วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เพิ่งกลับจากเวียดนาม

สวัสดีครับทุกคน

หายไปสองวันไม่ได้เขียนบล็อกเหมือนปกติเพราะยุ่งๆนิดหน่อยครับ ผมไปทำงาน (ประชุม) ที่เวียดนามมาเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาครับ เดินทางวันจันทร์เย็น กลับวันอังคารเลยหลังประชุมเสร็จ ก็เหนื่อยนิดหน่อยครับเพราะต้องเดินทางกลางคืน ถึงบ้านที่รังสิตก็เที่ยงคืนพอดี เช้าวันพุธก็เข้าออฟฟิศมาทำงานเลยอีกต่างหาก ก็เลยเหนื่อยนิดหน่อย ง่วงทั้งวันครับ แต่ตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้ว เพราะเมื่อคืนก็ได้พักมากขึ้น ช่วงนี้เดินทางบ่อยครับ ยังไงก็ต้องขออภัยไว้ก่อนถ้าเข้ามาแล้วไม่เจอบทความใหม่นะครับ ผมพยายามจะเอาเรื่องราวเกี่ยวกับโรคนี้และวิทยาการสมัยใหม่ที่มีการศึกษาและค้นพบเพื่อใช้ในการรักษามาเผยแพร่ให้อ่านกันครับ เพื่อจะได้เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยเองและผู้ที่ใกล้ชิดหรือที่สนใจอยากรู้เกี่ยวกับเรื่องโรคนี้ แต่ส่วนใหญ่แล้วก่อนที่จะเอามาเผยแพร่ต่อได้ก็ต้องมีการศึกษามาอย่างดีเหมือนกันครับ ไม่อย่างนั้นก็จะบอกไปแบบผิดๆ ซึ่งย่อมต้องไม่ดีทั้งต่อคนอ่านและตัวผมเองด้วย พอเป็นอย่างนี้ก็เลยทำให้หลายๆครั้งไม่สามารถเอาแต่เรื่องทางวิชาการมาเล่าให้ฟังอย่างเดียวได้ ต้องเอาเรื่องอื่นมาแทรกคั่นเวลาด้วยครับ ซึ่งก็คงจะเห็นจากที่ผ่านๆมานะครับ

แล้วพบกันใหม่ครับ สวัสดีครับ

วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

แวะชิมกาแฟอร่อยริมทางกลับบ้าน

สวัสดีครับ

กลับบ้านไปหาพ่อแม่มาอีกแล้วครับ พ่อนอนตลอดเวลา ลุกนั่งก็ยังไม่ไหวเลยครับ เมื่อสองสามวันก่อนลุกนั่งทานข้าวแล้วก็ล้มจากขอบเตียงลงไปที่พื้น ยังดีที่ไม่เป็นอะไรมาก แค่ช้ำๆนิดหน่อย

ระหว่างเดินทางไปช่วงอำเภอวิเชียรบุรี เลยโรงพยาบาลไปนิดหน่อยมีร้านกาแฟอร่อย ชื่อร้าน The coffee brick ครับ ชงกาแฟสดได้อร่อยมาก เข้ม ขมและหวานนิดๆ จิบกาแฟเย็นๆ ท่ามกลางอากาศร้อนๆ อุ่นๆ ของเดือนนี้แล้ว เยี่ยมไปเลยครับ

เมื่อวานตอนที่สั่งกาแฟก็มองไปเห็นกล้วยน้ำว้าสุกวางอยู่บนเคาน์เตอร์สี่ห้าลูกก็เลยถามไปว่าวางไว้ทำไมเหรอครับน้อง? น้องบอกว่าเอาไว้ให้ชิมค่ะ พอบอกน้องว่างั้นเอามาหนึ่งลูก น้องก็เอามายื่นให้พร้อมกับบอกว่ามีขายเป็นหวีด้วยนะคะ... ฮ่าๆ ที่แท้ก็เป็นเทคนิกการขายนี่เอง ไหนๆก็ชิมแล้วก็เลยซื้อซะเลย หวีละ 10 บาทครับ กล้วยลูกอ้วนๆทั้งนั้นเลย

ช่วงนี้ระหว่างทางไปเพชรบูรณ์มีต้นคูนที่ออกดอกสะพรั่งเต็มไปหมดเลยครับ เหลืองสดไปทั่วทั้งสองข้างทาง ได้บรรยากาศหน้าร้อนขึ้นมาทันที ทางอิสานเรียกว่าดอกลมแล้งครับ สงสัยเพราะมันมากับหน้าแล้งนั่นเอง ถ้าเป็นภาษาราชการก็เรียกว่าดอกราชพฤกษ์ครับ นอกจากดอกคูนแล้วก็ยังมีดอกตะแบกสีม่วงๆขาวๆอีกด้วย ช่วงนี้ดอกไม้หน้าแล้งกำลังสวยมาก ถึงแม้อากาศจะร้อนอบอ้าวและอุ่นๆ แต่ก็ดูดีไปอีกแบบครับ

สวัสดีครับ

วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เนื้องอกที่จอประสาทตาจากโรค VHL

           Oliver Gibbs et al, University of Sydney
สวัสดีครับ

ออกจากเรื่องที่อ่านไม่รู้เรื่องในวันก่อนๆดีกว่านะครับ วันนี้ขอเอาเรื่องเกี่ยวกับเนื้องอกในจอประสาทตาที่เกิดจากโรค VHL มาฝากกันครับ ที่เอาเรื่องนี้มาเขียนอีกทีก็เพราะว่าผมเพิ่งไปตรวจเจอเนื้องอกกำลังเริ่มงอกออกมาที่จอประสาทตาที่ตาซ้ายครับ หมอบอกว่าถ้าคราวหน้าซึ่งนัดมาตรวจในอีกหกเดือนเจอว่ามันใหญ่ขึ้นก็ต้องจัดการครับ ใช่แล้ว ยิงเลเซอร์ครับ ก็คงได้เหนื่อยและเจ็บตัวกันอีกแล้ว

ภาพนี้จะเห็นว่าจอประสาทตา หรือ retina นี้อยู่ตรงด้านหลังสุดของลูกตาครับ ซึ่งแพทย์จะใช้วิธีขยายม่านตาโดยให้ยาหยอดตาครับ จากนั้นก็ใช้กล้องที่ออกแบบมาโดยเฉพาะและมีกำลังขยายสูงส่องดูครับ และเนื่องจากตำแหน่งของเนื้องอกมักจะอยู่ในตำแหน่งที่ไม่แน่นอน บางครั้งก็อยู่ในตำแหน่งที่ดูได้ยาก ก็เลยทำให้การตรวจบางครั้งมีความยุ่งยากอยู่พอสมควรครับ สำหรับผมบางครั้งก็ต้องเหลือกตามองไปในทิศทางตามที่คุณหมอสั่งอย่างยากลำบากมาก อย่างเช่นเหลือบตามองขึ้นข้างบนอย่างสุดๆๆๆ อะไรอย่างนี้เป็นต้นครับ แต่เพื่อการรักษาก็ทนได้ครับ

ภาพที่เจ้าหน้าที่ที่ตรวจตาผมถ่ายไว้ตอนปกติก็เหมือนในรูปนี้แหละครับ แต่หากมีเนื้องอกเกิดขึ้นก็จะเห็นเป็นจุดๆ สว่างๆ แล้วก็มีเส้นเลือดฝอยๆนั่นแหละครับ ไปหล่อเลี้ยงด้วย เส้นเลือดบางเส้นก็จะใหญ่ครับ คุณหมอบอกว่ามันไปหล่อเลี้ยงเนื้องอก... น่าจัดการมั้ยล่ะครับ แทนที่จะช่วยร่างกายเราแต่ดันไปช่วยเจ้าเนื้องอกซะนี่ แต่ไม่เป็นไรครับ เป็นก็รักษา ปกติผมไปที่ศิริราชครับ เลยไม่ทราบว่ามีที่โรงพยาบาลอื่นที่จะรักษาอย่างนี้ได้อีกหรือไม่ แต่คิดว่ามีครับ คราวหน้าจะหาโอกาสหาข้อมูลมาให้อ่านกันครับ

สำหรับวันนี้ขอให้หลับฝันดีกันทุกคนนะครับ วันหยุดก็พักผ่อนกัน แล้วพอวันทำงานก็ลุยกันต่อครับผม

สวัสดีครับ

วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เดินทางมาไกลขอพักหน่อยครับ...

สวัสดีครับ

ผมเคยถามตัวเองเล่นๆว่าทำไมเวลาทำงานถึงไม่มีปิดเทอมบ้าง? ฮ่าๆ ฟังดูน่าขำนิดหน่อยนะครับว่าหมอนี่คิดอะไรอยู่ ที่จริงมีพักร้อนครับ แต่สำหรับผมมันน้อยนิด จนนึกภาพไม่ออกว่าแล้วเราจะทำงานอยู่อย่างนั้นได้ตลอดเวลาเลยหรือ อาจเป็นเพราะว่าเราเหนื่อยง่าย อาจจะไม่เหมือนคนอื่น ก็เลยต้องการอะไรที่อาจฟังดูแปลกๆ แต่ถ้ามีปิดเทอมบ้างก็ดีเหมือนกันนะครับ...

วันนี้ผลการสอบของลูกสาวคนเล็กออกมาแล้วว่าไม่ผ่านรอบแรกของโรงเรียนที่ไปสอบไว้ประมาณเดือนที่แล้ว ผมก็ไม่ได้เครียดอะไรครับ ไม่ได้ก็ไปสอบที่ใหม่ ตั้งใจทำแล้วก็ต้องถือว่าดีแล้วนะครับ ตอนนี้ก็ต้องเตรียมตัวกันมากหน่อยสำหรับไปสอบที่อื่นต่อไป บางครั้งเราก็ไม่รู้หรอกว่าอะไรเหมาะสมกับเราจนกว่าจะถึงเวลาหนึ่ง ซึ่งของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน เคยคิดเล่นๆนะครับ ไม่ว่าเราจะเลือกทางไหนเราก็จะเห็นข้อดีเต็มไปหมดของทางที่เราเลือก แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าเราจะมองหาข้อเสีย มันก็มีเยอะแยะเหมือนกัน ดังนั้นก็คงต้องเลือกในสิ่งที่เราชอบก็แล้วกัน น่าจะดีที่สุดนะครับ

เคยได้ยินมีคำพูดจากท่านใดผมก็จำไม่ได้ บอกว่า ...สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดีทุกอย่าง... ผมเห็นด้วยครับ ถึงแม้ว่าในบางกรณีคิดแล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าดีอย่างไร

ชีวิตนี้สั้นนะครับ แต่บางทีก็ดูยาวนานเหมือนกัน บางทีเราเดินทางมานานๆ เราก็อยากจะพักบ้าง พักบ้างก็ดีเหมือนกันนะครับ Why not?

สวัสดีครับ

วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

คิดหนัก

Photo: An ibex standing on a mountain

สวัสดีครับ วันนี้ไม่มีอะไรมาก คงแค่อยากจะเขียนอะไรนิดหน่อยกับวันที่หนักๆในหัววันหนึ่ง ที่จริงก็เป็นวันธรรมดาๆครับ เราก็ตื่นมา เราก็กินอาหาร ทำงาน แล้วก็เข้านอนตามปกติ แต่วันนี้มันไม่ค่อยเหมือนทุกวันตรงที่มีเรื่องให้ตัดสินใจที่ต้องคิดมากหน่อย และต้องคิดอย่างเป็นระบบด้วยครับ

ทุกคนก็คงเคยผ่านจุดนี้ จุดที่ต้องตัดสินใจอะไรบางอย่าง บางอย่างที่ต้องเลือก และบางอย่างที่จะต้องตัด หรือปล่อยวาง ชีวิตก็คงต้องดำเนินไปครับ บางครั้งการไม่ยอมตัดสินใจอะไรเพราะความกลัวมากเกินไปก็จะทำให้เราต้องทนอยู่กับสิ่งเดิมๆอยู่ตลอดไปใช่ไหมครับ

ช่วงนี้ต้องตื่นเช้ามากทุกวัน เพลียๆครับ ขอตัวนะครับ สวัสดีครับ

วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ผ่าสมองบ่อยๆก็แย่เหมือนกัน


พี่น้องท้องเดียวกันกับแม่ผมสี่คนและรุ่นลูกอีกสองคนที่เป็นโรค VHL นี้ผ่าสมองรวมกันแล้ว 12 ครั้งครับ ที่จริงดูเหมือนไม่ค่อยมีอันตรายมาก เนื่องจากลักษณะของโรคเองที่มักจะเป็นเนื้องอกธรรมดา (ยกเว้นที่ไต ที่มักจะเป็นมะเร็ง) และเทคโนโลยีการแพทย์สมัยปัจจุบันที่ก้าวหน้าไปมาก ทำให้การผ่าตัดเป็นไปอย่างปลอดภัยซะส่วนใหญ่ จะมีอันตรายมากหน่อยก็ในกรณีที่มีการติดเชื้อหรือตำแหน่งของเนื้องอกที่อยู่ในที่ที่ผ่าตัดได้ยาก อย่างเช่นแกนสมองครับ

แต่นอกจากผลโดยตรงของการผ่าตัดแล้วยังมีผลในระยะยาวที่ไม่ได้เกิดแบบทันทีทันใดอีกด้วย คุณหมอบอกว่าการได้รับการผ่าตัดสมองบ่อยๆจะมีผลต่อความจำครับ ทำให้ความสามารถในการจดจำของสมองลดลงได้ ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองได้รับผลจากการผ่าตัดนี้ด้วยหรือเปล่า แต่ปัจจุบันก็สังเกตุตัวเองว่าขี้ลืมง่ายขึ้น คือลืมในลักษณะที่ว่าจำเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ค่อยได้ และบางเรื่องก็ลืมสนิทไปเลย เช่นเรื่องงาน หรือเหตุการณ์ทั่วไปที่เกิดกับตัวเอง เป็นต้น หรืออย่างเพิ่งเจอคนอื่นที่เพิ่งรู้จักชื่ออะไรพวกนี้แหละครับ เพียงไม่นานก็จะลืมแล้วว่าชื่ออะไร หลายครั้งก็รำคาญตัวเองเหมือนกันครับที่ขี้ลืมง่ายเกินไปทำให้เรื่องที่สำคัญๆมีปัญหาได้ง่ายๆ โดยเฉพาะเรื่องเอกสารสำคัญต่างๆ ลืมว่าเก็บไว้ที่ไหน ทั้งๆที่ก่อนจะเก็บก็พยายามจำและเตือนตัวเองแล้วเชียวครับ

แต่หลายๆเรื่องมันก็ติดอยู่ในหัวซะลบไม่ออกเหมือนกันครับผม

สวัสดีครับ

วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

วันสุดท้าย เราอยากอยู่ที่ไหน...


สวัสดีครับ

ช่วงที่ผมเข้าโรงพยาบาลตอนที่ปวดท้องใหม่ๆเพราะซีสต์ในท้องติดเชื้อ และต้องนอนโรงพยาบาลอยู่หลายวันเพื่อให้หมอวินิจฉัยว่าเป็นอะไรกันแน่อยู่นั้น จำได้ว่าคราวนั้นผมนอนห้องรวม เตียงที่ติดกันกับผมเป็นคุณลุงแก่ๆ คนหนึ่งซึ่งนอนร้องขอนั่นขอนี่อยู่ตลอดเวลา แต่ส่วนใหญ่สิ่งที่คุณลุงร้องขอก็คือขอกลับบ้านครับ คุณลุงขอกลับบ้านอยู่อย่างนั้น ครั้งแล้วครั้งเล่า จนบางครั้งเสียงก็แหบๆไปเพราะร้องอยู่แทบจะตลอดเวลาทั้งวันและทั้งคืน แต่สิ่งที่คุณลุงได้รับก็คือลูกชายที่เฝ้าอยู่ได้แต่บอกพ่ออยู่ตลอดเวลาเช่นกันครับว่าหมอยังไม่ให้กลับบ้าน ต้องอยู่โรงพยาบาลเพื่ออย่างโน้นอย่างนี้ ซึ่งไม่ว่าจะว่าอย่างไรคุณลุงก็ยังร้องขอกลับบ้านอยู่เช่นเดิมครับ ถ้าจำไม่ผิดเพียงคืนที่สองที่ผมนอนอยู่ที่ห้องนั้น คุณลุงก็จากไปอย่างไม่มีวันกลับ... ลูกๆหลานพากันเสียใจและร้องให้สะอึกสะอื้นกันอย่างน่าสงสารมากครับ บรรยากาศตอนนั้นดูน่าโศรกเศร้ามาก ความรู้สึกของผมมันปนเปสับสนกันระหว่างนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและความรู้สึกสะเทือนใจครับ

ผมสงสารที่คุณลุงร้องขอเป็นครั้งสุดท้ายของชีวิตเพื่อให้ได้กลับบ้าน บ้านที่มีแต่ความอบอุ่น บ้านที่เป็นที่อยู่มาทั้งชีวิต คุณลุงคงไม่อยากจะต้องมานอนเสียชีวิตอยู่ที่โรงพยาบาลที่ซึ่งไม่เคยอยากอยู่เลย ลมหายใจสุดท้ายคงอยากมีแต่ความรู้สึกที่ดี สวยงาม และสงบนะครับ

ผมเขียนถึงคุณลุงถึงแม้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ก็ต้องถือว่าไม่ได้ขออนุญาตญาติพี่น้องของคุณลุง ซึ่งผมต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ผมเพียงแต่ต้องการที่จะถ่ายทอดความสะเทือนใจนี้กับพี่น้องและเพื่อนๆที่ได้เข้ามาอ่านเว็บบล็อกนี้ครับ ผมต้องการที่จะบอกว่าเมื่อถึงเวลาของเรา เราคงต้องการที่จะจากไปอย่างสงบ ในที่ที่เรารักและมีความรู้สึกดีๆให้ใช่ไหมครับ

คนเราบางคนอาจจะโชคดีที่รู้ว่าจะต้องจากไปเมื่อไร ในขณะที่บางคนไม่มีโอกาสได้แม้เพียงจะคิด ขอให้ทุกคนมีความสุขอยู่กับปัจจุบันนะครับ ทำตอนนี้ให้ดีที่สุด สวัสดีครับ

วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

รอยสัก VHL สักไว้ให้โลกรู้...

สวัสดีครับ วันนี้เอาเรื่องที่ ไบรอัน คุดนิก ได้สักสัญลักษณ์ของ VHL ไว้ที่น่องขวามาให้อ่านกันครับ ดูจากชื่อแล้วคงเป็นนายครับ ไม่ใช่นางหรือนางสาว แต่ไม่เป็นไรครับว่าจะเป็นเพศไหน ที่สำคัญเค้าบอกว่าเค้าทำเพื่อตัวเอง เพือพี่ชายน้องชาย และเพื่อพี่สาวน้องสาวครับ ซึ่งพอสักเสร็จในช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา เค้าก็นุ่งแต่กางเกงขาสั้น เพื่อที่จะให้คนเห็นรอยสักอันนี้ครับ พอเห็นคนก็จะถามว่านี่คืออะไร ซึ่งก็จะเป็นโอกาสให้เค้าได้อธิบายเรื่องโรคนี้ให้คนรู้จักมากขึ้น ทำไมต้องรู้จักมากขึ้นครับ เพื่ออะไร? อันนี้ผมไม่ได้ติดตามรายละเอียดของเรื่องนี้ แต่ที่พอจะเข้าใจได้ก็คือว่าเนื่องจากโรคนี้ยังไม่มียาหรือวิธีการรักษาใดๆ จึงมีการวิจัยถึงวิธีการรักษากันอย่างเข้มข้นโดยเฉพาะในอเมริกาและยุโรป ซึ่งก็แน่นอนครับ ต้องใช้เงินในงานวิจัยกันมาก ทางสมาคมจึงได้พยายามหาเงินทุนอยู่ตลอดเวลาครับ ซึ่งการเผยแพร่ความรู้เรื่องของโรคนี้ก็จะทำให้คนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้มากขึ้นและเห็นความจะเป็นของการสนับสนุนเงินทุนเพื่อหาทางรักษา ก็จะมีการบริจาคกันมากขึ้นนั่นเอง

ก็เป็นวิธีการหนึ่งที่เท่ ดูดี และมีประโยชน์มากด้วยครับ โรคนี้ยังไม่มีทางรักษาในปัจจุบัน แต่ในอนาคตต้องมีแน่นอนครับ ผู้ป่วยทุกคนต่างก็รอความหวัง หลายคนต้องพิการ และหลายคนก็เสียชีวิตก่อนวัยอันควรเพราะโรคนี้ครับ ส่วนผมก็คงได้แต่พยายามจะเข้าไปเรียนรู้และหาความรู้มาถ่ายทอดต่อให้กับพี่น้องและเพื่อนคนไทยเราเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ตามสติปัญญาอันน้อยนิดของผมครับ สวัสดีครับ

วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

สถานการณ์ปัจจุบันของโรค VHL เกี่ยวกับการวิจัยในต่างประเทศ


สวัสดีครับ ในการประชุม The 10th International Medical Symposium on VHL ที่เมืองฮุสตัน เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ได้มีการพูดคุยถึงเรื่องความก้าวหน้าต่างๆ ในการวิจัยทางการแพทย์ในปัจจุบันนี้ดังนี้ครับ

โดยสรุปตอนนี้ก็ยังไม่สามารถค้นพบยารักษาโรคนี้ได้ครับ แต่ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้ก็มีมากขึ้น และที่มีความก้าวหน้าไปมากกว่าใครเพื่อนก็เห็นจะเป็นเรื่องของมะเร็งที่ไตครับ ซึ่งเรื่องของเนื้องอกที่กลายเป็นมะเร็งที่ไตนี้นอกจากจะมีการวิจัยโดยตรงจากการแพทย์เกี่ยวกับโรค VHL แล้ว ก็ยังมีสถาบันที่เกี่ยวกับโรคไตอีกด้วยครับที่ทำการศึกษาและวิจัยอยู่ตลอดเวลา ทำให้มีความก้าวหน้าค่อนข้างมาก ข่าวดีนิดนึงครับ ตอนนี้มีการค้นพบยาที่ใช้ในการหยุดยั้งมะเร็งหลายขนานด้วยกันครับ ถึงแม้จะเป็นเพียงขั้นต้นๆอยู่ก็ตาม (อย่างเช่น pazopanib ซึ่งใช้ในการช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งที่ไต)

มีปัจจัยในเซลล์หลายตัวครับที่เป็นตัวกระตุ้นการสร้างเซลล์เนื้องอก (VHL, HIF and VEGF) สำหรับโรค VHL นั้น หลักการของโรคก็คือว่าเมื่อยีน VHL (ซึ่งมีหน้าที่รับรู้ปริมาณของอ็อกซิเจนและเหล็กในเซลล์) เกิดทำงานผิดปกติ (สาเหตุจากตัวรับสัญญาณปริมาณอ็อกซิเจนผิดปกติ - ทำงานผิดพลาด) เห็นว่าเซลล์ขาดอ็อกซิเจน ก็เลยส่งสัญญาณให้ร่างกายสร้างหลอดเลือดเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้สามารถพาอ็อกซิเจนมาเลี้ยงเซลล์ได้มากขึ้นนั่นเอง ซึ่งปริมาณหลอดเลือดที่สร้างขึ้นมากเกินปกตินี่แหละครับที่เป็นเนื้องอกในอวัยวะต่างๆของโรคนี้

ในการทดลองยาหลายๆตัวกับผู้ป่วยโรค VHL พบว่ายาบางตัวมีผลต่อเนื้องอกที่ไตและตับอ่อน แต่ยังไม่มีผลต่ออวัยวะอื่นเช่น สมอง ตา หรือไขสันหลังครับ ก็เลยต้องมีการค้นคว้ากันต่อไป

ถึงแม้จะยากแต่ผู้ที่เกี่ยวข้องก็ทำงานกันอย่างทุ่มเทและไม่หยุดยั้งครับ ซึ่งส่วนสำคัญที่จะช่วยให้งานสำเร็จอย่างหนึ่งก็คือเรื่องของเงินทุนครับ ซึ่งต้องใช้มากและต่อเนื่องเพื่อให้การวิจัยดำเนินต่อไปได้นั่นเองครับ สวัสดีครับ

วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

กลับจากนิวซีแลนด์ประเทศที่มีจำนวนประชากรแกะมากกว่าคน...


สวัสดีครับผม ไม่ได้เจอกันหลายวันเพราะว่าตอนอยู่ต่างประเทศไม่ได้ใช้เน็ตครับ พอดีไปอยู่โรงแรมที่เค้าไม่ให้เน็ตฟรีในห้องครับ แล้วค่าอินเตอร์เน็ตก็แพงก็เลยไม่ได้ใช้ อีกอย่างไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนครับ ก็เลยไม่ค่อยมีอะไรมาโชว์มากนัก ประชุมเสร็จก็เย็นแล้ว ก็ต้องเตรียมตัวประชุมต่อในวันรุ่งขึ้น แล้วพอประชุมเสร็จวันสุดท้ายก็เดินทางกลับในวันรุ่งขึ้นเลย ก็เลยไม่ค่อยมีอะไรจะมาเล่ามากนัก

ที่ผมกลัวก่อนจะเดินทางคราวนี้ก็คือเรื่องสุขภาพนี่แหละครับ คือรู้ว่าจะต้องนั่งเครื่องบินนานแน่ๆ แล้วเวลาก็ต่างกันหลายชั่วโมงก็จะมีผลกระทบกับเรื่องเวลาอาหารของเราอีก แล้วยังเรื่องสภาพอากาศและอะไรต่างๆอีกหลากหลาย คือกลัวว่าน้ำตาลจะขึ้นครับ โดยเฉพาะเวลาที่นั่นเร็วกว่าของเราห้าชั่วโมง คือผมตื่นเจ็ดโมงเช้ากินอาหารเช้าตอนเจ็ดโมงครึ่งเริ่มงานเก้าโมง ถ้าเทียบกับเวลาที่บ้านเราก็คือตื่นตีสองกินข้าวตีสองครึ่งแล้วก็ประชุมตอนตีสี่! โอย... ง่วงมากๆ แล้วพอถึงเวลานอนก็นอนไม่ค่อยหลับ อยู่ที่นั่นได้สองวันกำลังจะปรับตัวได้ก็ได้เวลากลับบ้านเราแล้ว ฮ่าๆ แต่ก็สนุกสนานดีครับ

สำหรับเรื่องการกินยาผมก็กินยาเบาหวานตามปกติ คือก็ก่อนและหลังอาหารเช้าตามที่แพทย์สั่งครับ ไม่ได้คิดมากอะไร ซึ่งยาเบาหวานก็เอาไปจากบ้านเรานี่แหละครับ ตรวจคนเข้าเมืองที่โน่นเค้าก็ถามว่าเอายาอะไรมา เป็นยาตามแพทย์สั่งใช่หรือไม่ ผมก็บอกไปตามความเป็นจริงว่ายาเบาหวาน แพทย์สั่งให้มา ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย เจ้าหน้าที่ก็ใจดีให้ผ่านได้ แต่ถ้าเราไม่แจ้งก็อาจจะมีปัญหาได้เหมือนกันครับ ยิ่งโดยเฉพาะเรื่องอาหาร ผลไม้อะไรต่างๆ เค้าจะเข้มงวดมาก เพราะไม่อยากให้มีการปนเปื้อนของพืชต่างถิ่นในประเทศเค้าครับ ซึ่งผมก็พอจะทราบเรื่องนี้มาก่อนแล้วก็เลยไม่มีปัญหาอะไร ผมเอาแค่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบถ้วยเข้าไปซึ่งก็แจ้งเค้าด้วย ก็ผ่านฉลุยครับ

ครับผม สำหรับคราวนี้ที่อยากเอามาเล่าและเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์ของเว็บบล็อกนี้ก็คือเรื่องสุขภาพนี่แหละครับ คือแค่อยากจะบอกว่าถ้าเราเอาใจใส่วางแผนในเรื่องการใช้ยาและการทานอาหารให้ดี แล้ว เราก็สามารถปรับตัวได้ถึงแม้จะต้องเดินทางใกลๆ และมีการเปลี่ยนแปลงทั้งเรื่องตารางเวลาและเรื่องอาหารอย่างมากก็ตาม แล้วพบกันใหม่คราวหน้าครับผม

สวัสดีครับ

วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Hi There

Hello. Today I am at Jakarta International Airport and cannot write in Thai. Will do it later when arrive New Zealand krub. Bye for now.

วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

จากจาการ์ตา อินโดนีเซีย


สวัสดีครับ วันนี้เขียนเวบจากอินโดนีเซียนะครับ ภาพนี้ถ่ายจากโรงแรมที่พัก ชื่อโรงแรม Mulia Senayan ครับ อยู่ใกล้ๆ สนามกีฬาเสนายัน (ในภาพมองเห็นครึ่งนึง) ตอนนี้สามทุ่มกว่าแล้ว ฝนกำลังตกพรำๆ เลย เข้าใจว่าที่บ้านเราก็กำลังตกอยู่เหมือนกัน ช่วงนี้อากาศแปลกๆนะครับ ระวังสุขภาพกันด้วยเน้อ

พรุ่งนี้มีประชุมกับผู้ร่วมลงทุนของบริษัท แล้วตอนค่ำๆก็ต้องเดินทางต่อ ผมขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะครับ แล้วพบกันใหม่ครับผม

วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

อาจจะไม่ได้เจอกันสี่ห้าวัน ไปงานต่างประเทศครับ


สวัสดีครับผม พรุ่งนี้จะเดินทางไปทำงานที่อินโดนีเซีย แล้วต่อที่นิวซีแลนด์ครับ เลยขออนุญาตลาล่วงหน้าไว้ก่อนสี่ห้าวันครับ แต่ก็ไม่แน่ ผมจะพยายามหาเรื่องที่ไปเจอมาเขียนละกันครับ คงไม่ได้เป็นแบบชวนไปเที่ยวอะไรอย่างนั้นหรอกครับ แต่คงจะเป็นแบบเล่าเรื่องที่มันน่าสนใจละกัน เพราะที่จริงถ้าจะเอาเนื้อหาแบบท่องเที่ยวเราหาได้จากอินเตอร์เน็ตอยู่แล้วครับ แล้วพบกันใหม่นะครับ สวัสดีครับ

วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ศิลปะ


สวัสดีเช้าวันเสาร์ที่แสนดีขอรับ อากาศยามเช้าก็ยังสดใสเหมือนเดิมนะครับ ผมว่าน่าจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งของวันเลยทีเดียว อากาศเย็นๆ ไม่มีเสียงรบกวนใดๆ นอกจากเสียงนก และเสียงใบไม้แห้งที่ปลิวไปตามลมที่พัดมา ได้กาแฟร้อนๆสักถ้วย ก็ทำให้นั่งคิดอะไรเพลินๆ ไปพักหนึ่งเลยเชียวครับ ผมมักจะใช้เวลายามเช้าอย่างนี้นั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศ และดูว่าวันนี้จะทำอะไรบ้าง ในขณะที่หลายๆคนก็กำลังนอนอย่างมีความสุขเช่นกัน

พ่อเคยบอกว่าการใช้ชีวิตเป็นศิลปะ เราต้องปรับตัวให้เป็น อะไรประมาณนี้ ผมจำไม่ค่อยได้แล้วครับว่าพ่อพูดต่อว่าอย่างไรบ้าง แต่ผมก็เห็นด้วยกับพ่อครับว่าชีวิตมันเป็นศิลปะ ที่จริงเราออกแบบได้ว่าเราอยากให้ชีวิตมันเป็นอย่างไร เราออกแบบแล้วเราก็ทำตามแบบไปเรื่อยๆ ถ้าทำได้อย่างนี้่ชีวิตมันก็คงไม่ยาก แต่ส่วนใหญ่มันยากก็เพราะเราไม่รู้ว่าจะออกแบบยังไงนี่แหละครับ แน่นอนครับ ถูกต้องเลย ก็บางคนก็คงจะบอกว่าแค่จะเอาตัวรอดแค่ให้พอมีพอกินก็ยังยากเลย แล้วจะให้เลือกเอาอย่างโน้นอย่างนี้ได้ยังไง? ก็จริงนะครับ แต่ว่าถ้าเราออกแบบได้ (ซึ่งมันทำได้แน่ๆ) แล้วก็ค่อยๆ ทำ ทำแบบจุดต่อจุด คือทำไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อนแต่มีสมาธิกับสิ่งที่ำกำลังทำอยู่ และไม่ข้ามขั้นสุดท้ายก็คงจะได้ภาพที่สวยงามออกมาแน่ๆ แต่ในความเป็นจริงก็คงไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกครับ

ภาพนี้ผมวาดตอนที่ไปทำงานที่ประเทศเวียดนามครับวาดเมื่อตอนปี 49 คิดถึงลูกครับ ก็เลยวาดการ์ตูนเล่นๆ ครอบครัวเป็นสิ่งที่สวยงามเสมอสำหรับชีวิตเราครับ สวัสดีครับ

อากาศเปลี่ยนแปลง ดูแลตัวเองด้วยนะครับ

Photo: A squirrel in a snowstorm

สวัสดีครับ วันนี้มีรูปสวยๆมาฝากกันครับ ขอพักเรื่องทางเทคนิกเอาไว้ก่อนสักวันสองวันนะครับ รูปนี้ได้มาจาก website: nationalgeographic.com ครับ มีผู้อ่านส่งไปครับ ถ่ายจากรัฐนิวเจอร์ซี สหรัฐอเมริกาโน่นครับ

ช่วงนี้เราจะได้ข่าวว่าหลายแห่งในโลกมีอากาศหนาวเย็นผิดปกติหลายแห่งมาก ที่ยุโรปมีคนตายเพราะอากาศหนาวเย็นเป็นจำนวนมากเลยครับ 

สำหรับรูปนี้น่ารักตรงที่เจ้ากระรอกน้อยเอาหางมาทำเสื้อคลุมกันหิมะนี่แหละครับ แล้วพบกันใหม่นะครับ ขอตัวไปพักผ่อนก่อน ขอให้ทุกคนมีความสุขกับวันสุขนะครับ สวัสดีครับ

วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ท่อระบายน้ำไขสันหลังจากในสมอง - Shunt

สวัสดีขอรับ พรุ่งนี้เป็นวันศุกร์ วันที่่หลายๆคนชอบและมีความสุข ผมก็ชอบครับ เพราะเช้าวันเสาร์จะได้นอนตื่นสายๆได้ และไม่ต้องเร่งรีบไปทำงาน จะเป็นวันที่มีความรู้สึกสบายๆดีครับ ตื่นไม่สายมากก็จะได้รับบรรยากาศดีๆ เย็นๆ และเงียบๆ สงบดีมาก จิบกาแฟร้อนๆไปด้วย... เยี่ยมไปเล้ย

วันนี้จะเล่าเรื่องตอนที่ผมไปผ่าสมองเอาเนื้องอกออกครับ พอฟื้นขึ้นมาจากการผ่าตัดครั้งแรก ผมก็ได้ทราบว่า่คุณหมอได้ฝังท่อระบายน้ำ (shunt) ไว้ในหัวครับ มันจะทำหน้าที่ระบายน้ำไขสันหลังส่วนเกินในสมองออกไปครับ ถ้าไม่มีเจ้านี่แล้วเกิดมีเนื้องอกในสมองอีก สมองก็จะบวมและเป็นอันตรายเนื่องจากแรงดันภายในสมองนี่แหละครับ จับดูก็จะเห็นเลยครับ ว่าผนังศรีษะมันนูนๆ เริ่มจากที่ด้านบนสุดแล้วก็ลงมาด้านข้างศรีษะทางด้านขวาเหนือกกหู อ้อมลงจากใบหูลงไปที่คอแล้วก็ลงไปที่ในอก ดูตามรูปเลยครับ ฝังแล้วฝังเลยครับ ไม่ต้องเปลี่ยน หมอบอกว่ายกเว้นถ้ามันเกิดผิดปกติหรืออุดตันครับ ถ้าไม่มีอะไรพวกนี้ก็ปล่อยยาวเลย ตลอดชีวิตครับ เวลาผมต้องไปตรวจเอ็กซ์เรย์ทรวงอกก็จะเห็นเจ้าท่อนี้ชัดเจนมากครับ

ผมไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมพี่น้องของผมคนอื่นจึงไม่ต้องมีท่ออันนี้ใส่ไว้หลังผ่าตัดเหมือนผมครับ เดาว่าอาจจะเป็นเรื่องของเทคนิกของแพทย์แต่ละท่าน หรือเป็นเพราะว่าลักษณะการเกิดเนื้องอกของผมกับของพี่น้องคนอื่นไม่เหมือนกันก็เป็นได้ แต่ไม่มีปัญหาครับ เจ้าท่ออันนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายหรือความรำคาญลำบากอะไรแก่ผมเลย ถ้าไม่จับดูก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีมันอยู่นะครับ

แล้วพบกันใหม่ครับ สวัสดีครับ

วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ตรวจตา พี่กับน้องท้องเดียวกัน


สวัสดีครับ เพิ่งกลับจากไปตรวจตาที่ศิริราชมาครับ วันนี้พี่ชายก็มาจากเพชรบูรณ์มาตรวจตามแพทย์นัดด้วยเหมือนกัน ตรวจกับอาจารย์ละอองศรีครับ คุณหมอผู้สวยสง่าและใจดีครับ ผมกับพี่น้องคนอื่นๆตรวจเนื้องอกในตาเนื่องจากโรค VHL กับอาจารย์คุณหมอละอองศรีตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วครับ ตั้งแต่ที่เพิ่งจะรู้จักกับโรคนี้ใหม่ๆ โดยคุณหมอชนินทร์เป็นผู้แนะนำให้ไปตรวจครับ เพราะอย่างที่ทราบคนที่เป็นโรคนี้จะมีโอกาสที่จะเกิดเนื้องอกขึ้นที่อวัยวะส่วนอื่นๆของร่างกายได้อีกหลายส่วน เช่น ตา หู ตับอ่อน ไต ต่อมหมวกไต ถุงอัณฑะ สมอง ไขสันหลัง เป็นต้นครับ ซึ่งพอผมไปตรวจตาก็เจอเลย เนื้องอกอยู่ในลูกตาดำครับ อยู่ข้างในลึกๆโน่นแหละครับ หมอต้องทำการขยายม่านตา และใช้กล้องพิเศษส่องดู ตอนตรวจก็ทรมานบ้างเหมือนกันเพราะต้องลืมตาสู้กับแสงไฟครับ ตอนที่ผมตรวจเจอเนื้องอกในตาและต้องยิงเลเซอร์เพื่อรักษา (ฆ่า) นั้น ก็มันไปอีกแบบครับ เป็นประสบการณ์ใหม่ที่ยากจะลืมจริงๆ คุณหมอขยายม่านตาก่อน แล้วก็หยอดยาชา จากนั้นก็เอาเลนส์ที่ทาเจลไว้แปะเข้ากับลูกตาเรา แล้วก็ยิงเลเซอร์ผ่านเลนส์นั้นครับ ตอนที่โดนยิงก็ตามองไม่เห็นอะไรเลยไปชั่วขณะครับ ตอนแรกก็ตกใจเหมือนกัน นึกว่าตาจะบอดซะแล้ว เพราะมันมีด มองอะไรไม่เห็นเลย แต่ก็ประมาณสี่ห้านาทีก็กลับมามองเห็นเหมือนเดิมครับ

ผมเข้ารับการรักษาโดยแสงเลเซอร์แล้วน่าจะสองครั้งครับ ทั้งสองตาเลย หลังจากนั้นคุณหมอก็นัดตรวจเพื่อติดตามผลทุกๆ 6 เดือนครับ ทุกครั้งที่ไปก็จะมีการขยายม่านตา มีการถ่ายรูปในตา และคุณหมอก็จะส่องกล้องตรวจครับ ของผมหลังจากที่ยิงเลเซอร์ไปประมาณเจ็ดแปดปีแล้วก็ไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นอีกเลย เพิ่งจะมีวันนี้แหละครับ ที่คุณหมอบอกว่าที่ตาซ้ายเห็นลักษณะเหมือนจะมีปุ่มนูนๆ เกิดขึ้นมาตรงรอยเดิมที่ถูกยิงไปแล้ว แต่มันยังเล็กอยู่ครับ และยังเห็นด้วยว่ามีเส้นเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงมันเป็นเส้นที่ใหญ่กว่าเส้นอื่นๆรอบๆด้วย ... โอย สยอง... คุณหมอก็เลยบอกว่า คราวหน้าถ้ามาตรวจแล้วมันโตขึ้นก็ต้องนัดยิงเลเซอร์นะ ...

สรุปว่า่คราวนี้ทั้งผมทั้งพี่ชายก็ไม่มีอะไรผิดปกติครับ จะมีก็แต่ร่องรอยของผมที่อาจจะบ่งชี้ว่าคราวหน้าอาจมีเฮ อะไรประมาณนั้น แล้วคุณหมอก็นัดตรวจอีกที 6 เดือนข้างหน้าครับ

ตอนนี้ขอนัดคุณหมอให้ตรวจลูกสาวด้วยครับ เดือนเมษานี้ตอนปิดเทอมก็จะพาไปครับ คุณหมอห่วงว่าไม่ควรปล่อยไว้นานเกิน ควรเอามาตรวจเร็วๆ ก็ลุ้นกันอีกแล้วครับ ไม่อยากให้ลูกมีเนื้องอกในตาเลย สงสารเด็กครับ แต่โรคนี้มันก็ไม่เคยปราณีใครเหมือนกัน ลูกสาวคนนี้ผ่าสมองมาแล้วหนึ่งครั้งเนื่องจากเนื้องอกตรงแกนสมองครับ เธอก็นับว่าเป็นเด็กที่อดทนมาก ตอนนี้ก็ร่าเริงตามประสาวัยรุ่นอ่อนๆ ครับ ไม่เห็นจะเครียดเรื่องโรคที่เป็นเท่าไร ผมก็เลยสบายใจขึ้นมาเยอะเลย

สำหรับพี่ชายคนนี้มีนัดจะผ่าสมองอีกครั้งในวันที่ 15 พฤษภาปีนี้ครับ คุณหมอบอกว่าจะเอาเนื้องอกออกสองเม็ด อีกสองเม็ดคงยังไม่เอาออก เพราะว่ามันกระจายกันอยู่ครับ เฮ้อ หวังว่าทุกอย่างคงจะออกมาดีสำหรับพี่ผมนะครับ ถ้าผ่าคราวนี้ก็เป็นครั้งที่ 4 ของพี่ ซึ่งก็จะเท่ากับผม รวมกันสองคนพี่น้องในรูปนี้ก็ 8 ครั้งพอดีครับ หวังว่ามันคงจะจบแค่นี้ครับผม

แล้วคุยกันใหม่ สวัสดีขอรับ...

วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เจาะคอ ... รอให้เลือด

สวัสดีค่ำวันอังคารครับ วันนี้ทุกคนคงสบายดีกันนะครับ ใครที่ทำงานก็คงยังไม่เหนื่อยเท่าไร ส่วนใครที่ต้องไปเรียนก็คงยังสนุกกับคุณครูและเพื่อนๆอยู่ ก็เพิ่งวันทำงานได้สองวัน หรือถ้าไปเรียนก็วันที่สองของสัปดาห์เองนี่ครับ... ฮ่าๆ ส่วนผมก็เริ่มจะเหนื่อยๆนิดหน่อย อยากจะนอนตั้งแต่เช้าแล้ว แต่ราตรีนี้ก็ยังคงอีกยาวนานนัก ที่สำคัญยังไม่ได้ออกกำลังกายเลยนี่นา

พรุ่งนี้มีคิวไปหาหมอจักษุที่ศิริราชครับ ต้องไปตรวจเนื้องอกในตาครับ หมอนัดหลังจากคราวที่แล้วหกเดือนครับ ก็เป็นการตรวจเพื่อติดตามอาการตามปกติ หวังว่าคงไม่มีอะไรมาก แต่ที่แน่นอนคือต้องเหนื่อยแน่ๆ เหนื่อยกับการขับรถไปและเหนื่อยกับการต้องนั่งหลับตาเพื่อรอให้ม่านตาขยายนี่แหละครับ แล้วคนไข้ก็เยอะมาก ก็เลยนั่งรอนานนิดนึง แล้วจะมาเล่าให้ฟังใหม่พรุ่งนี้ครับ

วันนี้ว่าจะเล่าเรื่องตอนที่ไปผ่าตัดต่อมหมวกไตขวานี่แหละครับ ที่จะเล่าก็คือเรื่องที่หมอเจาะคอเพื่อเอาเข็มให้เลือดใส่ไว้ครับ พอฟื้นจากสลบขึ้นมาก็เห็นว่ามีเข็มฝังไว้ตรงคออยู่แล้ว พยาบาลบอกว่าเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับกรณีฉุกเฉินที่ต้องให้เลือดกระทันหัน ตรงคอนี้จะดีที่สุด เพราะมีเส้นเลือดแดงใหญ่อยู่ครับ ดูในรูปก็จะเห็นว่ามีเส้นเลือดสีแดงเส้นใหญ่มากอยู่ตรงข้างๆคอของเรา เส้นนี้แหละครับ สำคัญนัก มันจะนำเลือดเข้าสู่หัวใจได้เร็วที่สุดเลยครับ ถ้าในภาวะปกติ ก็แค่ให้เลือดที่แขนก็โอเคแล้วล่ะครับ สำหรับผมคราวนั้นหมอเจาะเตรียมไว้แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้ครับ เพราะร่างกายก็ฟื้นคืนมาได้อย่างปกติ ถึงแม้จะมีการให้เลือดเหมือนกัน แต่ไม่จำเป็นต้องให้ที่คอครับ ก็ให้ที่แขนครับ จำไม่ได้แล้วว่าให้เลือดไปเท่าไหร่ กี่ซีซี แต่ก็ทำให้สดชื่นขึ้นมากเลยครับ ต้องขอบคุณเจ้าของเลือดด้วยที่ทำให้ผมได้แข็งแรงขึ้นครับ ที่ผ่านมาผมก็เคยไปบริจาคเลือดอยู่บ่อยๆ ตามโอกาสครับ ถึงแม้ว่าช่วงหลังจะเป็นเบาหวานแล้ว ก็ยังบริจาคจนได้สองสามครั้ง ก็ยืนยันกับเจ้าหน้าที่ครับ ว่าสบายมาก บริจาคได้ ไม่เป็นไร ส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่ก็จะลังเลนิดหน่อยเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็คงเห็นความตั้งใจของเราก็เลยยอม แต่ก็มีการสอบถามอาการต่างๆอยู่พอสมควรเลยครับ หลังจากบริจาคทุกครั้งผมก็มีอาการปกติดี ไปดื่มน้ำหวานนิดหน่อย ที่ดื่มไม่มากเพราะเป็นเบาหวานนี่แหละครับ แล้วก็เดินสบายๆ ออกจากที่รับบริจาคเลือด ไม่เคยเป็นลมด้วยครับ แต่ถ้าเป็นตอนนี้ก็ไม่แน่... อาจจะล้มตึงลงไปกองเลยก็ได้ ฮ่าๆ

แล้วพบกันใหม่วันพรุ่งนี้ครับ อย่าลืมมีอารมณ์ดีกันทุกคนนะครับ สวัสดีครับ...

วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ดาบสอง แผลกำลังสวยเลยครับ สองข้างเหมือนกันแล้ว

สวัสดีในวันจันทร์ที่แสนดีครับ
วันจันทร์ทีไรไม่ค่อยอยากลุกจากที่นอนเลยนะครับ ลุกแล้วก็ล้ม ล้มแล้วก็ลุก... กว่าจะตัดใจจากที่นอนได้ก็เกือบสายทุกทีเลย แล้วพอออกจากบ้านรถก็ติดเต็มถนนไปหมดแล้ว เหมือนเดิมอีกแล้ว... หวังว่าคนอื่นคงไม่เบื่อเหมือนผมนะครับ อย่าเบื่อเลยครับ ทำใจให้สนุกดีกว่ากันเยอะเลย (ถ้าทำได้นะครับ) วันนี้จะเอาเรื่องแผลที่สองมาเล่าให้ฟังกัน คือหลังจากผ่าแผลแรกไปได้สามเดือนพอดี หมอก็นัดผ่าแผลที่สอง เอาไตซ้ายที่มีเนื้องอกออกครับ ซึ่งเจ้าเนื้องอกที่ไตซ้ายนี้มันไม่ใช่เนื้องอกธรรมดาแล้ว มันคือเนื้อร้ายครับ หรือมะเร็งนั่นเอง ตอนแรกคุณหมอก็ไม่ได้บอกตรงๆว่ามันเป็นมะเร็ง ได้แต่บอกว่ามันดูคล้ายๆนะ ผมว่าหมอคงไม่อยากให้ตกใจก็เลยพูดอย่างนั้นไปก่อน ที่จริงหมอคงรู้ดีว่ามันเป็นมะเร็งแน่นอนครับ แต่ก็ดีแล้วครับที่หมอบอกอย่างนั้น เพราะว่าก็ทำให้ผมไม่คิดมากเกินไป คือตกใจและคิดมากเหมือนกันครับในตอนแรกที่ได้ยิน แต่ก็ได้แต่หวังเล็กๆว่ามันคงไม่ใช่หรอก แล้วพอผ่าตัดเสร็จเอาชิ้นเนื้อไปตรวจ หมอก็บอกว่ามันเป็นเนื้อร้ายครับ โชคยังดีที่มันยังไม่แพร่กระจายไปไหน มันกลายจากเนื้องอกธรรมดาไปเป็นเนื้อร้ายครับ เท่าที่ทราบเจ้าเนื้องอกที่ไตนี้ส่วนใหญ่แล้วจะกลายเป็นมะเร็งทั้งนั้นเลย ต้องระวังกันให้ดีครับ...

สรุปก็ตัดไตออกไปซะหนึ่งอัน เหลืออีกหนึ่งข้างหมอบอกว่ามันก็ทำงานได้ดีครับ หมอบอกว่าคนเราเหลือไตข้างเดียวก็ไม่มีอะไรผิดปกติ หมายถึงการทำงานของไตน่ะครับ ก็จะยังสามารถทำหน้าที่ได้ดีเหมือนมีสองข้างเหมือนเดิมครับ ก็เลยใจชื้นขึ้นมาหน่อย แต่เหลือข้างเดียวก็คงไม่อุ่นใจเท่าสองข้างหรอกครับ จริงมั้ยครับ?

แผลก็คล้ายๆเดิม เพียงแต่สั้นกว่าแผลแรกสองนิ้วครับ เจาะรูระบายน้ำเลือดเสียเหมือนเดิมครับ ก็ได้ประสบการณ์ที่มีรสชาติไปอีกแบบ และไม่นานก็หายดีครับ สำหรับวันนี้ก็คงจะพอเท่านี้ก่อนครับ วันนี้คงจะไปออกกำลังกายเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าคงจะไม่หนักเท่าเดิมครับ ลดเวลาลงมาหน่อย การออกกำลังกายทุกคนก็รู้ว่าเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว แต่ก็ต้องทำแค่พอดีครับ มากไปหรือน้อยไปก็ไม่ดีทั้งนั้น แล้วคุยกันใหม่นะครับ สวัสดีครับ...

วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

สายระบายเลือดจากในท้อง.. น่าหวาดเสียว

สวัสดีครับ กลับมาพบกันเหมือนเดิม วันนี้กลับจากไปเยี่ยมพ่อแม่ที่ต่างจังหวัดมาครับ เหนื่อยนิดหน่อย แต่ก็ดีที่ได้พบหน้าพ่อกับแม่ ก็เหมือนเดิมครับ ทั้งสองคนก็สบายกันดีตามประสาคนแก่ ท่านก็ดีใจที่ได้เจอหน้าลูกๆ หลานๆครับ

วันนี้จะเอาเรื่องที่ไปผ่าตัดต่อมหมวกไตข้างขวามาเล่าต่อนะครับ สำหรับตอนนี้ข้างขวาก็มีแต่ไต ต่อมหมวกไตถูกตัดไปแล้ว และไตข้างที่เหลือก็ยังมีก้อนซีสต์หลายก้อนเกาะอยู่เหมือนเดิมครับ ก้อนใหญ่สุดมีขนาด 4x4.5เซนติเมตรครับ ก็เป็นถุงน้ำธรรมดาครับ คงไม่มีผลอะไรต่อร่างกายมากนัก

สำหรับที่จะเอามาเล่าวันนี้ก็เป็นเรื่องของสายระบายเลือดและของเสียต่างๆที่เจาะเข้าไปในท้องเพื่อระบายน้ำเลือดจากภายในออกมาทิ้งยังถุงที่อยู่ข้างนอกครับ เป็นสายยางสีเหลืองๆ ขุ่น นิ่มๆ ขนาดใหญ่กว่าสายน้ำเกลือทั่วไปนิดหน่อยครับ ที่น่าหวาดเสียวก็เพราะว่ามันรู้สึกว่าโห นี่เราถูกสายยางเจาะเข้าไปในท้องกันแบบสดๆ เลยหรือนี่? ฮ่าๆ ไม่ใช่เจาะกันตอนยังรู้สึกตัวหรอกนะครับ เค้าเจาะตอนที่สลบอยู่ครับ เพียงแต่ว่ามันรู้สึกหวาดเสียวตอนที่มองดู และรู้ว่ามันเสียบเข้าไปในท้องเรานี่แหละครับ แต่ก็ไม่รู้สึกเจ็บอะไร หลังผ่าตัดได้ประมาณสามวันพอคุณหมอเห็นว่าของเหลวที่ไหลออกมาชักจะน้อยลงแล้ว หมอก็เอาออกครับ วิธีการก็ไม่มีอะไรพิเศษครับ ก็ดึงออกมาเลยนี่แหละครับ แต่วันแรกดึงออกมาประมาณสองสามนิ้วฟุตครับ แล้วก็เอากรรไกรตัด ส่วนปลายสายก็เอาเข็มกลัดแทงไว้ก่อนเพื่อขวางไว้ไม่ให้มันหลุดคืนเข้าไปในท้องอีก ถ้าหลุดเข้าไปละก็... คงต้องผ่าท้องเอาออกมาครับ เจ็บตัวเปล่าๆแน่นอนเลย แต่หมอระดับนี้แล้ว ท่านไม่พลาดหรอกครับ

แล้วพอวันรุ่งขึ้น หมอก็มาเอาส่วนที่เหลือออกทั้งหมด โดยการดึงธรรมดาเหมือนเดิมครับ ตอนดึงมันก็เสียวๆนิดหน่อย แต่ไม่เจ็บครับ สายที่เหลืออยู่ในท้องยาวเหมือนกันนะครับ ยาวเป็นคืบเลยครับ แล้วพอเอาออกมาหมด ก็ไม่ได้เย็บปากแผลปิดนะครับ หมอบอกว่าเดี๋ยวมันก็ติดกันเอง ได้แต่เอาผ้าก้อตปิดแผลไว้เพื่อกันเชื้อโรคเข้า ตอนแรกผมก็กลัวๆ ว่าปากแผลมันจะติดกันได้เหรอเพราะท้องเราเป็นรูอยู่นี่ครับ แต่สุดท้ายพอผ่านไปสองสามวันมันก็เริ่มชิดกัน และวันที่หกเจ็ดก็มีเนื้อมาปิดแผลจนเกือบเต็มครับ รอไปอีกหน่อยก็เต็มและไม่มีรูอะไรอีกต่อไป จะเหลือก็แต่รอยดำๆของแผลครับ ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ เลยนะครับ ร่างกายมนุษย์เราเนี่ย

หลังจากครั้งแรกสามเดือนผมก็มีประสบการณ์ครั้งที่สองอีกครับ คราวนี้ก็คล้ายๆครั้งแรก ผ่าตัดเอาไตซ้ายออกครับ แล้วจะมาเล่าใหม่วันหน้านะครับ สำหรับวันนี้ขอตัวไปพักผ่อนก่อนครับ สวัสดีครับ

วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

กลับบ้านไปหาพ่อ ขอลาหยุด 1 วันครับ


สวัสดีครับ เย็นนี้จะกลับบ้านที่เพชรบูรณ์ไปเยี่ยมพ่อนะครับ เอาไว้พบกันใหม่อีกสองวันข้างหน้าครับ พ่อตอนนี้ก็แก่มากแล้ว เดินไม่ไหวแล้วครับ นอนอยู่บนเตียงอย่างเดียว เวลาจะพาไปไหนก็ต้องอุ้มขึ้นรถครับ พ่ออายุ 82 ปีแล้ว ไม่ได้เป็นโรค VHL ครับ คนที่เป็นคือแม่ซึ่งเสียชีวิตไปนานแล้ว ตอนอายุได้ 33 ปี ครับ ตอนนั้นผมเพิ่งอายุ 3 ขวบเอง แม่เป็นโรค VHL และเสียชีวิตจากอาการปวดหัวอย่างรุนแรงครับผม (เนื้องอกในสมอง)

แล้วคุยกันใหม่ครับ สวัสดีครับ

วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

หญ้าหวาน หวานจริงๆ


สวัสดีครับ วันนี้ขอพักเรื่องประสบการณ์ตอนผ่าตัดไตของผมเอาไว้ก่อนนะครับ อยากคุยเรื่องหญ้าหวานครับ คือวันนี้ได้ของฝากจากน้องที่เที่ยวเชียงใหม่มา เป็นหญ้าหวานแห้งหนึ่งถุง อ่านสรรพคุณและค้นเพิ่มเติมจากอินเตอร์เน็ต เค้าก็บอกว่าหวานมาก ใช้แทนน้ำตาลในการชงชา กาแฟ หรือทำขนมหวานได้เลย ไม่เท่านี้นะครับ ถ้าเอาไปสกัดนี่จะได้สารที่ให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลถึง 200-300 เท่าเลยเชียวครับ... เพราะอย่างนี้เองจึงมีการใช้ประโยชน์จากหญ้าหวานกันมากและมีมานานแล้ว โดยเฉพาะในญี่ปุ่น เกาหลี และแถบอเมริกาใต้ ยิ่งในปัจจุบันก็ทั่วโลกแหละครับ ประโยชน์ก็คือให้ความหวานแต่ไม่ให้พลังงานเลย คนที่อยากลดความอ้วนก็เลยสบายเลย

การใช้สำหรับคนที่เป็นเบาหวานก็คือใช้แทนน้ำตาลครับ ใส่ในชา กาแฟ แทนน้ำตาลครับ แต่ไม่ได้ช่วยลดน้ำตาลแต่อย่างใดครับ ดังนั้นเราก็ต้องควบคุมเรื่องการกินอาหารอยู่ดี โดยเฉพาะเรื่องแป้ง และข้าว ก็พวกขนมปังต่างๆ เค้ก ข้าวเหนียว และอีกสารพัดครับ สำหรับผมตอนนี้ก็ลดพวกแป้งและขนมปังลงได้เยอะแล้ว กินน้อยลง แต่ปัญหาก็ยังมีครับเพราะว่าน้ำตาลในเลือดก็ยังสูงอยู่เป็นบางเวลาโดยเฉพาะหลังอาหาร ซึ่งก็กินยาควบคุมได้ระดับหนึ่งครับ อีกปัญหาที่สำคัญมากๆ และทำให้การควบคุมน้ำตาลทำได้ยากก็คือความหิวระหว่างมื้อครับ ในระหว่างมื้ออาหารเช่นหลังอาหารเช้า ก่อนอาหารเที่ยงหรือก่อนอาหารเย็นนี่แหละครับ ที่สำคัญมาก เพราะว่าพอเราทานข้าวน้อย เราก็จะหิว หิว แล้วก็หิว ทีนี้จะกินอะไรล่ะครับที่จะทำให้หายหิว คนที่ไม่เป็นเบาหวานก็กินไอศกรีมบ้าง ขนมบ้าง หรือผลไม้บ้าง แล้วแต่ความชอบ แต่คนที่เป็นเบาหวานนี่ โห ยากมากครับ แล้วยิ่งเวลามันหิว มันจะรู้สึกหิวโซครับ ทรมานมาก และปกติก็มักจะมาคู่กับอาการน้ำตาลต่ำ ซึ่งก็อันตรายและทรมานอีก เมื่อวานก่อนเที่ยงกับวันนี้หลังอาหารเที่ยงแท้ๆ ผมยังมีอาการน้ำตาลต่ำ รู้สึกเหมือนจะเป็นลม หวิวๆ ร้อนๆ และมีเหงื่อซึมตามหน้าผากครับ ต้องรีบหาลูกอมกินทันที นอกจากนี้ก็ยังมีอาการหัวใจเต้นแรงผิดปกติด้วย ทรมานน่าดู

สรุปก็คือ เป็นเบาหวาน ต้องระวังทั้งเรื่องน้ำตาลต่ำและน้ำตาลสูงเลยครับ อะไรก็กินไม่ได้ หญ้าหวานก็คือเอามาใช้แทนน้ำตาลครับ ใช้สำหรับเวลาที่อยากกินหวาน แต่ที่ต้องระวังเหมือนเดิมก็คือข้าวนี่แหละครับ ทานน้อยๆไว้เป็นดี

อ้อ รู้สึกว่าออกกำลังกายมากไปก็ไม่ดีอีกนะครับ ผมออกกำลังกายโดยการเดินสายพานอย่างต่อเนื่อง 30 นาทีทุกวัน (และนอนไม่ค่อยพอด้วย) ทำอย่างนี้ได้แค่สองสามวันก็รู้สึกเลยว่าร่างกายจะแย่ ต้องดูแลทุกอย่างครับ เห็นเลยว่าคนเป็นเบาหวานจะลำบากมาก ตอนนี้ก็เลยอยากเตือนคนที่ยังไม่เป็นว่าให้ระวังเรื่องสุขภาพ กินอาหารแต่พอดี ออกกำลังกายอยู่เสมอนะครับ

สวัสดีครับ

วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

แม็กซ์เย็บแผล ไม่ใช่แบบเดียวกับที่ใช้เย็บกระดาษนะครับ

สวัสดีครับ วันพุธกลางสัปดาห์เป็นยังไงกันบ้างครับ หวังว่ายังคงสดชื่นกันดีอยู่นะครับ ส่วนผมก็เหนื่อยๆนิดหน่อย ช่วงนี้บ้าออกกำลังกายเยอะ นอนน้อยเพราะอยากตื่นเช้าจะได้ไปทำงานตอนรถยังไม่ติดมาก ผลก็คือ ง่วงครับ คงจะนอนไม่พอนั่นแหละครับ เลยตั้งใจว่าวันนี้จะนอนเร็วหน่อย จริงๆ แล้วการนอนพักผ่อนให้เพียงพอก็เป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้วนะครับ แต่บางทีการหาเวลานอนให้พอมันก็ไม่ง่ายเหมือนกัน

วันนี้ตั้งใจจะเอาเรื่องแม็กซ์ที่ใช้เย็บแผลมาเล่าให้ฟังกันครับ รูปนี้อธิบายลักษณะที่เจ้าลวดเย็บแผลมันฝังอยู่ใต้ผิวหนังของเราอย่างไร จะเห็นว่าไม่ใช่แค่มีขาปักลงไปตรงๆนะครับ แต่ขาลวดใต้ผิวหนังของเรามันยังงอเป็นแนวนอนอยู่ด้วยทั้งสองขาเลย ดึงออกขึ้นมาตรงๆแบบธรรมดาๆ ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะครับ ถ้าทำอย่างนั้นก็มีหวังเนื้อฉีก เลือดสาดกันแน่นอน ตอนแรกผมไม่รู้ก็นึกอยากจะดึงออกเองเหมือนกันครับ แบบว่าคึกคะนอง ดีนะครับที่ไม่ได้ทำ

ในการเอาออกต้องใช้เครื่องมือที่ออกแบบมาโดยเฉพาะครับ ซึ่งเราจะเห็นการทำงานตามรูปนะครับ ตอนเอาออกจากแผลของผมตอนนั้นไม่เจ็บเท่าไรครับ จี๊ดๆ นิดหน่อย ก็เสียวๆนิดนึงเหมือนกัน ถ้าไม่นับความเสียวละก็ แทบไม่รู้สึกเลยครับ สนุกอีกต่างหาก... ฮ่าๆๆ

พบกันใหม่พรุ่งนี้ครับ สวัสดีขอรับ...