มาครับ สาเหตุก็เนื่องจากว่าลูกสาวมีอาการปวดหัวมานานเป็นเดือนๆ แล้ว ช่วงแรกๆ ก็นานๆหลายวันจะปวดทีนึงครับ แต่เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาปวดทุกวันต่อเนื่องครับ และบางครั้งก็มีอาเจียนร่วมด้วย แล้วก็นอนทั้งวัน (นอนเฉพาะตอนที่ไม่ได้เรียนหรือเลิกเรียนแล้วนะครับ หรือจะเรียกว่านอนทุกครั้งเมื่อมีโอกาสก็ได้ครับ) และบวกกับที่รู้แล้วว่าลูกมียีน VHL ที่ผิดปกติด้วย ก็เลยไม่แน่ใจว่าจะมีเนื้องอกในสมองหรือเปล่า เมื่อวานพอมีโอกาสเป็นวันหยุดก็เลยพาลูกไปโรงพยาบาลและขอตรวจ MRI ด้วยเลยครับ


ซึ่งผลที่ออกมาก็ชัดเจนครับ มีเนื้องอกในสมองขนาดประมาณสองเซนติเมตรกว่าๆ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ปวดหัวก็คือ เจ้าก้อนเนื้องอกนี้ไปขัดขวาง-บัง การไหลของน้ำไขสันหลังในสมองครับ คุณหมอบอกว่าควรได้รับการผ่าตัดด่วน ตอนนี้ก็กำลังติดต่อโรงพยาบาลและคุณหมอที่จะทำการผ่าตัดอยู่ครับ เย็นนี้ก็คงพาลูกไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลธนบุรีและคิดว่าคงจะต้องเข้ารับการผ่าสมองภายในสองสามวันนี้ครับ ซึ่งลูกก็คงต้องขาดเรียนไปเป็นเดือนเลยทีเดียว แต่เรื่องสุขภาพก็ควรมาก่อนอยู่แล้วใช่ไหมครับ เพราะถ้าสภาพยังเป็นอย่างนี้ ยังไงก็ไปเรียนไม่ไหวอยู่ดี โชคไม่ดีตรงที่ตอนนี้ก็ใกล้สอบกลางภาคแล้วด้วยครับ แต่ไม่เป็นไร ยังไงก็ต้องสู้ และปรับตัวให้ได้ครับ

สำหรับค่าตรวจ MRI ซึ่งคราวนี้ทำทั้งสมองและช่องท้องส่วนบนและล่าง รวมแล้ว 27,000 บาทครับ ทำที่ศูนย์รัชวิภา MRI ครับ อยู่บนถนนรัชดา ใกล้ๆกับแยกถนนรัชดาภิเษกตัดกับถนนวิภาวดีรังสิตครับ (อันนี้เขียนไว้เผื่อท่านใดอยากทราบเรื่องราคานะครับ) แต่ถ้าทำเอ็กซเรย์สมองอย่างเดียวราคาอยู่ที่ 11,000 บาทครับ เป็นค่าเอ็กซเรย์ 8,000 และค่าฉีดสีอีก 3,000 บาท ใช้เวลาทำไม่นานครับ ซึ่งกรณีของลูกสาวที่ไปทำเมื่อวานใช้เวลาประมาณเกือบสองชั่วโมง (รวมทั้งรายงานผลการตรวจด้วย) ใครสนใจลองเข้าไปดูข้อมูลทางเวบไซต์ได้นะครับ ที่ http://www.rachvipamri.com/ ครับ ผมเอามาลงให้เพื่อเป็นข้อมูลนะครับ ส่วนตัวแล้วผมไม่มีผลประโยชน์อะไรกับศูนย์ครับ ที่จอดรถสะดวกสบายครับ สถานที่กว้างขวาง มีอินเทอร์เนตให้เล่นตอนนั่งรอด้วยครับ ลองดูนะครับ

ตอนนี้ก็วิ่งวุ่นกันทั้งครอบครัว พี่สาวก็กำลังจะผ่าสมองในอีกสองวันข้างหน้า ลูกสาวก็กำลังจะต้องผ่าในอีกสองสามวันข้างหน้าเหมือนกัน ส่วนพี่ชายอีกคนที่อยู่เพชรบูรณ์ก็กำลังจับตาดูอยู่อย่างเข้มข้นว่าจะต้องผ่าในเร็ววันนี้หรือไม่... เป็นครอบครัวที่ไม่ธรรมดาเลยนะครับ สำหรับท่านที่เชื่อเรื่องกรรมก็จะบอกว่าพี่น้องครอบครัวนี้คงทำกรรมร่วมกันมา ซึ่งไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามเราก็ต้องตั้งสติให้ดีและต่อสู้ผ่านเหตุการณ์พวกนี้ไปให้ได้ ใช่ไหมครับ การยอมแพ้นั้นมันง่าย ง่ายเกินไปจนเราไม่รู้จะยอมไปทำไม...

ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพที่แข็งแรง และสนุกกับทุกวันเช่นเคยครับ พบกันใหม่คราวหน้าครับ สวัสดีครับ...

วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เอาความรู้เกี่ยวกับเนื้องอกในสมองมาฝาก

สวัสดีครับ เช้าวันเสาร์วันหยุดของหลายๆคนหลังจากที่ทำงานกันมาทั้งอาทิตย์นะครับ หลายๆ คนก็คงยังไม่ยอมลุกจากเตียงนอนอันแสนจะสบายใช่ไหมครับ แต่สำหรับบางคนที่ต้องทำงานในวันเสาร์ด้วยก็คงออกจากบ้านกันไปแล้ว ขอให้ทำงานให้สนุกและสำหรับคนที่ได้พักผ่อนก็ขอให้มีความสุขกับวันหยุดนะครับ สำหรับวันนี้ผมขออนุญาต (อย่างไม่เป็นทางการ) นำบทความที่เขียนโดยแพทย์เกี่ยวกับเนื้องอกในสมองจากเว็บแห่งหนึ่งมาให้อ่านกันครับ ซึ่งผมเห็นว่ามีประโยชน์ และขอแนะนำให้ผู้อ่านที่สนใจลองเข้าไปอ่านดูตามอัธยาศัยนะครับ ที่ http://www.thaibraintumor.com/ ครับ

เกี่ยวกับเนื้องอกในสมองที่คุณหมอศรัณย์ (ซึ่งท่านจะเป็นคนผ่าตัดเนื้องอกในสมองของพี่สาวในวันจันทร์ที่ 29 นี้ด้วย) ได้เขียนไว้ ผมขอยกเอามาสั้นๆ ดังนี้ครับ

- "การรักษาเนื้องอกในสมองมีอยู่ 3 วิธีหลักๆ  คือ  การผ่าตัด,   การฉายรังสี,   และการให้ยา ในบางครั้งอาจจะต้องใช้หลายๆ วิธีร่วมกันเพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุด

- การผ่าตัด เป็นวิธีหลักของการรักษาเนื้องอกในสมองส่วนใหญ่   ซึ่งอาจจะเป็นเพียงการเจาะดูด  เอาเนื้องอกมาตรวจวินิจฉัย   ผ่าตัดเนื้องอกออกบางส่วนหรือผ่าตัดเนื้องอกออกทั้งหมด ถ้าเนื้องอกอยู่ในตำแหน่งที่สามารถทำผ่าตัดออกได้  โดยไม่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วย แพทย์มักจะพิจารณาผ่าตัดเนื้องอกนั้นจนหมด  หรือออกให้ได้มากที่สุด  เนื่องจากสมองเป็นอวัยวะที่สำคัญ  และมีความละเอียดอ่อนมาก  จึงต้องอาศัยอุปกรณ์ และเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อเพิ่มความปลอดภัย เช่น ในปัจจุบันมีการทำผ่าตัดโดยจุลศัลยกรรม (Microneurosurgery)   ทำให้สามารถมองเห็นจุดเล็กๆ ในสมองส่วนที่อยู่ลึกได้   มีการนำเครื่องนำวิถี (Navigation) มาใช้เพื่อช่วยให้การผ่าตัดสมองมีความแม่นยำมากขึ้น  มีการทำผ่าตัดร่วมกับเอกซเรย์แม่เหล็กในห้องผ่าตัด (Intraoperative MRI) เพื่อช่วยให้ผ่าตัดเนื้องอกออกได้มากขึ้น หรือมีการทำผ่าตัดด้วยการส่องกล้อง (Neuroendoscopic surgery) เพื่อช่วยให้แผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก ในบางครั้งเนื้องอกในสมองอาจอยู่ในตำแหน่งที่มีอันตรายต่อการทำผ่าตัด และอาจมีการทำผ่าตัดโดยที่ผู้ป่วยยังคงรู้ตัวไม่สลบระหว่างผ่าตัด เพื่อที่แพทย์จะสามารถหาตรวจหาตำแหน่งการทำงานของสมองไปได้ด้วยระหว่างการผ่าตัด (Awake craniotomy and brain mapping)  อนึ่งเทคโนโลยีทางการแพทย์มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา และเป็นที่คาดหมายได้ว่าในอนาคตจะมีอุปกรณ์และเทคนิคใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อช่วยให้การผ่าตัดมีประสิทธิภาพ  และความปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีต่างๆ มักจะมีราคาแพง  และต้องจัดซื้อหาจากต่างประเทศทำให้เป็นภาระทั้งต่อผู้ป่วย และประเทศชาติ ดังนั้นจึงควรเลือกใช้เทคโนโลยีตามความเหมาะสม

- การฉายรังสี  มักจะใช้เป็นการรักษาเพิ่มเติม  หลังการผ่าตัดเนื้องอกในสมองบางอย่างที่ไม่สามารถผ่าตัดออกได้หมด  และในบางกรณี สามารถใช้เป็นวิธีการรักษาหลัก 
การฉายรังสีรักษาเนื้องอกในสมองนั้นในปัจจุบันมีการพัฒนาอย่างมาก  มีการนำเทคนิคการฉายรังสีวิธีใหม่ที่เรียกว่า การฉายรังสีรักษา 3 มิติมาใช้  ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนรูปร่างของลำรังสีได้  ตามรูปร่างของก้อนเนื้องอก  ทำให้ได้ปริมาณรังสีรวมสูงสุดอยู่ที่ก้อนเนื้องอกเพียงตำแหน่งเดียว  โดยที่สมองส่วนอื่นๆ ได้ปริมาณรังสีน้อยมาก   เทคนิคนี้ทำให้สามารถเพิ่มปริมาณรังสีที่ก้อนเนื้องอกได้สูงขึ้นมาก  ซึ่งในบางครั้งอาจจะสามารถฉายรังสีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น (Radiosurgery)   ซึ่งนับเป็นความก้าวหน้าทางรังสีรักษาในการรักษาเนื้องอกในสมองในขณะนี้


- การให้ยา เนื้องอกในสมองชนิดร้ายแรงบางชนิด  สมควรได้รับการรักษาโดยการให้ยาเคมีบำบัด  และเนื้องอกในสมองของต่อมใต้สมองบางชนิด  สามารถรักษาโดยการให้ยาควบคุมการสร้างฮอร์โมน  ในปัจจุบันยาเคมีบำบัดบางตัวมีราคาแพงมาก  และไม่สามารถเบิกจ่ายได้ในผู้ป่วยที่ใช้สิทธิประกันสังคมหรือบัตรทอง จึงเป็นอุปสรรคทำให้เป็นภาระหนักต่อผู้ป่วย  หรือทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถเข้าถึงการรักษาได้"

จะเห็นว่ามีวิธีการรักษาที่ต่างกันหลายวิธีนะครับ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะอาการของโรคเป็นหลัก สำหรับคนที่เป็นโรค VHL แล้ว วีธีการหลักที่ใช้ได้แก่การผ่าตัดครับ ซึ่งเท่าที่ผ่านมาในครอบครัวก็มีความปลอดภัย 100 เปอร์เซนต์ครับ

สำหรับวันนี้ขอให้ทุกคนมีความสุข แล้วพบกันคราวหน้านะครับ สวัสดีครับ...

วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ศัพท์บางคำที่น่ารู้ไว้เกี่ยวกับโรค VHL ครับ


สวัสดีกันอีกครั้งครับ สำหรับวันนี้เริ่มกันด้วยรูปของพี่สาวตอนกำลังพักฟื้นหลังจากผ่าตัดเนื้องอกในสมองครั้งแรกเมื่อหกปีที่แล้วครับ พอดีตอนนี้กำลังมีคิวจะต้องเข้าห้องผ่าตัดเนื้องอกในสมองอีกครั้งเป็นครั้งที่สองในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ (29 ส.ค. 54) ที่โรงพยาบาลศิริราช โดยคุณหมอศรัณย์ท่านเดิมครับ ก็เลยถือโอกาสเอาข่าวมาอัพเดทพร้อมกับตั้งใจจะเขียนถึงคำศัพท์ภาษาอังกฤษที่เกี่ยวข้องกับเจ้าก้อนเนื้องอกนี้ให้อ่าน เผื่อว่าถ้าผู้อ่านมีโอกาสต้องพบเจอกับคำพวกนี้ เช่นจากการไปพบแพทย์ จากการตรวจ หรือจากการอ่านหนังสือจะได้พอเข้าใจความหมายครับ เริ่มเลยนะครับ

Lesion (เล-ซึน) คือ โครงสร้างของเนื้อเยื่อที่ผิดปกติ เช่น Angioma

Angioma (แอน-จี-โอ-มา) สำหรับคนที่เป็นโรค VHL คือ เนื้องอกที่เกิดจากหลอดเลือดที่เจริญเติบโตอย่างผิดปกติ ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่า Hemangiomas ได้

Adrenal glands (แอด-รี-นอล แกลนด์) ต่อมหมวกไต แต่ละคนจะมีอยู่สองอัน โดยแต่ละอันจะอยู่ในตำแหน่งเหนือไตแต่ละข้าง

Kidney ไต ปกติคนเรามีสองข้างครับ การตรวจอัลตราซาวด์จะสามารถบ่งบอกการเกิดของซีสต์หรือเนื้องอกในไตได้ ดังนั้นถ้ามีโอกาสควรไปรับการตรวจตั้งแต่เนิ่นๆนะครับ

Benign (บี-ไน) tumor เนื้องอกที่ไม่ใช่เนื้อร้าย (มะเร็ง) และไม่แพร่กระจายไปสู่อวัยวะส่วนอื่นของร่างกาย

Cerebellum (เซอ-อะ-เบล-อัม) สมองส่วนหลัง ทำหน้าที่ควบคุม-กำกับการการเคลื่อนไหว และการทรงตัว

Computed tomography (CT) scan เอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ อาจจะมีการฉีดสีร่วมกับการตรวจด้วย ซึ่งจะใช้ช่วยในการศึกษาเนื้องอก เช่นขนาด และปริมาณของการเกิด

สำหรับวันนี้พอเท่านี้ก่อนนะครับ แล้วพบกันใหม่คราวหน้าครับ และเช่นเคย ขอให้ทุกคนมีสุขภาพแข็งแรง จิตใจเบิกบานตลอดวันและตลอดไปครับ สวัสดีครับ...

วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เมื่อตรวจพบว่าตัวเองเป็น VHL ควรทำอย่างไรดี

นับว่าเป็นข่าวที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ครับถ้าทราบว่าผลตรวจ DNA พบว่าเรามียีน VHL ที่ผิดปกติ เพราะเราทราบดีว่านั่นคือเรามีโอกาสที่จะต้องผ่าเนื้องอกในสมอง โอกาสที่จะต้องรักษาตาด้วยการยิงเลเซอร์ เราอาจจะเป็นเนื้องอกในไต นับอ่อน ต่อมหมวกไต หรือที่อื่นๆ อีกมากมาย ที่สำคัญลูกหลานเรายังมีโอกาสที่จะเป็นเหมือนกับเราอีกด้วยครับ

แล้วจะทำอย่างไรดีครับ?

อย่างแรกเลยคือต้องไม่ตกใจคร้บ... ใช่แล้วครับ อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะถึงแม้เราจะมียีน VHL ที่ผิดปกติ แต่อาการต่างๆที่เกี่ยวข้องก็ไม่แน่นอนเสมอไปครับ เราอาจจะไม่ถูกผ่าตัดเลยก็ได้ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับหลายๆอย่างครับ เอาเป็นว่าเมื่อรู้ว่าเป็นแล้วสิ่งที่ต้องทำต่อไปก็คือเฝ้าระวังและหมั่นสังเกตตัวเองให้ดีครับว่ามีอะไรที่ผิดปกติไปจากเดิมหรือไม่ เช่น ปวดหัว มึน เดินเซ ตาพร่า อาเจียน หรืออะไรอื่นๆ ที่ตัวเราเองจะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนครับ ที่สำคัญอาการเหล่านั้นจะไม่หายไปง่ายๆ แต่จะเพิ่มมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่รู้ครับ เมื่อเห็นว่ามีอะไรผิดปกติขึ้นกับตัวเองแล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อไปก็คือไปหาหมอครับ อย่าได้รอช้า โดยเฉพาะถ้าต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลของรัฐเพราะคนไข้เยอะและเราจะต้องรอคิวนานมาก ถ้ารอให้ปวดมากแล้วค่อยไปเราอาจจะทนไม่ได้นะครับ...

อีกอย่างหนึ่งคือควรจะพาลูกหลานไปตรวจหายีนผิดปกติ VHL ด้วยครับ เพราะการทราบว่าเป็นตั้งแต่เนิ่นๆ ย่อมดีกว่า เพราะเราก็จะระวังตัวเมื่อมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นทำให้ได้รับการรักษาทันท่วงทีครับ สำหรับวันนี้ผมคงต้องพอก่อนเพราะรู้สึกเหนื่อยครับ เหนื่อยเพราะว่าร่างกายอาจจะเริ่มอ่อนแอจากการได้รับการผ่าตัดมาหลายครั้ง และอวัยวะภายในไม่ค่อยสมบูรณ์เหมือนเดิมแล้วครับ ที่เล่าให้ฟังก็เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้อ่านครับ ว่าถึงแม้เราจะปลอดภัยจากการรักษาต่างๆในแต่ละครั้ง แต่ผลกระทบระยะยาวก็มีอยู่ครับ

ขอให้มีกำลังใจและสุขภาพที่ดีกันทุกคนครับ สวัสดีครับ...

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

CT สแกน ตรวจหาความผิดปกติในสมองและทั่วร่างกาย

สำหรับผู้ป่วย VHL แล้ว การทำ CT scan หรือเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ถือว่าเป็นเรื่องปกติมากครับ คุณหมอจะส่งเราเข้าห้องตรวจด้วยเครื่องมือนี้เพื่อดูว่าเรามีเนื้องอกในสมอง ไขสันหลังหรือที่ใดๆในร่างกายหรือไม่ ที่จริงแล้วไม่ใช่แค่ตรวจเนื้องอกอย่างเดียวหรอกครับ ความผิดปกติอื่นๆก็ดูได้เช่นกันครับ

แต่ในบางกรณีจะเห็นว่าเราก็ได้รับการตรวจด้วย MRI หรือตรวจด้วยคลื่นรังสีแม่เหล็กเหมือนกัน อันนี้ผมไม่ทราบเหมือนกันว่ากรณีไหนต้องใช้วีธีอะไร เอาไว้คราวหน้าจะค้นคว้ามาเล่าให้ฟังครับ แต่เท่าที่มีประสบการณ์มา การตรวจด้วย CT scan จะมีราคาถูกว่าการตรวจด้วย MRI มากกว่าครึ่งครับ แต่ผมคงไม่แนะนำว่าให้เราตรวจด้วยวีธีนั้นวิธีนี้ดีกว่าอย่างนั้นแน่ๆครับ อันนั้นเป็นเรื่องที่คุณหมอพิจารณาอยู่แล้ว เราไม่ทราบหรอกครับว่าเราควรจะได้รับการตรวจด้วยวิธีไหน ดังนั้นถ้าคุณหมอสั่งให้ไปตรวจอันไหนก็ต้องทำนะครับ สำหรับวันนี้ผมมีข้อมูลมาเล่าให้ฟังนิดหน่อยเกี่ยวกับการได้รับรังสีจากการตรวจด้วย CT ครับ

ที่เขียนเรื่องการได้รับรังสีจากการตรวจด้วย CT scan นี้ไม่ได้เขียนเพื่อจะให้ท่านกลัวการตรวจด้วยวิธีนี้นะครับ เพราะในความเป็นจริงแล้ว ผลของการได้รับรังสีจะมีอันตรายน้อยมากเมื่อเทียบกับประโยชน์ที่จะได้รับ คือเทียบกันไม่ได้ครับ การไม่ได้รับการตรวจด้วยวิธีนี้เสียอีกที่อาจมีอันตรายถึงชีวิตได้หากเนื้องอกนั้นๆไม่ได้รับการวินิจฉัย แต่ที่เอามาเขียนก็เพื่อเป็นความรู้และคลายความกังวลของผู้ป่วยครับ สำหรับบางแห่งในอเมริกาหรืออาจจะประเทศอื่นๆบางประเทศ ได้มีการตรวจร่างกายทั้งตัวด้วยวิธี CT scan กันเป็นประจำทุกปีครับ ก็เป็นการตรวจสุขภาพประจำปีนั่นแหละครับ เพียงแต่ว่าบางที่อาจจะใช้วีธีนี้เป็นวิธีการหลักด้วย ซึ่งในบ้านเราเท่าที่ทราบยังไม่เห็นมีทำกันขนาดนั้นนะครับ การตรวจสุขภาพประจำปีในส่วนของผมที่ผ่านมาก็มีการตรวจทั่วๆไป ไม่ถึงกับต้องทำเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์อะไรครับ แต่ก็มีการทำเอ็กซเรย์ทรวงอกเพื่อดูสภาพปอดทุกๆ 2 ปีครับ หรือถ้าอายุ 35 ปีขึ้นไปก็อาจจะต้องตรวจอัลตราซาวด์ช่องท้องร่วมด้วย

โดยสรุปก็คือว่าร่างกายเรามีโอกาสได้รับผลกระทบจากรังสีเนื่องจากการตรวจด้วย CT scan แต่ก็ถือว่าในปริมาณที่น้อยมาก และการตรวจด้วยวิธี CT scan ก็ยังมีความจำเป็นสำหรับผู้ป่วย VHL เป็นอย่างมาก ซึ่งถ้าจะเปรียบเทียบระหว่างประโยชน์ที่จะได้รับกับความเสี่ยงต่อรังสีที่จะได้รับแล้ว การทำ CT scan ถือว่ามีความจำเป็นและมีประโยชน์มากกว่าโทษอย่างเทียบกันไม่ได้ครับ ดังนั้นไม่ต้องกังวลใจไปครับ เข้าไปตรวจด้วยความรู้สึกสบายๆ ที่จริงแล้วควรจะดีใจด้วยซ้ำไปครับที่เราจะได้รับการวินิจฉัยแล้วว่าไอ้ที่เราปวดหัว มึนๆ หรืออะไรต่างๆเหล่านั้น มันเกิดจากอะไรกันแน่

ขอให้มีสุขภาพที่ดีและมีความสุขกันทุกคนครับ สวัสดีครับ...

วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2554

การประชุมนานาชาติเรื่องโรค VHL... ความหวังในการค้นพบยารักษา!!!

ที่อเมริกามีการรวมตัวของกลุ่มบุคคล-ครอบครัวที่เป็นหรือเกี่ยวข้องกับโรคนี้ครับ ชื่อว่า VHL Family Alliance ครับ ซึ่งจะทำการสนับสนุนการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับโรคนี้ ร่วมปรึกษาหารือระหว่างครอบครัวและผู้ป่วย และอีกมากมายครับ จุดประสงค์หลักก็คือการรวมตัวกันเพื่อหาแนวทางการรักษาโรค (โดยร่วมมือกับสถาบันทางการแพทย์ องค์กรทางวิทยาศาสตร์และอื่นๆอีกมากมาย) และเป็นศูนย์รวมของทุกเรื่องเกี่ยวกับโรคนี้ในประเทศของเขา และที่จริงก็ร่วมมือกับสถาบันหรือกลุ่มต่างๆที่เกี่ยวข้องทั่วโลกครับ เช่นที่ยุโรปในหลายๆประเทศ ญี่ปุ่น แอฟริกาใต้... เยอะแยะครับ

ชมรมนี้จะจัดการประชุมนานาชาติเป็นประจำทุกปี ปีละ 1-2 ครั้งครับ โดยหมุนเวียนสถานที่จัดไปเรื่อยๆในแต่ละประเทศ สำหรับของปีหน้าจะจัดขึ้นในวันที่ 26-29 ม.ค. ที่เมืองฮุสตันรัฐเท็กซัสอเมริกาครับ ปีนี้จัดไปแล้วที่เท็กซัสเหมือนกัน สำหรับผลการวิจัยที่มีการนำมาเผยแพร่ผมจะจัดการนำมาลงให้อ่านกันในโอกาสต่อๆไปนะครับ

สำหรับเรื่องที่เขียนในวันนี้ก็ถือว่าเป็นข่าวดีต่อผู้ป่วยและญาติทุกคนครับ เพราะนั่นก็หมายความว่ามีผู้ที่กำลังพยายามค้นคว้าวิจัยหาแนวทางในการรักษาโรคนี้อยู่อย่างต่อเนื่องและไม่ลดละ เราจะเห็นว่ามีผู้ป่วยโรคนี้อีกมากในที่อื่นๆในโลกนี้ เราไม่ได้เป็นอยู่คนเดียวครับ ถึงแม้วันนี้จะยังไม่มีทางรักษาแต่ในวันหน้ามีแน่นอนครับ แล้วพบกันใหม่ครับ ขอให้สนุกกับวันนี้ครับ สวัสดีครับ...

วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เนื้องอกต่อมหมวกไต (pheochromocytoma หรือ pheo-ฟีโอ)

ต่อมหมวกไตเป็นอวัยวะขนาดเล็กประมาณ 3x2x2 เซนติเมตรครับ หรือยาวประมาณ 1 นิ้วครับ ก็ขนาดเล็กๆ ใหญ่กว่าหัวแม่มือนิดหน่อย อยู่เหนือไตทั้งสองข้างครับ ทำงานผลิตฮอร์โมนหลายชนิด ที่เรารู้จักกันดีก็ฮอร์โมน "อะดรีนาลีน" ครับ ซึ่งหน้าที่หลักของต่อมหมวกไตคือควบคุมการไหลเวียนของโลหิตและการหดตัวของเลือด นอกจากนี้ยังมีหน้าที่เพิ่มระดับน้ำตาลและกรดไขมันในเลือด เพิ่มอัตราเมตาบอลิซึม เพิ่มการเต้นของหัวใจ เพิ่มการบีบตัวของเส้นเลือด อีกด้วย

ทีนี้มาพูดถึงเนื้องอกที่เกิดขึ้นที่ต่อมหมวกไตกันครับ ซึ่งตัวผมเองก็มีเนื้องอกชนิดนี้เกิดขึ้นที่ต่อมหมวกไตขวาและได้รับการผ่าตัดเอาออกไปแล้ว ตอนนี้ก็เหลือต่อมหมวกไตซ้ายอยู่ข้างเดียวครับ แต่ถึงแม้จะเหลือเพียงข้างเดียวก็ยังไม่ต้องกินฮอร์โมนอะไรเพิ่มเติม เพราะข้างที่เหลืออยู่ก็ทำหน้าที่ได้ปกติดี สำหรับเนื้องอกต่อมหมวกไตที่เกิดจากโรค VHL นั้นมีชื่อเรียกเฉพาะว่า Pheochromocytoma หรือเรียกสั้นๆว่า Pheo หรือฟีโอ ครับ เจ้าเนื้องอกชนิดนี้โอกาสของการเกิดขึ้นในแต่ละครอบครัวมีไม่เท่ากัน นอกจากนั้นโอกาสที่จะพบว่าเจ้าฟีโอนี้จะเป็นเนื้อร้ายก็มีน้อยลงไปอีก คือเพียง 3 เปอร์เซนต์เท่านั้นเอง ดังนั้นทุกท่านไม่ควรจะวิตกจนเกินไปนะครับ แต่ก็ไม่ควรประมาทอยู่ดี เจ้าฟีโอนี้ก็เหมือนกับเนื้องอกที่เกิดขึ้นที่อื่นๆ คือถ้าพบเร็วก็จะไม่อันตรายมากนักและง่ายต่อการรักษาแต่ถ้าพบช้าเกินไปหรือปล่อยไว้เนิ่นนานไม่ทำการรักษาสักที ก็มีอันตรายถึงชีวิตได้เหมือนกันจากผลต่อหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนั้นยังมีความเสี่ยงต่อการมีความดันเลือดสูงในระหว่างการผ่าตัด การประสบอุบัติเหตุ หรือการคลอดบุตรได้

เราทราบแล้วว่าต่อมหมวกไตสร้างฮอร์โมนอะดรีนาลีน ซึ่งบางกรณีร่างกายจะใช้ในการสร้างพลังอย่างฉับพลันเช่นในกรณีฉุกเฉิน (ไฟไหม้) เป็นต้น ทำให้เราพร้อมที่จะผจญกับเหตุต่างๆเหล่านั้นเพื่อเอาตัวรอดได้ครับ เนื้องอกฟีโอที่ต่อมหมวกไตจะสร้างฮอร์โมนความดันที่มากเกินไปเข้าสู่กระแสเลือดครับ ดังนั้นอาการแรกๆของผู้ป่วยคือจะมีความดันเลือดสูงหรือขึ้นๆลงๆ ไม่คงที่เหมือนคนปกติ โดยเฉพาะการสร้างความดันสูงเฉียบพลัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อหัวใจและหลอดเลือดได้ ทำให้เกิดหัวใจวายได้ อาการอื่นๆที่ผู้ป่วยควรสังเกตุตัวเองก็คือ ปวดหัว เหงื่อออกเย็นๆ หัวใจเต้นเร็วหรือไม่สม่ำเสมอ หรือการมีความรู้สึกไม่ปกติเช่นตื่นตระหนก กังวล รู้สึกกลัวเป็นต้น

สำหรับการตรวจเพื่อหาว่าเป็นเนื้องอกชนิดนี้หรือไม่แพทย์จะตรวจจากเลือดและปัสสาวะ แต่ถ้าจำเป็นก็อาจจะมีการตรวจด้วยวิธีเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ร่วมด้วย (เช่น CT scan, MRI, MIBG, PET) อย่างในกรณีของผมซึ่งนอกจาก CT scan แล้ว ยังได้รับการตรวจ MIBG เพิ่มเติมอีกครับ ซึ่งจะทำให้ทราบตำแหน่งของเนื้องอกนี้ว่าเกิดขึ้นที่ต่อมหมวกไตหรือที่อื่นๆของร่างกายครับ (paragangliomas)

และเมื่อทราบว่าเป็นแล้ว การรักษาก็ทำได้โดยการตัดออกไปบางส่วนเฉพาะบริเวณที่เป็นเนื้องอกหรือตัดต่อมหมวกไตออกทั้งหมดครับ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะการเกิดและขนาดครับ

ข้อแนะนำเวลาจะไปเข้ารับการตรวจหาฟีโอคือ ควรงดสูบบุหรี่ งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน (ชา กาแฟ เป็นต้น) เป็นเวลาอย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อนเข้ารับการตรวจนะครับ เพื่อให้ได้ผลการวินิจฉัยที่ถูกต้องนะครับ นอกจากนี้ถ้าท่านรับประทานยาลดความซึมเศร้า หรือยาอื่นใดอยู่ด้วยก็ควรแจ้งให้แพทย์ทราบนะครับ

ก่อนจากกันวันนี้ผมมีรูปน่ารักๆที่ลูกสาววาดขึ้นมาจากไอศกรีมที่ไปทานกันครับ เราไปทานอาหารกันที่ฟาร์มโชคชัยในวันหยุดวันแม่ที่ผ่านมาครับ ผมเห็นว่าน่ารักดีและยังช่วยเตือนให้เรามีอารมณ์กุ๊กกิ๊กไม่เครียดด้วยครับ


สุดท้ายนี้ก็ขอให้ทุกท่านมีความสุข อยู่อย่างไม่เครียด มีอะไรเข้ามาในชีวิตก็ลุยไปกับมันเลยนะครับ สวัสดีครับ...

วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กลอนวันแม่



เป็ดไก่นี้ดีนักลูกรักแม่                                   ขุนก็แน่ยาทก็เจ๋งโจ้ก็แจ๋ว
ใครเทียมเทพเล็กลูกรักยอดเด็กแนว            ลูกแม่แอ๊วล้วนกำพร้ามานานนม

อีกสมควรชายน้อยและเจ้าหมู                      ใครอุ้มชูดูมาแต่ฝาหอย
มนัสยาอีกเล่าที่เฝ้าคอย                               ตั้งแต่น้อยได้พึ่งพิงแม่อิ้งมา

ส่วนศรีพรรณกับยุพาลัยก็ใช่ย่อย                  ลูกแม่ไรสู้ไม่ถอยคอยสรรหา
ทั้งน้ำพริกสารพัดจัดหามา                            ไม่รอช้าให้เสือธรรมได้หม่ำเอย

วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เนื้องอกในสมอง และกระดูกสันหลัง (Brain and spinal hemangioblastomas)

สวัสดีครับ วันนี้เอาเรื่องเนื้องอกในสมองและกระดูกสันหลังมาเล่าให้ฟังกันครับ เนื่องจากว่าพอดีพี่สาว(ลูกคนที่สามของแม่เดียวกัน) กำลังมีอาการปวดหัวแปลกๆ เป็นเวลาหลายวันมาแล้ว รวมวันนี้ก็น่าจะประมาณหนึ่งเดือนพอดี ซึ่งจากอาการและระยะเวลาที่ปวดก็น่ากังวลว่าอาจจะมีเนื้องอกขึ้นในสมองอีกก็เป็นได้ แต่จะเป็นหรือไม่คงเป็นหน้าที่ของคุณหมอที่จะวินิจฉัยครับ ซึ่งคุณหมอก็นัดทำเอ็กซเรย์สมองไว้แล้วครับ อีกไม่นานคงจะได้รู้ผลกันครับ ว่าจะโชคดีหรือโชคไม่ค่อยดี...

สำหรับอาการที่เกิดจากเนื้องอกในสมอง (ส่วนหลัง หรือ ก้านสมอง) และกระดูกสันหลังนั้นขึ้นอยู่กับตำแหน่งของเนื้องอก ขนาดของมัน แล้วก็ยังขึ้นอยู่กับการบวมหรือซีสต์ที่เกิดร่วมด้วยครับ เค้าบอกว่าปกติแล้วซีสต์จะส่งผลให้เกิดอาการต่างๆมากกว่าเนื้องอกครับ และเมื่อเนื้องอกได้รับการผ่าตัดเอาออกแล้ว เจ้าซีสต์นี้ก็จะฝ่อไปเอง แต่ถ้ายังมีส่วนของเนื้องอกหลงเหลืออยู่ เจ้าซีสต์นี้ก็จะโตขึ้นมาอีกได้

เนื้องอกที่มีขนาดเล็กกว่า 3 เซนติเมตร ซึ่งไม่ได้เกิดร่วมกับซีสต์ด้วย บางครั้งก็จะรักษาโดยการฉายรังสี ซึ่งการรักษาโดยวิธีนี้ยังคงมีการศึกษาอย่างต่อเนื่องถึงผลกระทบระยะยาวของมันครับ เขียนมาถึงตรงนี้ผมก็ต้องขอออกตัวก่อนว่าที่เขียนมาทั้งหมดนี้เป็นการแปลจากเอกสารภาษาอังกฤษจากแหล่งที่น่าเชื่อถือได้ แต่การแปลอาจจะไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซนต์ถึงขนาดที่จะเอาไปอ้างอิงได้นะครับ เป็นเพียงความพยายามของผมที่จะถ่ายทอดข้อมูลที่ได้รับมาให้กับญาติพี่น้อง ผู้ป่วยอื่นๆ ญาติ หรือท่านใดก็ตามที่ได้เข้ามาอ่านซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์ต่อท่านบ้าง ถ้าจะให้เกิดความมั่นใจแน่นอนในกรณีที่ท่านต้องได้รับการรักษา ผมแนะนำให้ไปพบและปรึกษาแพทย์เท่านั้นครับ อย่าตัดสินใจเอาเองโดยคิดว่าเข้าใจจากข้อความเหล่านี้เอาเองนะครับ เพราะนั่นอาจจะไม่เพียงพอต่อการดูแลสุขภาพของท่านครับ

สำหรับผมเองผ่าตัดสมองครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2548 ครับ ผ่านมาแล้ว 6 ปี ตอนนี้สบายดีครับ และพยายามออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอครับ หวังว่าคงจะไม่ต้องเข้ารับการผ่าตัดอีกแล้ว สุดท้ายนี้ก็ขอให้ทุกคนแข็งแรงทั้งกายและใจครับ สวัสดีครับ...

วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เป็น VHL รักษาไม่หาย... แต่...

สวัสดีครับ ไม่เจอกันหลายวัน วันนี้มีเรื่องเบาๆมาคุยกันครับ เรื่องเบาๆ แต่ว่าสำคัญกับทุกคนเลยนะครับ ก็คือว่า เหมือนที่เขียนเป็นชื่อเรื่องไว้นั่นแหละครับ คือ เป็นโรคนี้แล้ว ตอนนี้ยังรักษาไม่หาย คือยังไม่มียารักษาให้หายขาดครับ แต่ว่าเราก็มีวิธีรับมือกับมันครับ

เค้าบอกว่าวิธีที่ดีที่สุดในการรับมือกับโรคนี้คือการที่เราต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยโดยเร็ว มีการติดตามและรักษาอย่างเหมาะสมกับสถานะการณ์ โดยให้ร่างกายมีการบอบช้ำน้อยที่สุด และคำนึงถึงสุขภาพโดยรวมในระยะยาว พูดง่ายๆก็คือถึงแม้ว่าจะยังไม่มียารักษาให้หายขาดได้แต่ก็มีแนวทางปฏิบัติที่จะทำให้เราอยู่กับมันได้อย่างมีความสุข (ตามสมควร) นั่นก็คือเราต้องได้รับการตรวจที่ทันเวลา ไม่ช้าจนเกินไปจนอาการของโรค (เนื้องอก หรือ ซีสต์) เป็นมากจนเกินไป ซึ่งจะทำให้การรักษายากลำบากขึ้น และอาจเป็นอันตรายได้ อย่างเช่นในกรณีของผมที่ตอนผ่าสมองครั้งแรกนั้นกว่าจะรู้ว่าเป็นอะไรก็เกือบสายเกินไป เมื่อเนื้องอกได้โตมากจนไปเบียดเนื้อสมองจนเป็นแผล และไปขัดขวางทางเดินของน้ำไขสันหลังในสมอง จนทำให้เกิดน้ำคลั่งในสมอง สมองบวม และปวดหัวจนแทบจะทนไม่ได้ ซึ่งถ้าไม่ได้รับการผ่าตัดทันเวลาก็จะเสียชีวิตได้ เป็นต้นครับ

นอกจากนี้การติดตามอาการหลังการผ่าตัด หรือการติดตามขนาดของเนื้องอกในอวัยวะต่างๆ อย่างใกล้ชิดก็สำคัญมากเช่นกัน หรือถึงแม้จะได้รับการผ่าตัดเอาออกแล้วก็ตาม เพราะว่าเนื้องอกหรือซีสต์จากโรคนี้มันสามารถเกิดขึ้นมาได้อีกหลายต่อหลายครั้งนั่นเอง จะเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยที่จะรับมือกับมันแต่ก็ไม่ยากเกินไปใช่ไหมครับ ถึงอย่างไรมันก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเราอยู่แล้ว หาวิธีรับมือที่จะอยู่กับมันให้ได้นะครับ นอกจากการตรวจและติดตามผลโดยแพทย์แล้ว ตัวเราเองก็มีหน้าที่ที่สำคัญเช่นกันคือต้องดูแลร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ และจัดการกับความเครียดให้ได้ ต้องไม่เครียดมากจนเกินไปนะครับ เพราะความเครียดนั้นส่งผลไม่ดีโดยตรงต่อร่างกายนะครับ ส่วนผลต่อจิตใจก็คงทราบกันดีอยู่แล้วว่าเป็นอย่างไร

ขอให้ทำงานให้สนุกนะครับ สวัสดีครับ...

วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เครียดมั้ย?


สวัสดีครับ พบกันอีกครั้งในวันหยุดสุดสัปดาห์ครับ วันนี้วันเสาร์ อากาศที่รังสิตนี่สบายมากครับ อากาศยามเช้า เย็นสบาย และมีลมพัดมาตลอด เสียงกิ่งไม้เสียดสีกวัดแกว่งไปตามแรงลมดังมาเป็นระยะๆ บรรยากาศเหมาะกับการอยู่บ้านพักผ่อนจริงๆครับ หวังว่าทุกท่านคงมีความสุขในวันนี้ และกับทุกๆวันด้วยนะครับ

ที่จริงความสุขสามารถสร้างขึ้นได้ง่ายๆ จากความรู้ตัวและการอยู่กับปัจจุบันครับ คำพระท่านว่าอดีตก็ผ่านไปแล้ว อนาคตก็ยังมาไม่ถึง ปัจจุบันคือสิ่งที่มีค่ามากที่สุด ถ้าเราไม่ไปกังวลกับอดีตหรือนึกถึงอนาคตมากเกินไป เราก็สามารถมีความสุขกับปัจจุบันได้ทันทีครับ ง่ายมากใช่ไหมครับ...

หลักพุทธศาสนา หรือศาสนาอะไรก็ตาม ต่างก็คล้ายคลึงกันตรงที่สอนให้เรามีสติ รู้ทันกาย ใจ ไม่มัวไปกังวลกับเรื่องต่างๆมากเกินไปนะครับ วันนี้ผมอยากพูดคุยเรื่องเบาๆกัน แต่สำคัญมากๆ สำหรับผู้ป่วย จริงๆแล้วก็สำคัญกับทุกๆคนเลยทีเดียวครับ ฝรั่งเค้าเขียนไว้ในหนังสือว่า "อยู่อย่างรู้ทัน" เขียนไว้ดังนี้ครับว่า การที่เรารู้ตัวว่าเราเป็นโรคที่รักษาไม่หายเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดความเครียดมากให้กับเรา (ที่จริงแล้ว คนที่ไม่ได้เป็นโรคนี้ทุกคนต่างก็มีความเครียดเหมือนกัน ต่างกันตรงรายละเอียดเท่านั้นนะครับ) ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่สำหรับชีวิตความเป็นอยู่ของทั้งชีวิตเรานะครับ ดังนั้นถ้าอยากจะมีชีวิตที่มีความสุข เราต้องจัดการรับมือกับเจ้าความเครียดนี้ให้ได้ วิธีการก็มีหลายอย่าง เช่นเราอาจจะหากิจกรรมทำ โดยการออกกำลังกาย ฝึกโยคะ สวดมนต์ หรือนั้งสมาธิ เป็นต้น ทำอันไหนก็ดีทั้งหมดแหละครับ ขอให้เราลงมือทำก็แล้วกัน อย่ามัวแต่นึกนะครับ เวลานั้นผ่านไปอย่างรวดเร็วและไม่เคยคอยใครเลยครับ นอกจากกิจกรรมต่างๆ แล้ว เรายังต้องเรียนรู้ที่จะไม่เก็บเอาความเครียด ความรู้สึกโกรธ น้อยใจ เสียใจที่ตัวเองไม่สบาย นี้ไว้กับตัวคนเดียวนะครับ เราควรที่จะพูดคุยอย่างเปิดเผยไม่ว่าจะกับคุณหมอ กับพ่อแม่พี่น้อง สามี ภรรยา ลูกหลานเป็นต้น คุยให้หมดครับ เราจะได้สบายใจ และที่สำคัญ เราทุกคนล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกันครับ การที่เราไม่สบายย่อมส่งผลกับผู้คนรอบข้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อย่าเก็บเอาไว้คนเดียวครับ การเป็นโรคนี้ (หรือโรคอื่นๆ ก็ตาม) มันไม่ใช่เป็นความผิดครับ แต่มันคือโรค! มันคือโรคครับ เพราะฉะนั้นอย่าอายที่จะพูดคุยกับคนอื่น เราไม่ได้ไปทำความผิดอะไรที่ไหนมานี่ครับ

สำคัญที่สุด เราควรที่จะเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนวิกฤติหรือความกดดันเหล่านั้นให้เป็นพลังครับ ใช้อุปสรรคเหล่านั้นเปลี่ยนให้เป็นแรงผลักดันให้ชีวิตเราก้าวต่อไป...ยังมีเวลาอีกมากมายพอให้เราได้แสดงฝีมือ เรายังต้องก้าวไปข้างหน้าอีกนานครับ ขอให้ทุกคนมีพลานามัยที่สมบูรณ์ มีสติปัญญาที่พร้อมอยู่ตลอดเวลา และมีความเพียรที่บริสุทธิ์ตลอดไปครับ สวัสดีครับ...

วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ไปตรวจไตหลังผ่าตัดตามแพทย์นัดมาครับ

วันนี้หยุดงานไปตรวจตามแพทย์นัดที่ศิริราชครับ คนเยอะเหมือนเดิม หมอนัด 9 โมงครึ่ง ผมไปยื่นบัตรตอนก่อน 8 โมงเช้านิดหน่อย เจ้าหน้าที่บอกให้ไปวัดความดัน ทานข้าวแล้วกลับมานั่งรอเรียกชื่อซึ่งผมทานข้าวเช้ามาแล้ว ก็เลยไปวัดความดันเลย แล้วก็นั่งรอด้านนอกครับ เจ้าหน้าที่เรียกชื่อให้เข้าไปนั่งรอข้างในหน่วยตรวจตอนประมาณ 9 โมง 10 นาที ครับ ซึ่งตอนที่เรียกชื่อเราจะต้องเอากระดาษจดผลความดันที่วัดไปแล้วยื่นให้เจ้าหน้าที่ครับ เจ้าหน้าที่จะแจกสติกเกอร์เล็กๆ เขียนชื่อตัวย่อของแผนกที่จะไปตรวจเป็นภาษาอังกฤษให้ แล้วบอกให้ไปนั่งรอข้างในซึ่งตรงนั้นก็จะต้องรอเจ้าหน้าที่ส่วนนั้นเรียกชื่ออีกที ผมได้พบหมอตอน 10 โมง 45 นาทีพอดีครับ คุณหมอถามอาการว่าเป็นอย่างไรบ้าง พร้อมกับชมว่าดูสดใสขึ้นนะ แล้วก็ขอดูแผลที่หน้าท้อง ซึ่งก็ดูปกติดี จากนั้นไม่นานคุณหมอก็บอกว่านัดอีกที 6 เดือนนะ แต่ว่าคราวหน้าจะตรวจอัลตราซาวด์ด้วย คราวนี้ไม่ได้ตรวจอะไรเป็นพิเศษครับ รวมเวลาทั้งหมดหลังจากที่ทำใบนัดพบแพทย์ และใบนัดตรวจอัลตราซาวด์ด้วยก็เสร็จตอนประมาณ 11 โมงครึ่งครับ สบายๆ ครับ ไม่นานเกินไปนะครับ อยากจะแนะนำท่านที่ต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลว่าควรไปยื่นบัตรแต่เช้าตามที่แจ้งไว้ในใบนัด เพราะมีผู้ป่วยจำนวนมากไปขอตรวจในแต่ละวัน ถ้าเรามาช้า ไม่ตรงตามนัด การตรวจวันนั้นของเราอาจจะเลยเวลาไปเยอะก็ได้ครับ จะหงุดหงิดกันเปล่าๆ

หลังจากเสร็จภารกิจกับคุณหมอเรียบร้อยผมก็ไปหาข้าวกลางวันทานที่ท่าวังหลังครับ อาหารเยอะมาก วันนี้นั่งริมน้ำ รับลมเย็นๆ โดยเฉพาะช่วงนี้ที่อากาศกำลังสบายๆ ครับ มีฝนตกปรอยๆ อยู่เป็นระยะเนื่องจากพายุนกเต็นเข้ามาครับ ทานข้าวเสร็จก็ซื้อขนมกลับบ้านมาฝากลูกๆ ครับ สบายกันไปอีกหนึ่งวัน... สวัสดีครับ

วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2554

VHL ในตา รักษาแล้วก็ขึ้นมาอีก ตรวจกันจนเบื่อละครับ



วันนี้เอารูปมาลงแบบที่ดูแล้วอาจจะสงสัยว่าเกี่ยวอะไรกับโรค VHL เหรอ? ... ฮ่าๆ เกี่ยวโดยอ้อมครับ ที่จริงผมอยากเอาเรื่องอะไรอื่นๆที่ไม่ซีเรียสจนเกินไปมาลงบ้างครับ เผื่อท่านๆจะได้ไม่เครียดเวลาอ่านจนเกินไป รูปที่เอามาลงนี้คือที่ร้านก๋วยเตี๋ยวของพี่ชายกับพี่สะไภ้ของผมเองครับ ขายอยู่ที่ตลาดโต้รุ่งโพธิ์จันทร์ในตัวเมือง อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ครับ ผมไปชิมมาแล้ว เส้นเล็กต้มยำใส่ไข่ต้ม อร่อยมาก ชื่อร้านประมาณนี้...ก๋วยเตี๋ยวต้มยำไข่ต้มสิงโตโภชนา...ครับ รับประกันความอร่อย แซ่บถึงใจครับ ถึงแม้ว่าเชลล์จะยังไม่เคยไปชิมก็ตาม พี่ชายผมคนนี้เป็นโรค VHL เหมือนผมนี่แหละครับ ผ่าสมองมาแล้วหลายครั้งเหมือนกัน และก็ยังรักษาเนื้องอกในตาอีกหลายครั้งแล้วด้วย วันสองวันนี้ก็จะต้องไปหาหมอที่ศิริราชเพื่อตรวจตาอีกครั้งแล้วครับ รักษาแล้วมันก็เป็นขึ้นมาได้อีกครั้ง หรือหลายๆครั้งครับ ก็ต้องทนกันไป เราไม่มีเหตุผลที่จะท้อหรือยอมแพ้นี่ครับ

โรค VHL ที่เกิดขึ้นในตาจะมีลักษณะเป็นก้อนเนื้องอกซึ่งแรกเริ่มจะมีขนาดที่เล็กมากๆ ผู้ป่วยโรค VHL 60% จะพบว่ามีเนื้องอกขึ้นในตาด้วย ซึ่งสำหรับผู้ที่ตรวจพบว่ามียีน VHL ผิดปกตินี้ ควรได้รับการตรวจหาเนื้องอกในตาด้วยเริ่มตั้งแต่อายุ 1 ขวบกันเลยที่เดียว และไม่เท่านั้น ผู้ป่วยควรได้รับการตรวจรักษาตลอดอายุขัยเลยด้วย เพราะว่ามันสามารถจะเกิดขึ้นมาได้อีกครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างที่บอกไปแล้ว อย่าเพิ่งเหนื่อยกันล่ะครับ สำหรับข้อควรระวังอีกอย่างหนึ่งของเนื้องอกในตาก็คือ ถ้ามีของเหลวในตารั่วไหลออกมา อาจจะทำให้เป็นอุปสรรคต่อการมองเห็นได้นะครับ ดังนั้นจึงไม่ควรละเลยไม่เอาใจใส่ อย่าขี้เกียจไปหาหมอครับ ดวงตาของเราเองเอาไว้ดูโลกสีสวยๆกันนานๆนะครับ

สำหรับการรักษาปกติก็เห็นหมอจะยิงเลเซอร์ (laser) ครับ แต่จากตำราเห็นบอกว่ามีอีกวิธีหนึ่งเรียกว่า cryotherapy (freezing) จากคำในวงเล็บ ผมเดาว่าคงเป็นวิธีการที่ใช้ความเย็นจัดในกระบวนการรักษาครับ ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำอย่างไร เอาเป็นว่าปรึกษาคุณหมอละกันครับ

สำหรับวันนี้เบาๆ เท่านี้ก่อนละกันครับ วันนี้ขอลาไปเตรียมตัวพักผ่อนเก็บแรงไว้ต่อสู้กับวันใหม่ต่อไปครับ ขอให้มีสุขภาพแข็งแรงกันทุกๆคนครับ ...สวัสดีครับ...

วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

คำถามที่เตรียมไว้ถามคุณหมอ เตรียมไว้เวลาไปพบหมอบ้างก็ดีนะครับ

สวัสดีครับ ผมหยุดเขียนไปหลายวันเพราะช่วงนี้มีงานต้องทำเยอะ กลับบ้านก็ดึก แล้วบางทีต้องไปต่างประเทศด้วยครับ ที่เล่าให้ฟังว่าทำงานมากและไปต่างประเทศด้วยก็เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับบางท่านที่อาจจะสงสัยว่าคนเป็นโรคนี้ และโดยเฉพาะที่ผ่านการผ่าตัดมาหลายครั้งแล้ว จะสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติหรือไม่? คำตอบคือได้แน่นอนครับ ตัวอย่างเช่นตัวผมเอง และสมาชิก พี่ๆ น้องๆ ในครอบครัวด้วยครับ ที่ตอนนี้ทุกคนยังใช้ชีวิตอย่างสุขสบายดีตามอัตภาพ กินได้ปกติ ออกกำลังกายก็ได้ตามปกติ และแน่นอน เดินทางเที่ยวได้เหมือนเดิมครับ ภาพแรดสองตัวที่น่ารักนี้ก็ถ่ายมาไม่นานมานี้ตอนที่ผมกับครอบครัวไปเที่ยวกันที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว ชลบุรีครับ เป็นแรดที่ตัวโตและเชื่องมาก น่ารักครับ ยอมให้จับโดยไม่คิดตังค์ แฮ่ะๆ... เอารูปมาลงให้ดูเผื่อท่านใดอยากไปพักผ่อนหย่อนใจช่วงวันหยุดก็น่าสนใจครับ ไม่ไกลจากกรุงเทพด้วย ดูสัตว์แล้วอาจจะแวะไปเที่ยวทะเลดูปู ดูปลาต่อก็ได้ครับ ดูแล้วหิวก็หม่ำเลยครับ... ฮ่าๆ ไปหม่ำที่ร้านนะครับ

ก่อนเข้าเรื่องหลัก เอาเรื่องรองๆ นิดๆก่อนนะครับ คือเค้าบอกว่าผู้ป่วย VHL ที่จริงแล้วมีโอกาสดีกว่าผู้ที่เป็นมะเร็งจากสาเหตุอื่นๆ อยู่อย่างหนึ่งครับ นั่นก็คือว่า ถ้าเราสามารถตรวจพบมันก่อน คือพบตอนที่มันเกิดอาการขึ้นไม่นานนัก เราก็มีโอกาสที่จะได้รับการวินิจฉัย และตรวจรักษาที่ได้ผลดีมากๆ นะครับ ดังนั้นคงไม่ต้องตกใจมาก และกลัวจนเกินเหตุไปครับ เตรียมตัว เตรียมใจ และบางทีอาจต้องเตรียมเงินไว้หน่อยก็ดีครับ สำหรับเรื่องเงินและอาจลามไปถึงเรื่องประกัน เอาไว้โอกาสหน้าผมจะมาเล่าให้ฟัง จากประสบการณ์ตรงนะครับ

ที่จริงแล้วเค้าแนะนำว่า เราอาจจะไปหาหมออีกสองสามที่ถ้าเราไม่แน่ใจว่าเราเป็นโรค VHL หรือเปล่า เพื่อเป็นการยืนยันให้แน่นอนขึ้นครับ ก็เหมือนกับโรคอื่นๆ เช่นกัน ที่บางครั้ง ท่านก็ต้องการไปตรวจที่อื่นอีกเพื่อความมั่นใจว่าเป็นโรคอะไรกันแน่ ก่อนที่จะปักใจและทำการรักษา ซึ่งบางทีบางท่านอาจจะไม่ค่อยสะดวกนักกับการไปรับการรักษาที่ไกลๆ หรือเรื่องอะไรก็ตามแต่ วันนี้มีคำแนะนำที่เค้าบอกว่าเวลาไปหาหมอให้เตรียมคำถามเหล่านี้ไปถามด้วย ลองอ่านดูนะครับ ล้วนแต่เป็นประโยชน์ต่อการดูแลตัวเองของท่านทั้งนั้นครับ

- จะต้องเปลี่ยแปลงการดำเนินชีวิตประจำวันหรือไม่?
- จะต้องไปเข้ารับการตรวจบ่อยแค่ไหน?
- จะต้องเฝ้าระวังอาการอะไรบ้าง?
- ถ้าแพทย์บอกขนาดของเนื้องอกที่เกิดขึ้น ท่านอาจถามต่อว่าแล้วจะต้องทำอย่างไรต่อไป?
- เป็นมากน้อยแค่ไหนถึงจะถือว่าหนัก?
- การรักษามีวิธีการอย่างไรบ้าง?
- ผลข้างเคียงของการรักษามีหรือไม่?
- ถ้าไม่ทำการรักษาจะเป็นอย่างไรต่อไป? (เนื้องอก หรือ ซีสต์จากโรคนี้สามารถขึ้นได้หลายๆ ที่ ซึ่งแต่ละที่ก็แสดงอาการไม่เหมือนกัน บางที่อาจจะไม่ต้องทำอะไรมาก ในขณะที่บางที่อาจต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน เมื่อถึงระยะหนึ่ง เป็นต้น)
- ใครคือแพทย์ที่เราควรจะทำการปรึกษาต่อเนื่อง (จากทีมแพทย์ทั้งหมด)?

ที่จริงยังมีอีกหลายคำถาม ทั้งนี้ทั้งนั้นการถามก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์นะครับ ว่าเป็นอย่างไร ทุกท่านคงพิจารณาเอาเองนะครับ ผมหวังว่าทุกท่านจะมีสุขภาพที่ดี มีกำลังใจที่เข้มแข็ง ต่อสู้กับทุกอย่างอย่างทรหด ไม่ว่าจะเรื่องอะไรนะครับ ผมเชื่อว่าถ้าเราอยู่อย่างมีสติ มีธรรมะในใจ ไม่ว่าท่านจะนับถือศาสนาอะไร ท่านก็จะดำเนินชีวิตได้อย่างปลอดภัยจากความทุกข์ทั้งหลายครับ ความสุข และสงบในใจย่อมเกิดขึ้นแน่นอน ขอให้มีความสุขทุกคนครับ สวัสดีครับ...

วันเสาร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เนื้องอก... ยังไม่ถึงเวลาก็ไม่จำเป็นต้องไปจัดการกับมัน...

วันนี้เริ่มด้วยภาพสวยๆกันครับ เจ้าดอกไม้ที่เห็นนี้ก็คือดอก Dandelions ซึ่งผมไม่ทราบเหมือนกันว่าชื่อภาษาไทยมันคืออะไร ที่เอามาให้ดูเพราะว่าวันนี้จะเขียนถึงเจ้าดอกไม้อันสวยงามนี้ด้วยครับ คือเค้าบอกว่า เซลล์เนื้องอกหรือซีสต์ที่เกิดขึ้นนี้ถ้ามันยังไม่ถึงเวลาก็ไม่จำเป็นต้องไปผ่าตัดเอามันออก เปรียบเหมือนกับเจ้าดอก Dandelions นี้ ที่เมื่อยังไม่ถึงเวลา ดอกมันก็จะยังอ่อน และมีสีเขียวๆ อยู่ ซึ่งจะยังไม่พร้อมที่เอาไปทำอะไรหรือจะแพร่พันธุ์ได้ แต่เมื่อมันแก่ได้ที่จนมีสีเหลือง มันก็พร้อมที่จะเอาไปทำประโยชน์หรือแพร่พันธุ์ได้ต่อไป ก็เช่นเดียวกับเซลล์เนื้องอกต่างๆ เมื่อมันเพิ่งเริ่มเกิด ยังเล็กอยู่ มันก็ยังไม่มีอันตราย แต่ถ้ามันเติบโตขึ้นถึงระดับหนึ่ง มันก็จะเริ่มสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นกับอวัยวะที่มันเกาะอยู่ หรือกับร่างกายต่อไป เมื่อนั้นแหละครับที่ต้องจัดการกับมัน

โดยปกติเราไม่ทราบหรอกครับว่าเมื่อไรต้องจัดการ ยกเว้นว่าเราจะปวดจนสังเกตได้ถึงความผิดปกติ ดังเช่นกรณีของผมที่ปวดศีรษะจนทนไม่ได้ หรือตอนที่ปวดท้องอย่างรุนแรงเป็นต้นครับ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือเราต้องระมัดระวัง หมั่นสังเกตตัวเองอยู่เสมอ และปรึกษาแพทย์ถ้าพบว่าตัวเองมีโอกาสที่จะเป็นโรคนี้ (เนื่องจากมีประวัติของครอบครัวเป็นโรคนี้ เป็นต้น) นะครับ ซึ่งในกรณีของครอบครัวผมแพทย์ก็จะแนะนำให้ไปตรวจโดยวิธีต่างๆ ที่เหมาะสมกับอาการที่เกิด และแนวโน้มกับอวัยวะที่อาจจะเกิดครับ

วันนี้เป็นวันหยุดสบายๆ หวังว่าทุกท่านคงมีความสุขกันทุกคนนะครับ ผมก็อยากจะให้กำลังใจกับคนที่เป็นหรือมีโอกาสเป็นเพราะญาติพี่น้องเป็นกันนะครับ ขอให้มีสติและมีกำลังใจที่ดี เข้มแข็ง ไม่เสียเวลาไปกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นกับเรา แต่ควรเสียเวลาไปกับการคิด ใตร่ตรองดูว่าเราจะทำอย่างไรต่อไปมากกว่า ถ้าไม่แน่ใจว่าเรามีโอกาสเป็นหรือไม่ก็คงต้องปรึกษาแพทย์เท่านั้นครับ สำหรับตอนนี้ถ้าจะให้แนะนำ ก็ต้องบอกว่าให้ไปพบคุณหมอชนินทร์ ลิ่มวงศ์ ที่โรงพยาบาลศิริราชครับ เพราะคุณหมอตรวจรักษาคนไข้โรคนี้มาเยอะ รวมทั้งครอบครัวผมด้วย ผมมั่นใจว่าท่านจะได้รับคำตอบที่ดีแน่นอนครับ

สำหรับวันนี้ ลาไปก่อน สวัสดีครับ...

VHL ในตับอ่อน เป็นอย่างไรบ้าง เกี่ยวกับเบาหวานอย่างไร? มาดูกรณีของผมกันครับ

ขึ้นเรื่องมาก็เป็นภาพควายสุดสวยเลยนะครับ พอดีนึกถึงรูปเจ้าควายตัวนี้ที่ไปเจอตอนไปตลาดน้ำอโยธยาที่อยุธยาครับ เค้าโฆษณาว่าเป็นควายที่ตัวใหญ่ที่สุดในโลก! ไปเห็นแล้วก็ตัวใหญ่จริงๆ ครับ แต่ไม่ทราบว่าใหญ่ที่สุดในโลกหรือเปล่า? ไม่เป็นไรครับ คงไม่ต้องเสียเวลาไปหาคำตอบเพราะสิ่งที่ได้จากการไปเที่ยวคราวนั้นก็คุ้มค่า สนุกสุขใจพอแล้วครับ

เข้าเรื่องกันเลยครับ บางคนอาจจะสงสัยจากหัวเรื่องว่าเจ้าโรค VHL นี้มันเกี่ยวข้องกับโรคเบาหวานได้อย่างไรกันหนอ? นั่นสิครับ แต่ก็เป็นไปแล้วครับ หลักฐานจากตัวผมนี่แหละ และจากเอกสารวิชาการก็เขียนไว้ชัดเจนครับ ว่าเกี่ยวข้องกับเบาหวานได้ สาเหตุก็เกิดจากเนื้องอกหรือถุงน้ำ (ต่อไปจะเรียกว่า ซีสต์ ,Cyst, นะครับ) ที่เกิดขึ้นที่ตับอ่อนครับ ซึ่งเราอาจจะทราบกันดีว่าหน้าที่อย่างหนึ่งของตับอ่อนที่นอกจากจะสร้างน้ำย่อยแล้ว ยังสร้างฮอร์โมนอินซูลิน (insulin) อีกด้วย ซึ่งการเกิดซีสต์หรือเนื้องอกที่ตับอ่อนอาจจะไปขัดขวางทางเดินของของเหลวที่สร้างจากตับอ่อนซึ่งรวมถึงฮอร์โมนอินซูลินนี้ด้วย ผลที่ตามมาก็คือเป็นเบาหวานครับ ก่อนเข้าสู่รายละเอียดต่อไปผมต้องขอออกตัวก่อนว่าผมไม่ใช่แพทย์ดังนั้นข้อความที่ผมเขียนจึงไม่ได้เป็นข้อความที่จะรับรองความถูกต้องร้อยเปอร์เซนต์ในทางวิชาการการแพทย์ครับ เพียงแต่ว่าเป็นประสบการณ์และความรู้จากการพูดคุย ปรึกษาแพทย์เนื่องจากผมเป็นโรคเอง และจากการศึกษาเพิ่มเติมจากแหล่งความรู้ทางวิชาการต่างๆครับ หากผู้อ่านท่านใดต้องการเอาไปใช้อ้างอิงผมแนะนำให้ไปค้นคว้าจากเอกสารที่เผยแพร่โดยตรงจากแพทย์ หรือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรงนะครับ ที่ผมเขียนตรงนี้จุดประสงค์คือต้องการจะถ่ายทอดจากประสบการณ์ตรงมากกว่า และเป็นการพูดคุยกันแบบเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆครับ ต่อกันเลยละกันครับ..

อาการผิดปกติที่ตับอ่อนจากโรค VHL สามารถพบได้ในแต่ละครอบครัวไม่เหมือนกันครับ บางครอบครัวที่เป็นโรคนี้อาจจะไม่พบอาการที่ตับอ่อนเลย ในขณะที่บางครอบครัวอาจพบได้ถึง 93% เลยทีเดียว และส่วนใหญ่แล้วโรค VHL ที่ตับถ้าเป็นแค่ซีสต์มักไม่มีอาการอะไรครับ ถึงแม้ซีสต์นั้นจะมีขนาดใหญ่ก็ตาม ยกเว้นว่าจะเป็นเนื้องอกซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาอื่นๆได้ แต่บางครั้งถ้าซีสต์นั้นมีขนาดที่ใหญ่มากๆก็อาจจะไปเบียดกระเพราะอาหารได้ ซึ่งก็จะทำให้รู้สึกไม่สบาย และอาจจำเป็นต้องได้รับการรักษาต่อไป

เนื้องอกที่ตับอ่อน ตามปกติแล้วถ้ามีขนาดไม่ใหญ่เกินไป ก็ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดเอาออก ยกเว้นว่ามันจะอยู่ในตำแหน่งที่จะไปขัดขวางทางเดินของของเหลว พวกน้ำย่อยหรือฮอร์โมนต่างๆที่สร้างจากตับอ่อนทำให้ไม่สามารถจะไหลไปตามท่อได้ตามปกติ จึงต้องทำการปรึกษาแพทย์ (ที่จริงเราไม่ทราบตั้งแต่แรกแล้วครับ แพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยเองครับ) ซึ่งการที่บางครั้งเจ้าเนื้องอกนี้ไปขัดขวางทางเดินของฮอร์โมนอินซูลินก็จะทำให้ผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวานได้ครับ ดังเช่นตัวผมเองเป็นต้น ผมเป็นเบาหวานตั้งแต่เมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้วครับ ที่ทราบเพราะน้ำหนักลดอย่างกระทันหัน และแพทย์ซึ่งรักษาโรค VHL ของผมอยู่ท่านบอกให้มาตรวจเบาหวาน นั่นแหละครับถึงได้ทราบว่าเป็น น้ำตาลตอนนั้นวัดได้ 300 กว่า ซึ่งก็รักษาด้วยการทานยาทันทีต่อเนื่องมาจนวันนี้ครับ จนถึงตอนนี้ผมก็ยังควบคุมน้ำตาลได้ไม่ดี ยังอยู่ที่ 150-160 อยู่เลย น้ำตาลสะสมก็อยู่ที่ 8.5 ซึ่งถือว่าควบคุมได้ไม่ดีครับ ต่อกันเรื่องวิชาการอีกนิด สำหรับอาการอื่นๆที่ท่านต้องสังเกตตัวเองว่ามีหรือไม่เพราะอาจเกี่ยวข้องกับโรค VHL ที่ตับอ่อนก็คือ อาการตัวเหลือง ปวดเมื่อย ท้องเสียผิดปกติ (อาจจะไม่ใด้เกิดจากการกินอาหารไม่สะอาด) เป็นต้น เห็นท่าไม่ดีก็ต้องรีบไปพบแพทย์นะครับ

ตอนนี้ตัวผมเองก็พยายามออกกำลังกายให้ได้ทุกวัน ซึ่งหลายๆครั้งก็ทำไม่ได้ แต่ก็ยังทำต่อไป สนุกดีครับ... แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าซึ่งบางตอนก็อาจจะเอาเรื่องทั่วๆไปมาเขียน อย่าเพิ่งเบื่อกันนะครับ สวัสดีครับ...