วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2564

ผ่าสมองครั้งที่แปด (8)

 สวัสดีครับ

ผมห่างหายไปนานแต่ก็ยังมีชีวิตอยู่นะครับ นี่เพิ่งผ่าสมองครั้งที่แปดไปเมื่อ 11 มิ.ย. 2564 นี้เองครับ คุณหมอที่ รพ.สวนดอกเชียงใหม่บอกว่าเอาเนื้องอกและถุงน้ำออกครับ อาการมือขวาสั่น ๆ จนจับปากกาไม่ได้ก็ดูเหมือนจะดีขึ้นนิดหน่อย (นิดหน่อยครับ ยังเขียนหนังสือไม่ได้เหมือนเดิม)

ตอนนี้ผมสบายดี คงออกกำลังกายเพิ่มครับ

วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

พักฟื้นตัวหลังผ่าสมอง

สวัสดีครับ

ครบ 7 วันพอดีที่ออกจากโรงพยาบาลหลังผ่าตัดเนื้องอกในสมอง ครั้งนี้แผลยาวมากครับ ผมนอนไม่ค่อยหลับตอนกลางคืนเพราะปวดแผลมาก บวมอีกต่างหาก แต่ทนได้ครับ พยายามนึกถึงความเป็นธรรมดา ธรรมชาติของร่างกาย มีเกิด มีแก่ แล้วก็มีเจ็บครับ ตอนนี้กำลังเจ็บป่วยอีกไม่นานก็คงตายครับ ธรรมดา หนีไม่พ้นครับ ถ้าเรานึกว่านี่เป็นตอนเจ็บของร่างกายก็ทนได้ครับ อย่าไปเอามาเป็นของเรา ปล่อยวางไว้เป็นของร่างกายครับ เท่านี้ก็ไม่ทุกข์ แต่สำหรับมนุษย์ธรรมดาอุจจาระเหม็นก็ต้องเผลอไปยึดติดบ้างเป็นปกติครับ

นอกจากความปวดก็ไม่มีอะไรอีก กินได้ปกติ เข้าห้องน้ำได้เหมือนเดิม เดินได้ครับ แต่ตอนลุกจากที่นอนต้องช้า ๆ เพราะปวดแผลมาก เจ็บหัวจี๊ดๆ

ตอนนี้อยากออกไปทำงานเต็มแก่ แต่ก็ยังไม่ได้ครับ แค่จะออกไปชั้นล่างในบ้านภรรยายังโกรธเลย อีกอย่างสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ต้องระวังตัวมากๆด้วย ยาที่ทานตอนนี้ก็มีพาราเซตามอลเวลาปวด แล้วก็วิตามินบีรวมครับ นอกจากนี้ก็ไม่มีอะไร

ขอให้ทุกคนสุขภาพดีครับ สวัสดีครับ

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

ผ่าเนื้องอกในสมองครั้งที่ 7

สวัสดีครับ

ผมไม่อยากเอาภาพซ้ำ ๆ ของตัวเองมาลงแบบที่มันหดหู่ ก็เลยเอาภาพดอกไม้สวย ๆ ดีกว่าครับ ภาพนี้เป็นดอกเอื้องดินที่ขึ้นหลังบ้านที่เชียงรายตอนเริ่มหน้าฝนนี้เองครับ สวยดีนะครับ สีม่วงอมขาวด้วย ขึ้นมาตอนฝนแรกของปีผ่านไปได้สักอาทิตย์นี่แหละครับ ผมผ่าสมองครั้งนี้เป็นครั้งที่ 7 ครับ ตอนนี้อยู่ รพ.ประจำจังหวัดในเชียงใหม่ อายุ 48 เกือบ 49 เต็มในเดือนหน้านี้แล้วครับ เนื้องอกคราวนี้หมอเอาออก 5 ก้อนครับ ทั้งใหญ่และเล็ก หมอเก่งครับ สุดยอดเลย และผมก็เตรียมตัวมาดีด้วยครับ ออกกำลังกายตลอด สวดมนต์ ไหว้พระที่เรานับถือ เท่านี้ก็พร้อมครับ ทำเท่าที่จะทำได้

อีกวันสองวันน่าจะออกจาก รพ.ได้ครับ คงกลับไปไหว้พระและออกกำลังกายเหมือนเดิมครับ ขอให้ทุกคนโชคดี สวัสดีครับ

วันจันทร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2563

สวัสดีครับ

ไปหาหมอเพื่อติดตามผลหลังผ่าตัดเนื้องอกในสมองสามเดือนพร้อมตัดสินใจผ่าเนื้องอกที่เหลืออีกครั้งเมื่อวานนี้ครับ อย่างที่บอกครับ ต้องผ่าอีกครั้งสำหรับเนื้องอกก้อนโตที่เหลืออยู่ ที่จริงยังเหลืออยู่อีกประมาณ 5 ก้อนครับ แต่ที่ใหญ่จริง ๆ และต้องเอาออกมีอยู่ก้อนเดียวครับ ขนาดประมาณ 3 ซม. ผล mri เมื่อวานหมอบอกว่าเนื้องอกมีขนาดเท่าเดิมแต่ถุงน้ำใหญ่ขึ้น!!! ก็ต้องเตรียมเจ็บตัวกันต่อไปครับ ภาพที่เอามาลงนี้เป็นภาพหลังผ่าตัดครั้งล่าสุดสองเดือนครับ ทำงานใช้แรงแบบเบา ๆ ได้ งานหนักไม่ได้ครับ ยังเพลีย ๆ อยู่

มีเวลาก่อนผ่าสองเดือนพอดีครับ ช่วงนี้ต้องออกกำลังกายเพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมที่สุด

แล้วพบกันใหม่ครับ สวัสดีครับ

วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2563

ผ่าสมองครั้งที่ 6 ตอนอายุ 48+ (เนื้องอกยังไม่หมด)

สวัสดีครับ

ผมผ่าสมองครั้งล่าสุดเป็นครั้งที่ 6 เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2562 นี้ครับ ตอนนั้นอายุ 48ปีกว่า ๆ ครับ เริ่มจะมีอายุ แต่ก็ยังแข็งแรงอยู่ ผ่าที่ รพ.สวนดอก เชียงใหม่ครับ คราวนี้อยู่ รพ. 10วัน ร่างกายค่อย ๆ ฟื้นแต่กว่าจะดีขึ้นก็แย่เหมือนกัน หลังผ่าใหม่ ๆ ก็มีสะอึกตลอดเวลาตั้งสามวัน เล่นเอาแย่เลย เหนื่อยและเจ็บคอมาก นอนหลับไปทั้ง ๆ ที่สะอึกนั่นแหละ หลับได้เพราะความเพลียและเหนื่อยครับ

สำหรับเนื้องอกคราวนี้เกือบสี่ ซม. เลย อยู่ฝั่งซ้ายของสมองส่วนหลัง ผ่าซ้ำที่รอยเดิม ไม่มีอาการปวดหัวอะไร แต่ที่ไปหาหมอคราวนี้ก็เพราะมีอาการมือขวาสั่น สั่นจนเขียนหนังสือไม่ได้เลย คือใช้ไม่ได้เลย แปรงฟันก็ไม่ได้ กินข้าวก็ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนมาใช้มือซ้ายทั้งหมด ตอนนี้ก็หัดใช้มือซ้ายเขียนหนังสือแทน เขียนโย้ไปเย้มาแต่ก็จำเป็นละครับ เอาก็เอา

ผ่าเอาก้อนเนื้องอกออกไปแล้วสามเดือนแต่มือขวาก็ยังสั่นอยู่ ก้อนเนื้องอกขนาดสามเซ็นต์กว่าก็ยังเหลืออยู่อีกก้อน สงสัยต้องเอาออกด้วยการผ่าอีกแล้ว อาทิตย์หน้าจะไปหาหมอครับ อาจจะต้องตกลงกับหมอว่าจะผ่าเมื่อไร...โอย

แล้วจะมาเล่าต่อครับ สวัสดีครับ

วันจันทร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2562

พี่ชายผ่าสมองครั้งที่ 8 คราวนี้บอบช้ำมาก

สวัสดีครับทุกท่านที่แวะเข้ามาอ่านบทความนี้ครับ วันนี้จะเอาเรื่องของพี่ชายซึ่งเคยลงไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อคราวผ่าตัดก่อนหน้ามาเล่าสู่กันฟังอีกครั้งสำหรับการผ่าตัดครั้งล่าสุดเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ให้กับทุกคนที่สนใจครับ พี่ชายผมคนนี้อายุ 51ปีแล้ว ผ่าสมองเอาเนื้องอกในสมองออกล่าสุดเมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา (2562) ที่ รพ.ศิริราชครับ ผ่าสมองคราวนี้เป็นไปด้วยดีครับ ผ่าตัดเรียบร้อย ออกจากห้องไอซียูมาก็เรียบร้อยดี ร่างกายสดชื่น แข็งแรง ยิ้มแย้มแจ่มใสดีครับ แต่พอออกจาก รพ.เนี่ยสิครับ กลับถึงบ้านได้ไม่นาน ก็เจ็บปวดทรมานมากขึ้น มีอาการปวดหัวและรู้สึกผะอืดผะอมเหมือนจะอาเจียนอยู่ตลอดเวลาจนต้องพกถุงหูหิ้วติดตัวอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน เอาไว้เผื่อถ้าอาเจียนขึ้นมาจริง ๆ จะได้มีถุงใส่ครับ กลายเป็นคน(ไม่ค่อยจะ)ยืดอกแต่ต้องพกถุงครับ สภาพน่าสงสารมาก และเป็นแบบนี้นานหลายวันครับ น่าจะเป็นเดือนได้นะครับที่ต้องทรมานกับอาการอย่างนี้ ตื่นเช้ามาแกต้องรีบอาบน้ำก่อนเลยครับ เห็นบอกว่าอาบน้ำเสร็จแล้วรู้สึกสบายตัวและไม่ค่อยรู้สึกจะอยากอาเจียนเท่าไร ทานข้าวได้น้อยครับ และตอนนี้ก็พูดไม่ค่อยชัดถ้อยชัดคำ แต่ก็พอรู้เรื่องครับ ช่วงนี้ก็รอให้ร่างกายพักฟื้นเป็นปกติ ซึ่งไม่รู้ว่าเมื่อไรเหมือนกันครับ แต่ก็หวังว่าจะอีกไม่นาน ครอบครัวเราเจอกับเรื่องแบบนี้จนชินแล้วครับ แกอดทนมาก ตอนปวดมาก ๆ พี่ชายก็บอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวมันก็ผ่านไป...

สำหรับตัวผมเอง ผ่าสมองมาแล้ว 5 ครั้ง ตอนนี้สบายดีครับ ผมยังใช้ชีวิตได้ตามปกติเหมือนคนส่วนใหญ่ทั่วไปเกือบ 100%ครับ มีบ้างที่เซ ๆ เวลาเดินแล้วทำหัวเอียงออกนอกขอบเขตลำตัว อย่างเช่นตอนเอี้ยวตัวอะไรแบบนั้น แต่ปกติแล้วก็ไม่มีอะไรครับ ทำงานได้ วิ่งได้ เดินได้ ว่ายน้ำได้ครับ ช่วงนี้ก็มีแต่โรคเบาหวานที่ยังต้องระมัดระวังเรื่องอาหารการกิน ซึ่งผมก็ทำได้ไม่ดีเท่าไร ชอบกินกาแฟเย็นครับ โดยเฉพาะช่วงนี้ที่เป็นหน้าร้อน ก็จะกินบ่อยเป็นพิเศษ เวลาไปตรวจแล้วน้ำตาลไม่ลดคุณหมอก็จะหันหน้ามาบอกว่า "ห้ามกินหวาน" ... ฮ่า ๆ คนไข้อย่างผมนี่มันดื้อครับ ทำไม่ค่อยได้ คุณหมอก็เลยต้องเพิ่มยาทุกครั้งที่ไปหา จนทานยาเยอะแล้ว ท่านก็บอกว่าจะต้องให้ฉีดซะแล้ว... โอย น่ากลัวครับ ผมไม่ค่อยอยากฉีดยา สงสัยต้องดูแลตัวเองดี ๆ หน่อยแล้ว

แล้วพบกันใหม่คราวหน้านะครับ ผมจะพยายามเข้ามาเขียนให้บ่อยขึ้นครับ ที่ผ่านมายังมีคนเข้ามาอ่านอยู่เรื่อย ๆ ครับ ล่าสุดมีคนถามว่าผมยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า เพราะเห็นโพสต์ครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2014 โน่นแน่ะ ขอตอบว่าผมยังอยู่ครับ ยังสบายดีครับ ผมพยายามออกกำลังกายอยู่เรื่อย ๆ พยายามจะทำให้ได้ทุกวันครับ ก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้างตามประสา

สวัสดีครับ

วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เปลี่ยนพฤติกรรม เปลี่ยนชีวิต

สวัสดีครับ

วันนี้มีข่าวดีที่สุดข่าวหนึ่งในชีวิตเมื่อไปพบหมอเพื่อตรวจน้ำตาลในเลือดตามนัดหลังจากที่ตรวจไปล่าสุดเมื่อ 4 เดือนที่แล้ว คุณหมอบอกว่า "ดีขึ้นทุกอย่างเลย" .. เย้ๆ ผมแสดงอาการดีใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ไม่ถึงกับกระโดดหรอกครับ ก็ดีใจแบบเล็กๆและไม่ให้เสียมารยาทต่อหน้าคุณหมอแค่นั้นแหละครับ นี่นับเป็นครั้งที่สองถ้าจำไม่ผิดว่าน้ำตาลลงเมื่อเทียบกับการตรวจก่อนหน้า ที่ผ่านมาผมเครียดมาตลอดเมื่อต้องไปพบหมอตามนัด คือนอกจากจะต้องรอนานแล้วยังต้องมาลุ้นกับผลเลือดอีก แล้วที่ผ่านมามันก็มีแต่คงที่กับสูงขึ้นตลอด พอตรวจเสร็จออกจากห้องหมอก็จะมีความตั้งใจขึ้นมาทีหนึ่งครับ ว่าจะเอาใหม่ ต่อไปจะตั้งใจให้มากขึ้นละ คราวหน้ามาตรวจ น้ำตาลต้องลง ต้องเป็นเท่านั้นเท่านี้ ก็ตั้งใจได้ไม่นานหรอกครับ พอผ่านไปสักระยะก็กลับมาเป็นอีกเหมือนเดิม คือก็ยังกินเหมือนเดิม ออกกำลังกายเท่าเดิม นอนเท่าเดิม ใช้ชีวิตแบบเดิม... อย่างนี้มันก็คงมีแต่แย่ลงสิครับ ก็ตัวเราเองก็คงแก่ลงไปทุกวันด้วย ร่างกายมันคงไม่แข็งแรงเหมือนตอนที่ยังเป็นละอ่อนอยู่แน่นอน ทีนี้การกำจัดน้ำตาลมันก็คงจะไม่ค่อยดีเหมือนตอนอายุยังน้อยหรอกมั้งครับ อันนี้ผมคิดเอาเองนะ ไม่รู้เหมือนกันว่าพออายุมากแล้ว ร่างกายมันจะมีโอกาสจัดการกับสิ่งที่ร่างกายไม่ต้องการได้ดีขึ้นในบางเรื่องได้หรือเปล่า แต่คิดว่าโดยทั่วไปก็คงจะไม่..

ผมไปหาหมอพร้อมกับได้ยาเพิ่มมาตลอด จนกระทั่งล่าสุดผมทานยามากขึ้นจนกระทั่งมีอาการน้ำตาลต่ำตอนกลางคืนช่วงประมาณตีสองถึงตีสามอยู่สองสามครั้ง ซึ่งมันเป็นตอนที่เรากำลังหลับสนิทเลยครับ โชคดีที่ยังตื่นมาหาอะไรหวานๆทานได้ทันเวลา ผมกลัวว่าถ้าวันหนึ่งผมนอนจนไม่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมามันจะเป็นยังไง กลัวจะหลับยาวแบบไม่ตื่นนะสิครับ หรืออาจจะตื่นมาแล้วเจอคนมีเขาอะไรประมาณนี้.. หลังจากนั้นผมตัดสินใจเลยว่า เอาละ จะไม่กินยามากเท่าเดิมอีกแล้ว ผมลองเปลี่ยนการกินยาไปมาสองสามแบบ จนสุดท้ายผมคิดว่าจะกินแค่ยา Glipezide ก่อนอาหารเช้า และยา Miformin หลังอาหารเช้า-กลางวัน-เย็น เท่านั้น ผมทดลองทำอย่างนี้มาตลอด 4 เดือนก่อนไปพบหมอและได้ผลตามที่รายงานไปนั่นแหละครับ แต่เดี๋ยวก่อนครับ นอกจากการกินยาแล้ว ในช่วงที่ผ่านมามันมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมากอันหนึ่งร่วมด้วย นั่นก็คือผมได้หยุดงานในออฟฟิศที่กรุงเทพฯ แบบระยะยาวไป 3 เดือน เพื่อพักผ่อนและดูและสุขภาพด้วยครับ ผมมีเวลาอยู่กับต้นไม้มากขึ้น มีเวลาอยู่กับธรรมชาติมากขึ้น เรื่องอาหารการกินก็พอจะควบคุมได้ดีขึ้นอีกนิดหน่อย คือเลือกกินได้บ้าง ไม่จำเป็นต้องไปซื้อกินทุกมื้อเหมือนเดิม ทำให้ลดการทานอาหารพวกไขมัน และแป้งลงไปได้เหมือนกัน ผมว่านี่น่าจะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้นนะครับ

วันนี้ตอนเข้าห้องไปพบคุณหมอผมก็ถามท่านว่าสบายดีไหม คุณหมอก็บอกก็ตามสภาพ สบายดี ชีวิตมันก็อย่างนี้แหละ อย่าไปอะไรมากเลยคุณ... อืม ดูเหมือนจะเป็นการตอบแบบคุยกันธรรมดา แต่พอมาคิดอีกทีผมว่านี่เป็นเรื่องของคนที่เข้าใจในชีวิต และเข้าถึงธรรมะในระดับหนึ่งเลยทีเดียวนะครับ ใช่ครับ ผมคิดว่าท่านพูดถูกเลยทีเดียว ผมค่อนข้างมั่นใจว่าการใช้ชีวิตแบบปล่อยวางและพอใจในความเป็นไปของมันจะทำให้มีความสุขที่แท้จริงได้ ที่ผ่านมาผมไม่ได้เข้มงวดกับการกินอาหารและเรื่องอื่นๆ เช่น การนอน หรือการทำงานเท่าใดนัก ผมค่อนข้างปล่อยสบายๆ แต่ก็ไม่หลวมเกินไปนะครับ ทานหวานได้บ้างถ้าในช่วงนั้นไม่ค่อยได้ทานอะไรนัก หรืออาจจะมีหมูกรอบที่มันๆบ้าง แต่ก็ไม่มาก ที่สำคัญคือผมปล่อยวางได้เยอะขึ้น ผมว่าเรื่องนี้สำคัญ หลายครั้งผมพิสูจน์และเห็นกับตัวเองว่า อารมณ์มีส่วนสำคัญอย่างมากกับเรื่องของระดับน้ำตาลในเลือด อย่าเครียดครับ ผมว่าความเครียดไม่มีประโยชน์อะไรเลยครับ เรื่องอื่นๆที่สำคัญต่อร่างกายก็อย่างเช่น อาหาร อากาศ การออกกำลังกายเป็นต้น ยังไงก็ลองดูนะครับ เรื่องนี้ต้องใช้ทั้งทางกายและทางใจ ต้องลองหัดเชื่อในสิ่งใหม่ๆดูบ้าง เชื่อแบบมีเหตุผลนะครับ แล้วลองดูนะครับ ผมว่าชีวิตมันก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีๆได้เหมือนกัน สวัสดีครับ