วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ตัดตับอ่อนทิ้งแล้วมีผลอย่างไรบ้าง

สวัสดีครับ

วันนี้เอาเรื่องของคนที่เป็นเนื้องอกที่ตับอ่อนแล้วต้องตัดตับอ่อนทิ้งไปมาให้อ่านกันครับ ผมได้ข้อมูลจากทางฝรั่งที่เป็นเพื่อนในเฟสบุ้กของกลุ่มคนที่เป็นโรค VHL ครับ โดยสรุปสั้นๆ ก็คือว่าถ้าตัดตับอ่อนทิ้งทั้งอันแล้ว ก็จะทำให้ร่างกายขาดฮอร์โมนที่ผลิตจากตับอ่อน ซึ่งก็มีมากมายหลายตัวครับ เท่าที่ผมพอจะจำได้บ้าง ก็อย่างเช่น อินซูลิน ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และก็พวกน้ำย่อยต่างๆ ครับ ซึ่งบางรายต้องกินเอนไซม์ เพื่อทดแทนสารต่างๆที่ร่างกายผลิตเองไม่ได้อีกต่อไปนี่แหละครับ ตัวอย่างเช่นพวกยาช่วยย่อย เป็นต้นครับ ซึ่งบางคนถ้าไม่ได้รับประทานยาช่วยย่อยก็จะมีอาการท้องเสียบ่อยๆ อุจจาระมีกลิ่นเหม็นมากผิดปกติอะไรอย่างนี้ สำหรับตัวผมเองสิ่งที่เกิดขึ้นเนื่องจากเนื้องอกที่ตับอ่อนอย่างแรกก็คือเบาหวานครับ และอย่างที่สองก็คือท้องเสียบ่อยมาก บ่อยจนสังเกตุได้ถึงความผิดปกติครับ ซึ่งตอนแรกก็ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไรแน่ แต่พอได้อ่านเจอจากคนที่มีประสบการณ์ตรงจากเรื่องนี้ก็เลยถึงบางอ้อ... อ๋อ... มันเป็นอย่างนี้นี่เอง...

วันอาทิตย์นี้ก็ถึงคิวของผมที่ต้องไปตรวจอุลตร้าซาวด์ช่องท้องแล้วครับ เป็นการตรวจเพื่อติดตามผลหลังจากที่ผ่าตัดต่อมหมวกไตขวา และไตซ้ายทิ้งไปครับ หวังว่าคงไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ก็ไม่แน่ครับ เพราะหลายๆ ครั้งผมรู้สึกเจ็บๆ แบบหนักๆ ข้างในขึ้นมาเฉยๆ เหมือนกัน ก็ได้แต่ภาวนาครับว่าขออย่าให้เป็นอะไรอีกเลย ส่วนแผลผ่าตัดที่ยาวมากทั้งซ้ายขวาตรงหน้าท้องก็ยังตึงๆ อยู่เหมือนเดิม ผ่านมาเป็นปีแล้วครับ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะหายเหมือนกัน...

สวัสดีครับ

วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ติ่งเนื้อในลำใส้ (Polyps)

สวัสดีบ่ายๆ วันเสาร์ครับ

หวังว่าวันนี้ทุกคนคงสบายดีนะครับ ฝนไม่ตกมาหลายวัน อากาศเริ่มร้อนขึ้นนิดหน่อยแล้ว ทำใจให้สบายๆจะได้ไม่ร้อนไปกับอากาศนะครับ

วันนี้เอาเรื่องที่มีฝรั่งคนหนึ่งเข้าไปโพสต์ในเฟสบุ้กของ VHL Family Aliance ไว้ว่าเค้ามีติ่งเนื้อในลำใส้ (Polyps, in intestine) ซึ่งเค้าก็ได้ถามสมาชิกคนอื่นๆ ว่ามีใครเคยเกิดอาการอย่างนี้บ้าง เค้าบอกว่าแพทย์บอกว่าเป็นติ่งเนื้อที่เกิดขึ้นเพราะคนไข้เป็นโรค VHL ครับ ซึ่งก็ยังไม่แน่ว่าจะเกิดจากโรคนี้จริงหรือไม่ มีสมาชิกท่านหนึ่งตอบว่าตัวเองก็เคยเป็นโรคนี้เหมือนกัน แต่ก็ไม่มีประวัติเป็นโรค VHL และจากข้อมูลที่ผมไปค้นคว้าเพิ่มเติมเอาเองจากอินเตอร์เน็ตก็ได้ความว่า โรคนี้อาจจะเกิดจากกรรมพันธุ์ แต่ไม่มีการกล่าวถึงโรค VHL แต่อย่างใดครับ ส่วนตัวผมเองก็ไม่เคยได้ยินครับว่าอาการของโรค VHL นี้จะมีการเกิดเนื้องอกขึ้นที่ลำใส้ด้วย คงรอข้อมูลที่มากขึ้นครับจึงจะสรุปได้ ถ้าพบเพิ่มขึ้นจะเอามาเล่าให้ฟังกันนะครับ

ติ่งเนื้อหรือเนื้องอกชนิดนี้อาจจะมีขนาดเล็กๆ เพียงแค่สองสามมิลลิเมตร ไปจนถึงสองนิ้วได้ครับ และส่วนใหญ่ก็เป็นแค่เนื้องอกธรรมดา ไม่ได้เป็นเนื้อร้ายหรือมะเร็งอะไรครับ แต่ก็มีบ้างที่เป็นมะเร็งนะครับ

วิธีการรักษาก็คือการผ่าตัดเอาออกครับ

ส่วนแนวทางการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองเป็นโรคนี้ก็มีการแนะนำดังนี้ครับ
  1. รับประทานอาหารหลากหลายและให้ครบทุกหมู่
  2. รับประทานอาหารที่มีเส้นใยมาก เช่น ผัก ผลไม้ หรือพวกธัญพืชชนิดต่างๆ เพราะเส้นใยหรือไฟเบอร์เหล่านี้จะช่วยชำระลำใส้ให้สะอาด ซึ่งก็มีผลโดยตรงต่อสุขภาพทำให้เราแข็งแรงครับ
  3. ดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพอ
  4. งดสูบบุหรี่
  5. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  6. ศึกษาเรื่องโรคที่มีอยู่ในกรรมพันธุ์ของครอบครัว อันนี้เพื่อที่เราจะได้ระวังตัว และรู้ตัวเร็วเมื่อมีอาการของโรคแม้เพิ่งจะเกิดขึ้นนะครับ ซึ่งก็จะทำให้เข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที
  7. เข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะเมื่อมีอายุมากขึ้น
จะเห็นว่าหลักการพวกนี้ก็เป็นหลักทั่วๆ ไปของการรักษาสุขภาพนะครับ ซึ่งถ้าดูแล้ว ทุกโรคก็จะมีหลักการดูแลร่างกายประมาณนี้ ถ้าจะให้เพิ่มเติมผมก็คิดว่าคงจะเป็นเรื่องของการนอนพักผ่อนให้เพียงพอ และการทำอารมณ์ให้แจ่มใสอยู่เสมอครับ อ้อ การมองโลกในแง่ดีนั่นแหละครับ

อย่าลืมนะครับ ชีวิตนี้สั้นนัก แต่ก็ยาวพอให้เราทำอะไรได้เยอะแยะเลยครับ ทำวันนี้ให้ดีที่สุดและสนุกกับมันนะครับ พรุ่งนี้จะดูแลตัวมันเองครับผม สวัสดีขอรับ

วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555

กรรม

Photo: A peacock tree frog in the rain

สวัสดีครับ

ค่ำวันพฤหัสนี้หวังว่าทุกคนคงยังมีความสดชื่นกันอยู่หลังจากผ่า่นการทำงานมาสี่วันของอาทิตย์นี้นะครับ ส่วนผมก็ไม่ค่อยสดเท่าไหร่ ง่วงตลอดครับ เป็นธรรมดาของผมไปแล้วครับที่จะต้องง่วงนอนอยู่ตลอดเวลา ที่ผ่านมาบางครั้งยังหลับในที่ประชุมเลยครับ .. แฮ่ะๆ ไม่ค่อยดีเท่าไรเลยนะครับ ผมเป็นอย่างนี้ประจำครับ ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน จะไปโทษเรื่องสุขภาพก็ไม่รู้จะโทษดีหรือเปล่า ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นอย่างนี้บ้างหรือไม่ เอามาเล่าสู่กันฟังในนี้บ้างนะครับ

วันนี้เอาเรื่องของกรรมหรือที่จริงก็คืออะไรก็ไม่ทราบเหมือนกัน มันเป็นอะไรที่ผมก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ก็นึกได้แค่เรื่องเดียวครับ ว่าคงเป็นเรื่องของกรรมนี่แหละ ที่เอาเรื่องนี้มาเขียนก็เพราะว่ามีเรื่องที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาผมเองเมื่อวานนี้ครับ เรื่องก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไร แต่ก็อยากเอามาแชร์กันในที่นี่ครับ ซึ่งเรื่องที่เกิดก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับรูปเจ้ากบน้อยข้างบนนี้หรอกนะครับ เอามาลงไว้เพราะมันดูน่ารักดี ตาโตดีครับ

เรื่องก็มีอยู่ว่าเมื่อวานนี้ตอนค่ำๆ ขณะที่ผมกำลังขับรถกลับบ้านอยู่นั้น ตอนที่ขับมาถึงใกล้ๆหมู่บ้านบนถนนเลียบคลองสาม รังสิต ก็มีรถยนต์กระบะจากฝั่งตรงข้ามจะออกจากซอยและตัดเข้าเลนที่ผมกำลังมุ่งหน้าไป ผมก็ชะลอรถเพื่อให้เค้าเข้าเลนมาได้ครับ เค้าก็ค่อยๆขับเข้ามาอย่างช้าๆเพราะรถมันติดมาก แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง ก็มีรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างคันหนึ่งขับตัดหน้ารถเค้าออกมาเพื่อจะข้ามไปอีกเลนหนึ่ง ที่จริงมอเตอร์ไซค์รับจ้างคันนี้ก็ขับช้าๆ ครับ และรถกระบะคันนี้ก็เห็นแล้วและชะลอรถให้มอเตอร์ไซค์ขับผ่านไปได้ แต่ปัญหาก็คือว่าพอมอเตอร์ไซค์รับจ้างโผล่ล้อหน้าออกมาพ้นเลนกลางได้นิดเีดียว ทันใดนั้นก็มีรถมอเตอร์ไซค์อีกคันหนึ่งซึ่งขับตรงเส้นกลางถนนพอดี พุ่งเข้ามาชนมอเตอร์ไซค์รับจ้างครับ ชนไม่แรงนัก แต่ทั้งคู่ก็รถล้มและคนก็กระเด็นไปกันคนละทาง ทั้งสองคนสวมหมวกกันน็อกครับ ก็เลยไม่เป็นอะไร แต่ก็เห็นมีเศษชิ้นส่วนจากรถมอร์เตอร์ไซค์ของคนใดคนหนึ่งหรืออาจจะจากรถของทั้งคู่กระจายอยู่บ้างเหมือนกันครับ ทั้งสองคนปลอดภัยดี แต่ปัญหาก็คือมีรถมอร์เตอร์ไซค์คันใดคันหนึ่งนี่แหละครับ เสียจังหวะและเซไปโดนรถกระบะคันนั้นเข้า ทั้งหมดก็เลยต้องจอดรถข้างทางและคุยกันว่าจะเอาอย่างไรกันดี ส่วนรถผมที่ตามมาติดๆ ปลอดภัยดีครับ... เรื่องก็มีเท่านี้นะครับ

ที่ผมคิดวนเวียนอยู่ในใจก็คือ ทำไมรถกระบะคันนั้นจึงโชคไม่ดี เข้ามาอยู่ข้างหน้าผมเพื่อที่จะถูกเฉี่ยว... เค้าขับเข้ามาหน้ารถผมได้แค่สามสิบวินาทีเท่านั้นเองครับ เหมือนกับว่าเข้ามาเพื่อจะถูกเฉี่ยว และเข้ามารับแทนผมอะไรอย่างนั้น ผมนึกเห็นใจเค้าครับ และก็งงงงกับเหตุการณ์ทั้งหมด แล้วก็ไม่รู้จะอธิบายเหตุการณ์นั้นอย่างไรดี ว่าเกิดจากเคราะห์กรรม หรืออะไร? อย่างไร?

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร หน้าที่ของเราที่เกิดมาแล้วก็คงเป็นเรื่องของการทำตัวให้พ้นจากความทุกข์ครับ ผมเชื่อว่าอย่างนั้นครับ ทำอย่างไรใจจะมีแต่ความสุข สุขจากความสงบ สว่างและสะอาดครับ ขอให้ทุกท่านมีกำลังใจที่เข้มแข็งและมีแต่รอยยิ้มตลอดไปครับ สวัสดีครับ

วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เรื่องของพี่ชาย

สวัสดีครับ

วันนี้นึกถึงเรื่องราวของพี่ชายคนที่เพิ่งผ่าสมองครั้งที่ 4 เสร็จไป จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาหนึ่งเดือนกับอีกสามวันเข้าไปแล้ว ก็ยังไม่กลับมาปกติเหมือนเดิมอย่างเช่นทุกๆ ครั้งที่ผ่านมาครับ ยังมีอาการมึนๆศีรษะอยู่ตลอดเวลา คุณหมออีกท่านหนึ่งที่ไม่ได้เป็นคนผ่าตัด ได้นัดให้ไปทำ CT อีกครั้ง เพื่อตรวจดูว่าเกิดจากอะไร จะเป็นเพราะสมองยังมีอาการบวมอยู่หรือเปล่า ก็ได้แต่ภาวนาครับ ให้พี่ชายหายดี และกลับมามีชีวิตอย่างปกติอีกครั้ง

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา พี่ชายคนนี้ก็ได้ไปไหว้ราหูที่วัดศีรษะทอง นครปฐมครับ ก็เป็นความเชื่อส่วนบุคคลครับ ที่อยากให้ตัวเองหายจากความทรมานนี้สักที

สำหรับวันนี้ผมอยากจะเขียนขอบคุณเว็บ Thaibraintumor.com ครับ ที่กรุณาเอาเรื่องราวที่ผมได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ไว้มาบอกต่อ จากการได้เข้าไปอ่านและบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองก็ทำให้ผมได้ทราบเรื่องราวของคนอื่นๆ อีกเยอะเลยครับ หลายๆ คนต้องประสบกับโรคและความทรมานที่มากกว่าผมด้วยซ้ำไป หลายคนก็ได้ให้กำลังใจครับ ต้องขอขอบคุณทุกท่านอีกครั้งที่ได้มาพูดคุยและให้ความเป็นกันเองอย่างมากอย่างนี้ เช่นเดียวกันครับ ผมก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่าน ทั้งที่ต้องต่อสู้กับโรคต่างๆ และที่ต้องต่อสู้กับชีวิตต่อไป ไม่ว่าจะเรื่องอะไรครับ ขอให้ทุกท่านมีกำลังใจและสนุกกับการใช้ชีวิตนะครับ

สำหรับโรค VHL นี้ เท่าที่อ่านจาก facebook ของ VHL Family Alliance มานั้น พบว่าโรคนี้นั้นทำให้เกิดอาการต่างๆ ทุกรูปแบบครับ ทั้งตาบอด ตัดไต มะเร็งไต เนื้องอกไต เนื้องอกตับอ่อน ไตวาย ผ่าสมอง ผ่าเนื้องอกไขสันหลัง และอื่นๆ อีกมากมายครับ ที่อเมริกาตอนนี้ก็ยังไม่มีทางรักษาหายเหมือนกัน ก็รักษาไปตามอาการครับ และแทบทั้งหมดก็ต้องเข้ารับการผ่าตัดเอาก้อนเนื้อนี้ออกไปครับ

แล้วพบกันใหม่ครับ สวัสดีครับ

วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555

กลับไปเวียดนามอีกครั้ง โฮจิมินห์ยังน่าอยู่เหมือนเดิม




สวัสดีครับ เช้าวันเสาร์ที่แสนสบาย

ผมเพิ่งกลับจากเวียดนามมาถึงเมื่อคืนนี้ตอนดึกๆ ครับ ไปประชุมกับผู้ร่วมงานชาวเวียดนามที่เมืองโฮจิมินห์หรือไซ่ง่อนครับ เป็นเมืองที่เจริญมากๆทางตอนใต้ของเวียดนาม ผมเคยไปทำงานแบบประจำอยู่ที่นั่นเลย 3  ปีครับ ช่วงปี 49-51 ซึ่งบรรยากาศของเมืองและความเป็นอยู่นั้นสบายๆ และมีเสน่ห์ดีครับ เป็นเมืองเล็กๆ มี่เต็มไปด้วยรถมอเตอร์ไซค์ ที่่ขับกันอย่างสบายๆ ไม่เร่งรีบ ดูภายนอกเหมือนวุ่นวายแต่ที่จริงมันก็มีระเบียบอยู่ในตัวมันเองครับ ... ฟังดูงงๆ แต่ผมรู้สึกอย่างนั้นครับ

เอารูปเฝอหรือก๋วยเตี๋ยวเวียดนามมาลงให้ดูกันครับ ส่วนใหญ่ที่เวียดนามคนจะทานเฝอเนื้อวัวกันมาก นอกจากเนื้อก็จะมีเฝอไก่บ้าง แต่ที่เป็นปลาหรือหมูไม่มีครับ ผมทานแรกๆก็รู้สึกแปลกๆ เพราะรสชาติไม่เหมือนก๋วยเตี๋ยวบ้านเรา แต่พอนานๆ ไปก็ชอบครับ เราสามารถปรุงรสเองด้วยเหมือนกันนะครับ เครื่องปรุงก็มีอย่างเช่น ซ้อสมะเขือเทศ กับซ้อสอะไรอีกอย่างซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่าทำมาจากอะไร แต่เห็นเป็นสีคล้ำๆ หนืดๆ และยังมีมีมะนาว มีพริกสดหั่นเป็นชิ้นใหญ่ๆ ให้ด้วย ปกติพริกสดพวกนี้จะเผ็ดมากครับ บางครั้งแค่ใส่เข้าไปน้ำซุปก็มีรสเผ็ดแล้ว แต่ถ้าจะให้มันก็ต้องทานพริกสดๆพวกนี้เข้าไปด้วยครับ... นอกจากเครื่องปรุงเหล่านี้แล้ว ก็ยังมีผักสดชนิดต่างๆด้วย เช่นถั่วงอก ผักชีฝรั่ง หรือพวกใบโหระพาเป็นต้นครับ ทานบ่อยๆเข้าก็ต้องบอกว่าติดใจ และ "อร่อยมาก" ครับ

อาหารเวียดนามส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีน้ำมันครับ ทำให้เวลาทานไม่ต้องคิดมากว่าจะได้รับน้ำมันส่วนเกินมากเกินไป และก็ไม่เลี่ยนด้วย อาหารอีกอย่างหนึ่งที่ผมชอบมากก็คือผัดผักบุ้งครับ ที่เวียดนามผัดผักบุ้งจะใส่แค่กระเทียมสดทุบเป็นชิ้นเล็ก แต่ไม่ถึงกับละเอียดนะครับ ใส่ไม่มากเท่าไหร่ แค่พอได้กลิ่นหอมๆ และดูเหมือนว่าจะใส่เกลือด้วยนิดหน่อย ใ่ส่น้ำมันน้อยมาก จึงกินได้อย่างสบายใจ และกิน กิน กิน อย่างเอร็ดอร่อยครับ ฮ่าๆ ที่โน่นเวลาทานข้าวใช้ตะเกียบครับ ดังนั้นเวลามีพวกน้ำๆ ก็จะมีถ้วยเล็กๆให้ตักใส่ส่วนตัว แล้วก็ซดกันเลยโลด ...

กลับไปเวียดนามคราวนี้ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิมครับ ที่เปลี่ยนไปก็คงจะมีแค่มีตึกใหญ่ๆ ผุดขึ้นมาอีกสองสามแห่ง ไม่มากมายอะไรเลย รถมอเตอร์ไซค์ก็ยังวิ่งกันเต็มถนนเหมือนเดิม ได้เจอเพื่อนๆเวียดนาม ทุกคนก็ยังน่ารัก และเป็นมิตรมากๆ ตอนกลับเพื่อนๆก็ซื้อกาแฟซองแบบพร้อมปรุง ยี่ห้อ G7 ที่หอมมากๆ และเข้มข้นด้วย ฝากให้มาหลายกล่องเลย นอกจากนั้นก็ยังซื้อเม็ดบัวอบแห้งให้มาอีกต่างหาก ให้มาสองถุงใหญ่ๆ พอเอาของใส่ในเป้ที่ผมใช้ใส่เสื้อผ้าไปใบเีดียวก็เลยเต็มแบบแทบล้นออกมา และหนักขึ้นอีกเยอะเลย อย่างนี้คราวหน้าต้องซื้อกระเป๋าล้อลากแทนซะแล้วครับ

แถมอีกนิดนะครับ คือตอนพักงานตอนเที่ยงได้คุยกันกับเพื่อนชาวเีวียดนามเกี่ยวกับชากาแฟนิดหน่อย เพราะเราพักดื่มกาแฟกัน เพื่อนเวียดนามก็คุยให้ฟังว่าชาเป็นเครื่องดื่มที่นิยมในเวียดนามมากกว่ากาแฟครับ โดยเฉพาะชาเขียว ที่ดื่มกันเป็นประจำเลย และเวลาชงบางคนก็จะชอบเด็ดยอดชาอ่อนสดๆ มาใส่ลงในถ้วยน้ำชาที่ชงจากใบชาแห้งด้วย ฟังแล้วรู้สึกถึงศิลปะของการดื่มชาของชาวเีวียดนามเลยนะครับ ส่วนกาแฟเค้าก็บอกว่ากาแฟของชาวเีวียดนามที่ดื่มกันเองจะชงเข้มกว่าที่บริการให้กับชาวต่างชาติครับ เค้าไม่ได้ตั้งใจจะแบ่งแยกอะไรนะครับ แค่กำลังจะบอกว่าปกติคนเวียดนามดื่มกาแฟเข้มข้นมากๆ เท่านั้นเอง แล้วคุยกันใหม่ครับ ยังมีเรื่องราวอีกเยอะเลย สวัสดีครับ

วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2555

คนโบกรถ(จราจร)อิสระที่จาการ์ตา อินโดนีเซีย



สวัสดีครับ

บ่ายแก่ๆวันอาทิตย์ ช่วงนี้เป็นช่วงเริ่มต้นของฤดูฝน อากาศกำลังดีนะครับ ตอนนี้ที่บ้านแดดไม่ค่อยมี ท้องฟ้ามีเมฆดำๆ เต็มไปหมดและลมก็พัดมาตลอด กำลังเย็นสบายเลยครับ วันนี้จะเขียนเรื่องที่ไปกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซียให้อ่านกันครับ เพิ่งกลับมาถึงเมื่อวานเย็นครับ ไปทำงานครับ พอเสร็จงานก็กลับเลย ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนหรอกครับ อยู่แต่ในเมืองหลวงของอินโดฯ

สภาพทั่วไปของเมืองก็คล้ายๆ กรุงเทพบ้านเราครับ รถเยอะและในชั่วโมงเร่งด่วนก็ติดหนึบเหมือนกัน แต่โชคดีที่ไปพักในโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆที่ทำงานครับ ก็เลยไม่ต้องนั่งรถนานเกินไป นั่งแท็กซี่ก็แค่ประมาณ 10 นาทีก็ถึงครับ นั่งแท็กซี่มิเตอร์ครับ ค่ารถเริ่มต้นอยู่ที่ 6000 รูเปีย เป็นเงินบาทก็ประมาณ 20 บาทครับ ปกติระยะทางใกล้ๆ อย่างตอนที่ผมไปก็จ่ายประมาณ 15,000 รูเปีย ก็ประมาณใกล้ๆ 50 บาทครับ ส่วนใหญ่แท็กซี่ที่พบโดยมากก็จะเป็น โตโยต้า วีออสครับ สีฟ้าๆเหมือนที่เห็นในรูปข้างบนนี้แหละครับ ไม่เหมือนบ้านเราที่ใช้โตโยตา อัลติส ลิโม เป็นส่วนใหญ่

และด้วยสภาพการจราจรที่ติดหนักหนาสาหัสคล้ายๆบ้านเรา ที่นี่ก็เลยมีอาชีพเบาๆเกิดขึ้นอย่างหนึ่งนั่นก็คือจราจรสมัครเล่นครับ ที่บอกว่าเบาๆก็เพราะว่าคนที่มาทำก็ทำเพียงบางช่วงเวลาเท่านั้นและอาจจะทำแบบว่าอยากทำก็ทำ พอแล้วก็หยุดครับ จราจรที่ว่านี้ก็คือชาวบ้านธรรมดาทั่วไปนี่แหละครับ จากที่เห็นผมรู้สึกว่าใครอยากทำก็ทำได้ แต่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าต้องผ่านการฝึกฝนอะไรหรือเปล่านะครับ เพราะการแต่งกายก็ธรรมดาเหมือนคนที่ต้องใช้ถนนทั่วไปนี่แหละครับ แต่เท่าที่เห็นส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้ชายหนุ่มๆครับ มักจะยืนอยู่ริมๆถนนตรงที่เป็นทางที่มีรถจะเลี้ยวออกถนนใหญ่ หรือตามที่กลับรถครับ เค้าก็จะไปยืนโบกรถให้หลบไป เพื่อให้รถที่จะขับออกถนนใหญ่ ออกมาได้ เหมือนจราจรบ้านเราเปี๊ยบเลยครับ แล้วรถที่จะเลี้ยว พอเลี้ยวออกมาได้ก็อาจจะให้ค่าสินน้ำใจเล็กๆ น้อย เช่น 500 รูเปีย (2บาท) หรือมากกว่านั้น แล้วแต่อารมณ์ครับ ผมเห็นหลายๆคนก็ไม่เห็นให้เลย ที่จริงก็น่าจะให้สักนิดก็ยังดีนะครับ แต่ก็บางทีก็ว่าไม่ได้เหมือนกัน เพราะว่าถ้ารถทุกคันมัวแต่ให้เงิน รถที่ตามมาก็จะติดกันยาวเหยียดอีก เพราะต้องชะลอรถครับ เสียเวลาแย่เลย

ยังมีเรื่องราวอะไรที่น่าสนใจอีกหลายเรื่องครับ เอาไว้คราวหน้าผมจะเอามาเล่าให้ฟังอีกนะครับ สำหรับวันนี้ลาก่อนครับ Until next time, สวัสดีครับ

วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2555

พี่ชายผ่าเนื้องอกในสมองครั้งที่ 4

สวัสดีครับ

Photo: Green-hued tree branches tinge grove
nationalgeographic.com

ไม่ได้เขียนในบล็อกก็นานมากเลยนะครับ ช่วงที่ผ่านมามีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายครับ ส่วนตัวผมก็เดินทางไปทำงานต่างประเทศบ่อยๆ ทั้งใกล้และไกลครับ นี่ก็ใกล้จะเดินทางอีกแล้ว คราวนี้จะไปเมืองจาการ์ต้า อินโดนีเซียครับ คราวนี้ไป 5 วัน หวังว่าคงจะได้เก็บเรื่องราวเอามาฝากกันบ้างนะครับ

สำหรับวันนี้อยากจะเอาเรื่องของพี่ชายมาเล่าสู่กันฟังนิดหน่อยครับ พี่ชายผมเพิ่งผ่านการผ่าตัดสมองเอาเนื้องอกออกไปเมื่อประมาณ 3 อาทิตย์ที่ผ่านมานี้เองครับ เป็นครั้งที่ 4 ของแกแล้ว ซึ่งจำนวนครั้งก็เท่ากับผม ที่ผ่ามา 4 ครั้งแล้วเช่นกัน การผ่าตัดคราวนี้ของพี่ชายไม่ค่อยจะราบรื่นเหมือนครั้งที่แล้วๆมาครับ เพราะว่าคราวนี้มีเนื้องอกที่โตมีขนาดใกล้ๆกันที่หมอจะเอาออกอยู่ 2 ก้อนครับ แต่หมอก็หนักใจที่ทั้งสองก้อนมันอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกันแบบเหนือกับใต้ที่สมองส่วนหลังครับ ซึ่งพอผ่าจริงๆ ก็เหมือนที่คาดไว้ครับคือยาก และสุดท้ายก็เอาออกไปเพียงก้อนเดียวในคราวนี้ ออกจากห้องผ่าตัดคราวนี้พี่ชายผมมีอาการไม่ค่อยดีนัก นอนปวดและมึนพร้อมกับมีอาเจียรอยู่ตลอด พี่ชายอายุ 43 ปีแล้วครับ ซึ่งอายุอาจจะมีส่วนที่ทำให้ร่างกายฟื้นตัวช้าลงด้วย อีกอย่างแกก็ทำงานค่อนข้างหนักครับ เปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวซึ่งขายตอนบ่ายแก่ๆ และปิดเอาตอนเกือบรุ่งเช้าครับ และลักษณะการทำงานร้านอาหารอย่างนี้ก็อย่างที่เห็น คืองานหนักครับ ต้องวุ่นอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะช่วงที่ลูกค้ามาเยอะๆ ก็จะยุ่งเป็นพิเศษ อาจจะเพราะว่าพอเป็นอย่างนี้ทุกวันเป็นเวลานานหลายปีร่างกายก็เลยล้าครับ พอมาผ่าสมองทีก็เลยบอบช้ำนานหน่อย

แต่ก็มีข่าวดีครับ วันสองวันมานี้แกก็ดีขึ้นเยอะ เริ่มจะหายปวดหัว แต่ก็ยังมึนอยู่ครับ แต่แค่นี้ผมก็ดีใจมากครับ ที่ทราบอย่างนี้ เพราะนั่นแสดงว่าเริ่มจะฟื้นแล้วครับ แสดงว่าร่างกาย"เอาอยู่" ครับ แต่ที่ยังห่วงอยู่นิดก็คือว่า แล้วเนื้องอกอีกก้อนที่เหลืออยู่จะทำอย่างไรครับ... สงสัยอีกไม่นานคงต้องมาผ่าอีกรอบ

ชีวิตก็ต้องลุยกันต่อไปครับ ตราบใดที่ระฆังยังไม่หมดยกเราก็ต้องเดินหน้ากันต่อไป ตายนั้นมันง่ายเกินไปครับ ยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะนะครับ

แล้วพบกันใหม่ครับ สวัสดีครับ