วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

ตรวจอัลตราซาวด์ติดตามผลถุงน้ำที่ไต


สวัสดีครับ

วันนี้ผมไปพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามผลการรักษาไตซึ่งได้ตัดไตซ้ายและต่อมหมวกไตขวาไปเมื่อสองปีที่แล้วที่โรงพยาบาลศิริราชมาครับ ตั้งแต่ผ่าตัดเสร็จไป หมอก็มักจะนัดตรวจทุกๆ 6 เดือนครับ ซึ่งก็ไม่มีการตรวจอะไรเป็นพิเศษนอกจากจะให้ทำอัลตราซาวด์เพื่อดูความผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในช่องท้อง ซึ่งก็ได้แก่พวกถุงน้ำหรือเนื้องอกที่ตับอ่อน ที่ไต หรือที่ตับเป็นต้นครับ ผมไปตรวจคราวนี้ก็ดูในท้องหมดแหละครับ ตรวจตั้งแต่ตับ ตับอ่อน ม้าม ไต ต่อมหมวกไต และต่อมลูกหมากอีกต่างหาก ตอนนี้ทุกอย่างยังอยู่กันปกติดี จะมีก็แต่พวกซีสต์ที่ไตขวาข้างที่ยังเหลืออยู่นี่แหละครับ ที่เค้าเขียนผลการตรวจไว้ว่ามันเห็นเป็นช่องๆในตัวถุงน้ำเอง และยังแนะนำให้ตรวจเพิ่มติดตามผลด้วย แต่หมอก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับตรงนี้มากนักหรอกครับ อาจเป็นเพราะว่ามันยังไม่มีอะไรก็ได้นะครับ ก็เลยแค่นัดให้มาตรวจติดตามผลโดยการทำอัลตราซาวด์อีกที 6 เดือนข้างหน้าครับ

สำหรับวันนี้ค่าการทำงานของไต หรือ creatinine วัดได้จากการตรวจเลือด 1.45 ครับ ซึ่งก็ลงจากคราวที่แล้วมาจุดหนึ่งอะไรประมาณนั้น ซึ่งจะว่าไปก็เรียกว่าเท่าเดิมก็ได้ครับ เพราะมันลดลงน้อย คงไม่ได้มีความสำคัญอะไรนัก แต่ที่มันสำคัญสำหรับผมก็คือว่ามันไม่ได้มากขึ้นครับ ซึ่งก็แปลว่าไตเราไม่ได้แย่ลง หมอบอกว่ามันก็ยังทำงานได้ตามปกติของมัน  แต่ผมก็ห่วงเรื่องอาหารการกินนิดหน่อย ก็เหลืออยู่ข้างเดียวนี่ครับ แถมยังมีถุงน้ำอีก ก็ต้องดูแลกันเป็นพิเศษหน่อย หมอก็บอกว่าถ้าจะลดอาหารเพื่อจะดูแลมันเป็นพิเศษก็คงให้ลดพวกเค็ม-หวาน-มัน ครับ ต่อไปก็คงจะลดให้มากขึ้นอีกนิด จริงๆแล้วตอนนี้ก็ลดอยู่แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้ก็คงต้องงดไปเลยมั้งครับ... ก็น่าจะดีเหมือนกัน เราจะอยู่เพื่ออร่อยหรืออยู่เพื่อทำอย่างอื่น แล้วได้ทำนานๆก็คงต้องเลือกเอาครับ ก็ไปหาความสุขจากอย่างอื่นแทนละกัน ไม่ต้องมัวหาแต่จากการกินก็ได้ครับ.. ฮ่าๆ ก็ดีเหมือนกันนะ ผมว่ากินน้อยลง คือกินเพื่ออยู่ มันก็ลดอะไรๆลงได้หลายๆอย่างเหมือนกันนะครับ ไม่ต้องคอยหาเครื่องปรุงมาเติม ไม่ต้องคิดเมนูอะไรมาก มีอะไรก็กินๆไปก็ง่ายดีเหมือนกัน

เดี๋ยวนี้ก่อนกินข้าวผมพยายามจะท่องแบบที่พระสวดก่อนฉันอาหารเหมือนกันครับ ท่องได้นิดหน่อยแค่ท่อนแรก นอกนั้นก็นึกเป็นภาษาไทยเอาครับ ว่าจะกินเพื่ออยู่ เพื่อให้ร่างกายอยู่ได้เท่านั้น ก็ดีเหมือนกัน กินน้อยลง แต่ก็ต้องอดทนเหมือนกันนะครับ หลายอย่างก็อยากกิน เห็นขนมหวานก็ยังอยากกินอยู่ ยิ่งเราพยายามจะหยุดหรือห้ามอะไรก็ตาม... มันเหมือนจะมีแรงดึงดูดให้เข้าหามากขึ้น... แปลกนะครับ ลองสังเกตตัวเองดู

เขียนมาเยอะแยะ คงต้องพอก่อนแล้ว ดูแลสุขภาพกันให้ดีนะครับ แล้วจะเอามาเล่าให้ฟังกันใหม่ สวัสดีครับ

วันอังคารที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2556

ผ่าตัดเนื้องอกที่ถุงอัณฑะ - เนื้องอกและซีสต์เนื่องจากโรค VHL อีกแล้ว

สวัสดีครับ

หายไปเป็นเดือนเลย ก็เหมือนเดิมครับ พักฟื้นอีกแล้วหลังจากที่ไปหาหมอและผ่าตัดอีกครั้ง ห่างจากผ่าสมองครั้งที่แล้วแค่เดือนนิดๆก็ได้เวลาผ่าตัดอีก เอามาเล่าสู่กันฟังเพื่อเป็นความรู้ครับ ไม่ได้มีอะไรอย่างอื่นหรอกครับ ที่จริงเรื่องอย่างนี้บางครั้งเราก็อายเกินกว่าที่จะเล่าให้คนอื่นฟังนะครับ แต่ไม่เป็นไรครับ สำหรับโรคนี้แล้วหลายท่านที่เป็นก็ยังไม่รู้หรอกครับว่ามันมีโอกาสเกิดขึ้นที่ไหนได้อีก ผมไปผ่าตัดเนื้องอกที่ถุงอัณฑะคราวนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว ห่างจากคราวที่แล้วก็เก้าปีพอดีครับ ที่จริงก็นานพอสมควร หลังผ่าตัดครั้งแรกได้ไม่นานผมก็มีเนื้องอกหรือซีสต์ก็ไม่แน่ใจเกิดขึ้นมาใหม่ครับ มันก็ค่อยๆเกิดนะครับ ช้าๆ แต่ก็มาตลอด โตขึ้นทีละนิดๆ อาการก็ไม่มีอะไรมาก มันก็แค่เป็นก้อนๆที่คลำเจอเองได้เหมือนพวกซีสต์ที่เต้านมของคุณผู้หญิงอะไรอย่างนั้น ที่สำคัญก็ไม่ได้เจ็บปวดอะไร จนเรารู้สึกเฉยๆและขี้เกียจที่จะต้องไปหาหมอเพื่อผ่าตัดเอาออก อีกอย่างก็อายด้วยครับ อายที่จะไปบอกว่าเรามีอาการอย่างไร เป็นอะไรมา ก็มันก็น่าอายอยู่หรอกครับ อยู่ๆใครจะกล้าเดินไปบอกหมอ หรือโดยเฉพาะพยาบาลที่จะต้องสอบถามก่อนว่าเป็นอะไรมา? ตอนครั้งแรกผมก็ตัดสินใจอยู่นาน แต่สุดท้ายก็เอาก็เอา (วะ) ละ บอกก็บอก อายก็ไม่เป็นไร ซึ่งก็ดีครับ สุดท้ายก็ได้ผ่า ก็สบายใจกันไป

ครั้งที่สองคราวนี้เป็นซีสต์ทั้งสองข้าง ที่สำคัญอีกข้างหนึ่งมีหนองอยู่ด้วยครับ... สงสัยมันอักเสบ ถึงว่านะครับ มันรู้สึกเจ็บๆนิดๆ เป็นบางครั้ง ดีแล้วครับที่ตัดสินใจไปผ่าตัด ไม่งั้นอาจจะเป็นอะไรที่มากเกินกว่าจะแก้ไขก็ได้ นานๆไปใครจะไปรู้ ใช่ไหมครับ

การผ่าตัดก็ใช้เวลาไม่นานครับ ประมาณชั่วโมงนึงได้ หมอก็จัดการแทงหลัง หรือบล็อกหลังนั่นเองครับ ตอนที่ทำก็คงให้ยานอนหลับอ่อนๆด้วย เลยง่วงๆ ผมว่าผมหลับไปด้วยครับ สบายจริงๆ ผ่าเสร็จก็พักไม่นานแต่ก็หลายชั่วโมงอยู่ครับ ก็เอาจนเราแข็งแรงนั่นแหละครับ รวมแล้วก็ครึ่งวันกว่าได้ ผมหมายถึงสิบสามสิบสี่ชั่วโมงนะครับ ไม่ใช่สี่ชั่วโมง แล้วก็ขับรถกลับบ้านได้ มาพักต่ออีกสองสามวันก็ไปทำงานได้เหมือนเดิมครับ แต่ไปทำงานแรกๆก็เดินช้าๆ ขากางๆหน่อย ถ้าไม่สังเกตก็ไม่ทราบหรอกครับ ฮ่าๆ สบายมาก...

อย่าลืมนะครับว่าโรคนี้เนื้องอกสามารถเกิดขึ้นได้หลายที่เลย ทั้งสมอง ไขสันหลัง ตับอ่อน ไต ต่อมหมวกไต ถุงอัณฑะ รังไข่ ตา และหูชั้นในครับ แล้วแต่ว่าใครจะโชคร้ายเกิดที่ไหนบ้าง สำหรับผมเกิดทุกที่ยกเว้นที่หูชั้นในครับ อ้อ.. อีกที่ก็คือที่รังไข่ครับ ผมไม่มีครับ.. ฮ่าๆ รอดตัวไป

พบกันคราวหน้าครับ อย่าลืมใช้ชีวิตให้สนุกนะครับ

สวัสดีครับ

วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เนื้องอกจาก VHL ฉายรังสีไม่เป็นผล?

Photo: Kayak paddling down Outlet falls.
nationalgeographic.com

สวัสดีครับ

คราวที่แล้วที่ไปหาหมอเพื่อตัดไหมจากแผลผ่าตัดเนื้องอกในสมองที่ศรีษะและตรวจติดตามรักษาโรค คุณหมอก็ได้พูดคุยและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับโรคนี้ให้ฟังอีกมากมาย โดยสรุปแล้วโรคนี้เกิดขึ้นได้น้อยในจำนวนผู้คนทั้งหมด โอกาสที่จะเกิดขึ้นนั้นน้อย ยิ่งทำให้โอกาสที่แพทย์จะได้เจอก็ยิ่งน้อยลงไปอีก และที่จะรู้ว่าเป็นโรคนี้ก็ยิ่งน้อยน้อยลงไปอีกครับ ในเมืองไทยเท่าที่คุณหมอเคยเจอคงจะมีแค่สี่ห้ารายเท่านั้นเอง

สำหรับการรักษาโดยใช้วิธีการยิงแสงเลเซอร์เพราะคิดว่าคงจะลดผลกระทบจากการผ่าตัด คุณหมอก็บอกว่าสำหรับโรคนี้คงจะไม่ได้ผล ดังนั้นคงต้องมาทำการผ่าตัดถ้าคราวหน้ามันเกิดโตขึ้นมาอีก ก็เอาครับ ว่าไงก็ว่ากัน ไม่คนไข้ก็หมอละครับที่ต้องตายจากกันไปข้างหนึ่งก่อน...

วันนี้อากาศดีครับ เพิ่งเข้าพรรษามาได้ไม่กี่วัน ฝนตกปรอยๆมาเป็นระยะๆ ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพที่ดี มีสมองที่แจ่มใส มีสติปัญญาและความกล้าหาญนะครับ

สวัสดีครับ

วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

รักษาเนื้องอกในสมองคราวหน้า

สวัสดีครับ

เช้าวันเสาร์ที่อากาศดีอีกครั้งหนึ่ง อีกวันสองวันก็จะเป็นวันพระใหญ่แล้ว วันอาสาฬหบูชากับวันเข้าพรรษาครับ ช่วงนี้เป็นช่วงพักร้อนหลังจากการผ่าตัดสมองไปเมื่อวันที่ 12 ก.ค. 56 ที่ผ่านมา ผ่าตัดคราวนี้ใช้เวลาน้อยและเจ็บตัวน้อยครับ แต่เรื่องสำคัญที่ยังคอยรบกวนจิตใจอยู่ก็คือยังมีก้อนเนื้องอกขนาดเล็ก เล็กกว่าเซนติเมตรอยู่อีกหลายก้อนเหลือกระจายอยู่ทั่วสมองน้อยส่วนหลังด้วย เจ้าก้อนเนื้อพวกนี้ตอนนี้ยังไม่มีอะไรรบกวนต่อสมองครับ แต่ในอนาคตไม่แน่เพราะมันคงจะพากันโตขึ้น กลัวครับว่ามันจะพากันโตขึ้นพร้อมๆกัน และคิดดูว่าถ้ามันโตพร้อมๆกันหมดทั้ง 7 ก้อนในสมองในเวลาเดียวกันจะเกิดอะไรขึ้น ไม่แน่ใจว่าร่างกายจะทนได้แค่ไหนเหมือนกัน ... แต่มันก็ต้องมีทางรักษาครับ

อย่างแรกคือต้องทำการรักษาก่อนที่มันจะโต มันมีวิธีครับที่จะทำการผ่าตัดผ่านกล้องโดยวิธี Microneurosurgery หรือวิธีจุล หรือมีแบบที่เรียกว่า Minimally Invasive Surgery ซึ่งจะเป็นการผ่าตัดโดยให้มีผลกระทบต่อสมองน้อยที่สุดก็มีครับ ซึ่งวิธีการเหล่านี้จะกระทำโดยใช้เครื่องมือที่ทันสมัย ซึ่งจะทำให้มีการบาดเจ็บของสมองน้อยที่สุด ดังนั้นการพักฟื้นจึงน้อยตามไปด้วย และการผ่าตัดก็ทำได้รวดเร็วด้วยครับ จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ผมไม่ทราบเหมือนกันว่าค่าใช้จ่ายนั้นเป็นเท่าใดกันครับ สำหรับในเมืองไทยแล้วการผ่าตัดโดยวิธีนี้สามารถเข้ารับบริการได้หลายที่เลย เห็นของเอกชนก็มีอยู่หลายที่เหมือนกัน ลองค้นหาทางอินเตอร์เน็ตดูนะครับ ของภาครัฐบาลนั้นผมมั่นใจว่าก็ต้องมีอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่เคยลองเหมือนกันครับ

อีกอย่างที่ไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ก็คือการทำให้เนื้องอกมันยุบของมันไปเอง ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะทำได้อย่างไร แต่คุณหมอก็เคยเล่าให้ฟังว่ามีคนไข้ที่มีเนื้องอกในไตที่มันยุบเองได้ สำหรับเรื่องนี้คงต้องแล้วแต่ตัวใครตัวมันมั้งครับว่าจะทำอย่างไร

สวัสดีครับ

วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ผ่าตัดสมองครั้งที่ 5 อยากให้เป็นครั้งสุดท้าย

สวัสดีครับ

เสียพ่อไปไม่ถึงเดือนผมก็ต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อผ่าตัดเอาเนื้องอกในสมองออกอีกเป็นครั้งที่ 5 แล้ว คราวนี้ตรวจเจอเร็วครับ สาเหตุก็มาจากที่รู้สึกมึนๆตื้อๆตรงด้านท้ายทอยอยู่เป็นระยะๆ ซึ่งมันผิดสังเกตุ คิดว่ามันคงไม่ใช่ปวดหัวธรรมดา แล้วคนใกล้ชิดก็บอกให้ไปตรวจเผื่อว่าจะมีอะไรผิดปกติ ซึ่งเมื่อไปพบแพทย์ก็ตรวจพบเนื้องอกในสมองหลังจากที่ทำ MRI ทันทีครับ คุณหมอที่วิภาวดีก็นัดผ่าตัดเลยทันทีเหมือนกันซึ่งผมก็ตกลงทันทีอีกเหมือนกันครับ ก็ในเมื่อเจอแล้วว่าตัวการคืออะไรก็คงไม่ต้องรอแล้วมังครับ จัดการได้เลย ก็เลยเข้าห้องผ่าตัดไปเมื่อวันที่ 12 ก.ค. 56 ที่ผ่านมาครับ

เนื้องอกที่เอาออกคราวนี้คือก้อนที่อยู่ใกล้กับกระโหลกศรีษะด้านหลังมากที่สุดและเป็นก้อนใหญ่ที่สุดที่ทำให้มีอาการมึนในครั้งนี้ครับ วัดขนาดของเนื้องอกรวมทั้งซีสต์ได้ประมาณสองเซนติเมตร ยังมีที่ยังไม่ได้เอาออกอีกหลายก้อนอยู่เหมือนกันครับ เพราะว่ามีขนาดเล็กและยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปทำอะไรในตอนนี้ ตำแหน่งที่เป็นอยู่ก็อยู่ในตำแหน่งที่อันตรายกว่าอีกด้วย คงรอดูว่าคุณหมอจะแนะนำอย่างไรต่อไป อาจเฝ้าดูไปก่อนหรืออาจจะมีการทำเลเซอร์ก็ยังไม่ทราบได้

ผมใช้เวลาอยู่ในโรงพยาบาล 5 วันครับ แล้วมาพักฟื้นต่อที่บ้าน ซึ่งคุณหมอก็สั่งให้พักต่อไปจนถึงสิ้นเดือน รวมเวลาแล้วก็ประมาณเกือบยี่สิบวันครับ

สำหรับค่าใช้จ่ายในครั้งนี้แสนแปดหมื่นกว่าบาทครับ

เนื่องจากว่ายังไม่มีวิธีการรักษานอกจากผ่าตัด ผมคงหาวิธีหยุดยั้งเจ้าเนื้องอกนี้โดยการทำสมาธิเพื่อจัดการมันต่อไปครับ ถ้าสำเร็จก็คงไม่ต้องผ่าอีกต่อไปครับ

สวัสดีครับ

วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556

พ่อ

สวัสดีครับ

อาทิตย์กว่าแล้วนับจากวันที่พ่อปิยะวัจน์ สุขสวัสดิ์ได้จากพวกเราไปอย่างไม่มีวันกลับเมื่อวันพฤหัสที่ 20 มิถุนายน 2556 ที่ผ่านมา วันนี้ผมตั้งใจจะมาเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับพ่อไว้ ณ ที่นี้เพื่อเป็นการระลึกถึงพ่ออีกครั้งครับ

วันนั้นผมนั่งทำงานอยู่ที่กรุงเทพตามปกติครับ ก่อนเที่ยงวันไม่กี่นาทีก็มีโทรศัพท์แม่เลี้ยงที่เลี้ยงผมมาตั้งแต่ยังเล็กโทรเข้ามาพูดด้วยเสียงสั่นเครือสั้นๆว่า "เป็ด... พ่อเสียแล้ว กลับบ้านด่วนเลย" ผมถามซ้ำด้วยความไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน แต่แม่ก็พูดกลับมาด้วยประโยคเดิมว่า "พ่อเสียแล้วนะ กลับบ้านด่วนเลย" เท่านั้นแหละครับ ผมปิดเครื่องคอมพ์ทันทีบอกหัวหน้าว่าคุณพ่อเสียผมจะขอกลับบ้าน หัวหน้าก็บอกให้รีบกลับไปดูแลทางบ้าน พร้อมบอกให้ขับรถดีๆ ตอนนั้นผมไม่ค่อยแน่ใจนักว่าผมจะขับรถได้ไหมแต่ก็บอกไปว่าจะขับรถไปเองกับน้องสาว

พ่อเสียชีวิตด้วยอาการสงบครับ เช้าวันนั้นพ่อก็ยังทานอาหารได้นิดหน่อยตามปกติและยังพูดคุยได้เล็กน้อยเหมือนเดิม พวกเราไม่ค่อยแน่ใจนักว่าพ่อเสียชีวิตเนื่องจากสาเหตุใดแต่ท่านก็อายุมากแล้ว อายุเกือบ 83 ปีแล้ว ป่วยเป็นโรคหัวใจ และมีโรคเบาหวานมาหลายปีแล้วเหมือนกัน ช่วงสุดท้ายของชีวิตพ่อ พ่อได้แต่นอนอยู่บนเตียง ขาลีบจึงไม่สามารถเดินได้ แต่ก็สามารถขยับแขนได้ตามปกติและยังมีสติดีอยู่ตลอดเวลา พูดคุยได้เหมือนคนปกติทั่วไป

ในวันที่พ่อจากไปแล้ว พวกเราลูกๆหลานๆเศร้าเสียใจกันมากและได้มาช่วยงานกันครบทุกคน นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ผมเกิดมาจนอายุครบ 42 ปีที่ได้มีโอกาสพบหน้าพี่ๆน้องๆทุกคนซึ่งเป็นเรื่องที่น่าดีใจแต่ก็เป็นเรื่องน่าใจหายที่วันนี้เป็นวันที่พ่อไม่ได้อยู่กับพวกเราแล้ว ไปตลอดกาล

พ่อได้จากพวกเราไปแล้ว แต่สิ่งที่พ่อได้สอนให้พวกเราเป็นคนดีนั้นจะอยู่ในใจของผมเสมอ ผมยังมีสิ่งที่ต้องการทำให้พ่ออยู่ ถึงแม้พ่อจะไม่ได้เห็นมันด้วยตาของพ่อเอง แต่ผมก็จะพยายามทำต่อให้สำเร็จเพราะผมรู้ว่าพ่อจะรับรู้มันได้อย่างแน่นอน...

สวัสดีครับ

วันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เนื้องอกและซีสต์ที่ตับอ่อน บางคนก็ผ่าตัด บางคนก็ไม่ผ่า มีข้อมูลมาแบ่งปันครับ

ภาพจาก cancer.osu.edu

สวัสดีครับ

วันนี้มีเรื่องของผู้ป่วยที่เป็นซีสต์ที่ตับอ่อนมาฝากกันครับ แต่จะเน้นไปทั้งกรณีของซีสต์ (หรือถุงน้ำ) และเนื้องอกที่ตับอ่อน (pancreas) กันนะครับ คือมีผู้ป่วยที่เป็นซีสต์ที่ตับอ่อนและแพทย์ได้วินิจฉัยว่าจะต้องผ่าออกเนื่องจากก้อนซีสต์นี้มันไปเบียดเส้นเลือดหลักเส้นหนึ่งเข้า ผู้ป่วยท่านนี้ก็เลยได้เขียนมาสอบถามความเห็นของคนอื่นๆที่มีประสบการณ์ว่าจะทำอย่างไรดี ซึ่งก็มีหลายท่านเข้ามาแชร์กัน ผมก็เอามาเล่าย่อๆได้ดังนี้นะครับ เน้นนิดหนึ่งนะครับว่านี่เป็นเรื่องของผู้ป่วยที่เอามาเล่ากันไม่ใช่เรื่องทางวิชาการที่แพทย์เป็นคนเขียนนะครับ ... เชิญครับ...

ผู้ป่วยเจ้าของกระทู้บอกว่าในระยะสามปีหลังมานี้เธอไปตรวจพบว่ามีซีสต์ที่ตับอ่อนที่โตขึ้นประมาณปีละหนึ่งเซนต์ ซึ่งมันไปเบียดเส้นเลือดใหญ่เส้นหนึ่งเข้าและแพทย์ก็บอกว่าต้องตัดออก (ตัดส่วนหางของมัน ดูที่รูปข้างบนที่เขียนว่า Tail นั่นแหละครับ) รวมทั้งต้องตัดม้าม (Spleen) ออกไปด้วย ตัวเธอเองก็กังวลครับ กลัวไปสารพัดอย่างว่าจะตัดดีหรือเปล่าแล้วอาการมันจะเป็นอย่างไรต่อไป ก็มีคนมาตอบครับ บางคนก็บอกว่าตัวเองได้ตัดม้ามออกไปแล้วเพราะว่ามะเร็งที่ตับอ่อนได้เบียดแทรกผนังของม้ามจนต้องตัดม้ามออกไป แต่ผลกระทบก็ไม่มีอะไรมาก ก็แค่ระวังอย่ากินอาหารมากหลังผ่าตัด คอยตรวจระดับฮอร์โมนอินซูลินอยู่เสมอๆ ส่วนการพักฟื้นก็ไม่นานเท่าไหร่

อีกคนบอกว่าตัวเองได้ตัดม้ามออกไปแล้ว และตัดตับอ่อนออกไปเหลือเพียงครึ่งเดียว แต่ก็ยังใช้ชีวิตได้ตามปกติอยู่ แถมไม่เป็นเบาหวานอีกต่างหาก (อันนี้น่าอิจฉาครับ ของผมแค่มีซีสต์ที่ตับอ่อนก็เป็นเบาหวานแล้ว ขนาดยังมีตับอ่อนอยู่เต็มก้อนนะครับเนี่ย)

มีอีกคนครับ อันนี้เจ๋งมาก เค้าบอกว่าคุณแม่มีซีสต์ที่ตับอ่อนมาสามสิบปีแล้ว ยังไม่เป็นอะไรเลย คุณหมอตัดแต่ซีสต์ก้อนที่โตกว่า 3 เซนติเมตรออกไป นอกนั้นก็ไม่ได้ทำอะไร และทางโรงพยาบาลก็บอกว่าสำหรับซีสต์ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ แต่ถ้าเป็นเนื้องอกล่ะก็ควรเอาออก

ครับ อันนี้ก็คงแล้วแต่อาการและการวินิจฉัยของหมอแต่ละคนแล้วล่ะครับ เพราะว่าอาการหรือลักษณะการเกิดของโรคของแต่ละคนก็มีรายละเอียดที่แตกต่างกันนี่ครับ คงแล้วแต่กรณีไป

ขอให้ทุกท่านโชคดีครับ สวัสดีครับ

ออกกำลังกาย เอาแรงไว้สู้กับโรคกันเถอะครับพวกเรา

Photo: Dancers sitting in costume
ภาพจาก nationalgeographic.com

สวัสดีครับ

หายไปนานแต่ก็ยังคงคิดหาเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังอยู่เสมอนะครับ หลายครั้งที่หายไปนานๆผมก็รู้สึกไม่ค่อยดีต่อตัวเองเหมือนกัน มันรู้สึกว่าเป็นความรับผิดชอบอยู่เหมือนกันนะครับที่จะต้องหาเรื่องราวดีๆโดยเฉพาะที่จะเป็นประโยชน์กับพวกเราชาวผู้ป่วยทั้งหลาย (และญาติๆด้วย) มาให้อ่านกัน นึกถึงความตั้งใจตั้งแต่แรกของตัวเองที่เขียนบล็อกนี้ขึ้นมาที่ตั้งใจจะหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับพี่ๆน้องๆและทุกคนมาให้อ่านกันแล้ว ผมก็อยากจะเขียนต่อไปเรื่อยๆครับ จนถึงวันหนึ่งที่ทุกคนจะได้เฮ เมื่อมีข่าวดีว่ามีการค้นพบยารักษาโรคนี้แล้วนั่นแหละครับ ผมนึกถึงวันนั้นแล้วก็รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกัน... สงสัยว่ามันจะเป็นยังไงบ้างนะ...

ไม่นานหรอกครับ ผมคิดว่าคงอีกไม่นานเกินไปเพราะตอนนี้ความก้าวหน้าทางการแพทย์ก็เริ่มก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆครับ วันละนิดวันละหน่อย อย่างน้อยก็มีตัวยาอยู่หลายตัวที่ดูเหมือนว่าจะมีผลต่อการรักษาในทางที่ดี ถึงแม้ว่าจะยังไม่ถึงขนาดรักษาให้หายขาดได้ก็ตาม ถ้ามีอะไรที่ผมพอจะหามาได้อีกก็จะเอามาลงให้อ่านกันต่อไปนะครับ

ช่วงนี้สำหรับต่างประเทศก็มีผู้ป่วยที่ต้องตัดไต ตัดโน่นตัดนี่เนื่องจากอวัยวะเหล่านั้นมีเนื้องอกพวกนี้อยู่กันอยู่เรื่อยๆครับ ผมเห็นข้อมูลจนรู้สึกได้ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาเลยครับที่ผู้ป่วย VHL เหล่านั้นจะต้องเข้าโรงพยาบาล ถูกผ่าสมอง ผ่าไต ตัดตับอ่อน ตัดต่อมหมวกไต และอีกหลายๆอย่างครับ ใครที่โชคดีหน่อยก็อยู่ต่อได้ยาวหน่อย... แต่ก็ต้องสู้กันอีกยาวเช่นกัน... บางคนก็โชคไม่ค่อยดีก็อาจจะต้องทรมานและทนเจ็บกันต่อไปครับ ถึงแม้จะได้อยู่ต่ออีกไม่นานแต่ก็ไม่ต้องทนเจ็บนานเกินไปครับ ก็โชคดีกันคนละแบบนะ ผมว่า...

วันนี้ผมก็ไปหาหมอมาครับ ไปตรวจน้ำตาลตามปกติ วันนี้ดีครับ ดีที่สุดในชีวิตตั้งแต่เป็นเบาหวานมาเลย น้ำตาลสะสมลดครับ ลดจาก 8.2 ไป 7.2 ครับ แต่นั่นก็เป็นเพราะว่ายาที่ทานเยอะขึ้นด้วยครับ จริงๆแล้วคงไม่ใช่เป็นผลจากยาเพียงอย่างเดียว เพราะผมก็ออกกำลังกายเพิ่มขึ้นด้วย วิดพื้นครับ แล้วก็แกว่งแขนด้วย พยายามทำทุกเย็นครับ วันไหนอารมณ์ดีก็แถมตอนเช้าด้วย ก็ดีนะครับ รู้สึกเลยว่าร่างกายเราดีขึ้นเยอะ ฟิตและเฟิร์มครับ ฮ่าๆ ยังไม่ยอมแก่อะไรประมาณนั้น วันนี้ตั้งใจจะชวนมาออกกำลังกายกันครับ ออกได้ทุกวันยิ่งดี พอเราทำบ่อยๆเข้ามันเหมือนเป็นนิสัยไปโดยไม่รู้ตัวเหมือนกันนะครับ นานวันเข้ามันเหมือนกับเป็นอัตโนมัติ ถึงเวลามันก็ทำของมันเองครับ ดีเหมือนกัน มีเพื่อนบางคนบอกว่าอะไรก็ตามถ้าเราทำติดๆกันติดต่อกันเป็นเวลาถึง 21 วันแล้ว มันจะกลายเป็นนิสัยครับ อันนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงเท็จแค่ไหน และผมก็ไม่ได้นับด้วยว่าวิดพื้นต่อเนื่องกันมากี่วันแล้ว แต่ก็ใกล้เป็นนิสัยแล้วครับ ลองดูกันนะครับ ออกกำลังกายแบบที่ท่านถนัด แบบไหนก็ได้ครับ รับรองว่ามันดีจริงๆถ้าทำต่อเนื่องนะครับ

มีข้อความของน้อง Siriporn Rungsri เข้ามาทักทายเขียนว่าตัวน้องต้องผ่าตัดต่อมหมวกไตข้างซ้ายด้วย ในฐานะพี่ที่ผ่านเหตุการณ์อย่างนั้นมาก่อนก็ต้องขออวยพรไว้ตรงนี้ว่าขอให้น้องสบายใจและโชคดีในการผ่าตัด ขอให้เรียบร้อยดี และไม่ต้องกังวลอะไรนะครับ การแพทย์ของเราเดี๋ยวนี้ก้าวไปไกลมากแล้วครับ สำหรับพี่ที่ตัดข้างขวาออกไปสองปีกว่าแล้วตอนนี้ก็สบายดี ใช้ชีวิตได้ตามปกติ และไม่ต้องกินยาหรือฮอร์โมนอะไรเพิ่มเติมด้วย

แล้วพบกันใหม่ครับ สวัสดีครับ

วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เป็นเนื้องอกตอนอายุมาก

สวัสดีครับ

อายุมากแล้วก็ยังเป็นเนื้องอกได้เหมือนกันครับ จากสถิติที่มีผู้ศึกษาไว้ (ฝรั่ง) เนื้องอกจากโรค VHL นี้สามารถพบได้จนถึงอายุ 80 ปีเลยทีเดียวครับ ซึ่งจะว่าไปแสดงว่าผู้ป่วยคนนั้นก็อายุยืนพอสมควรเลยที่อยู่มาได้จนถึงปูนนี้ วันนี้มีคนมาโพสต์ในเฟสบุ้คว่ามีญาติ (ผู้หญิง) เสียชีวิตตอนอายุ 76 ปี และเป็นเนื้องอกครั้งแรกตอนอายุ 60ปีครับ เนื้องอกจากโรค VHL นะครับ ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกตอนอายุมากแล้ว อย่างกรณีของผมมีเนื้องอกในสมองครั้งแรกตอนอายุ 19ปี แต่ของลูกสาวนี่มาตอน 11ปีเลยครับ อันนี้ก็คงแล้วแต่กรณี ของใครของมันครับ บางคนก็จะพบว่าเป็นเร็วกว่านี้อีก คนใกล้ชิดคงต้องหมั่นสังเกตอาการและความผิดปกติต่างๆของร่างกายของคนใกล้ตัวหรือตัวเราเองให้ดีๆ บางครั้งอาการมันก็ไม่ได้ชัดเจนมากมายอะไรนัก อาจจะมีแค่มึนๆเล็กน้อยและนานๆครั้งอีกต่างหาก ถ้ามันเป็นแบบว่าวันสองวันมีอาการแค่ครั้งเดียวเราก็คงไม่ค่อยได้สนใจอะไรนักใช่ไหมครับ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นต่อเนื่องกันเป็นสองสามอาทิตย์แล้วล่ะก็ ผมว่าคงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้มันสายเกินไปแล้วล่ะครับ

สวัสดีครับ

วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

รายงานความก้าวหน้าในการทดลองยากับอวัยวะต่างๆ

Photo: The Matterhorn as seen from Riffel Lake
Matterhorm, picture from nationalgeographic.com

สวัสดีครับ

วันนี้เข้าไปอ่านรายงานของเว็บ VHLFA เพื่อหาข้อมูลความก้าวหน้าในงานวิจัยต่างๆมาเล่าสู่กันฟังเหมือนเดิม แต่ก็ต้องผิดหวังครับ ผิดหวังในแง่ที่ว่ายังไม่มีรายงานการค้นพบยารักษาครับ แต่ที่ยังรู้สึกดีอยู่ก็ตรงที่เค้ายังพยายามกันต่อครับในการศึกษาวิจัยเพื่อหายามารักษากันให้ได้ต่อไป ในเมื่อบริษัทยาและคุณหมอรวมทั้งนักวิจัยต่างๆเค้ายังไม่ย่อท้อที่จะทำงานหนักกันต่อไป เราในฐานะที่เป็นผู้ป่วย(ซึ่งก็เหมือนลูกนกน้อยๆที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้) ก็ต้องคอยกันต่อไปให้ได้ด้วยนะครับ...

ข้อมูลล่าสุดได้กล่าวถึงผลการวิจัยต่างๆที่สหรัฐอเมริกา (U.S. National Institutes of Health (NIH)) ได้กล่าวสรุปถึงผลการวิจัยทางยาสำหรับกรณีของเนื้องอกในอวัยวะต่างๆไว้ดังนี้ครับ

ตา - จนถึงปัจจุบัน เนื้องอกในตา (จากโรค VHL) ยังไม่มีการตอบสนองต่อยาที่วิจัยกันขึ้นมา พูดง่ายๆก็คือยังไม่มีการค้นพบยาที่จะใช้รักษาเนื้องอกในตาครับ ยาที่มีการวิจัยกันขึ้นมาใหม่ๆนั้นยังไม่สามารถใช้รักษาอาการเนื้องอกเนื่องจากโรค VHL ที่เกิดขึ้นในตาได้ ดังนั้นปัจจุบันนี้วิธีการรักษาก็ยังเป็นแบบเดิมคือต้องทำการยิงเลเซอร์เพื่อไปฆ่ามันครับ (ฟังดูโหดไปหน่อย แต่ก็นะ...)

เนื้องอกในระบบประสาทส่วนกลาง (สมองและไขสันหลัง) - ยาที่ค้นพบในชุดแรกๆ (Avastin, Sutent) ยังไม่สามารถใช้รักษาได้ แต่ก็ยังมีความหวังในตัวยาชุดต่อๆไปซึ่งจะพยายามหาวิธีการในการต่อสู้กับอาการเนื้องอกพวกนี้ในหลายๆแนวทางต่อไป ก็ต้องหวังกันต่อไปครับ ที่จริงแล้วเนื้องอกในสมองนั้นฟังดูน่ากลัวมากครับ แต่เท่าที่ผมสังเกตมามักไม่ค่อยมีคนเสียชีวิตเพราะมีเนื้องอกในสมอง (เนื่องจากโรคนี้)สักเท่าไรนะครับ ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะว่าวิทยาการทางการแพทย์ในปัจจุบันนี้ทำให้การผ่าตัดรักษาโรคสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นครับ ไม่เท่านั้นวิทยาการในการลดความเจ็บปวดยังดีขึ้นกว่าเดิมมากอีกต่างหาก บางครั้งเลยกลายเป็นว่าความเจ็บปวดที่มีในการกระบวนการรักษานั้นเกิดขึ้นมากในขณะฉีดยาหรือเย็บแผลนั่นต่างหาก

การเสียชีวิตส่วนใหญ่เกิดจากเนื้องอกที่ไตที่กลายเป็นมะเร็งและเสียชีวิตเนื่องจากมะเร็งที่ไตนั่นเองครับ ดังนั้นในปัจจุบันการวิจัยจึงได้เน้นไปที่การหาวิธีรับมือกับมะเร็งที่ไตครับ

ไต - เหมือนที่กล่าวไว้แล้วข้างบนครับว่าตอนนี้การรักษาได้เน้นไปที่มะเร็งในไต ตอนนี้มีการทดลองยาอยู่ถึง 25 ชนิดสำหรับการรักษาที่ไตโดยเฉพาะแต่ก็ยังไม่เห็นผลชัดเจนอะไรนัก แถมยังมีปัญหาผู้ป่วยได้รับผลข้างเคียงจากยาค่อนข้างเยอะอีกด้วย ก็รอกันต่อไปครับ

ตับอ่อน - ในด้านนี้ก็ยังมีการทดลองกันต่อไปครับ รวมทั้งจะมีการศึกษาด้วยว่าเนื้องอกในตับอ่อนจะสามารถกลายไปเป็นมะเร็งได้หรือไม่

ฟีโอ (Pheochromocytoma) หรือเนื้องอกที่ต่อมหมวกไต - อันนี้ก็ยังมีการวิจัยกันอยู่ครับ ยังหาวิธีจัดการไม่ได้สักที เท่าที่ผ่านมาก็ผ่าตัดเอาออกครับ (อย่างกรณีผมก็เอาออกทั้งต่อมหมวกไตเลยครับ ไม่เป็นไรครับ มันมีสองข้างเอาออกข้างเดียวก็ยังพอได้ครับ...)

อาการที่กล่าวมาผมเป็นและได้รับการผ่าตัดมาหมดแล้ว ทั้งที่สมอง ตา ไต ต่อมหมวกไต ตับอ่อน (อันนี้ยังไม่ได้ผ่าออก) ซึ่งก็ยังรอความหวังเหมือนกับท่านอื่นๆอยู่เหมือนกัน ถึงแม้ยาพวกนี้อาจจะไม่ได้ใช้ในรุ่นผม ขอให้รุ่นลูกได้ใช้ก็ยังดีครับ

ขอให้มีความสุขในวันหยุดกันทุกคนครับ สวัสดีครับ

วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2556

ความก้าวหน้าใหม่ๆในการทดลองเพื่อหาวิธีรักษาโรค VHL ครับ ความหวังใกล้เข้ามาเรื่อยๆครับ

Eric Jonasch 
Eric Jonasch, MD, member of the VHLFA Clinical Advisory Council and Chair of the Task Force on Clinical Trials

สวัสดีตอนสายๆของวันเสาร์ครับ

ผมปวดหลังเนื่องจากกล้ามเนื้อหลังอักเสบมาสิบกว่าวันแล้วยังไม่หายเลยครับ แต่ก็ไม่อยากพลาดโอกาสในการไปหาความรู้มาแชร์ให้อ่านกันสำหรับพวกเราผู้ป่วยทั้งหลายและญาติๆหรือผู้ที่สนใจด้วยครับ วันนี้ตั้งใจจะเอาเรื่องของการศึกษาวิจัยใหม่ๆมาเขียนกันครับ และครั้งต่อไปก็จะพยายามเอาเรื่องของการศึกษาวิจัยพวกนี้มาลงให้อ่านกันอีกเรื่อยๆครับ แต่ไม่กล้ารับปากว่าจะทำได้มากน้อยแค่ไหน เพราะว่าเนื้อหาส่วนใหญ่พอเข้าไปดูแล้วแปลยากครับ เพราะว่านอกจากจะเป็นภาษาอังกฤษแล้วยังเป็นภาษาอังกฤษทางการแพทย์หรือวิทยาศาสตร์เข้าไปอีก... บางครั้งก็ยังมีความสามารถไม่ถึงครับ .. แฮ่ๆ

สำหรับวันนี้ผมแปลมาจากข้อเขียนของคุณอีริก(ตามรูปข้างบน)ที่เขียนไว้ที่เว็บไซต์VHLFA ครับ ซึ่งอันนี้เป็นบทนำ ยังมีรายการศึกษาอื่นๆอีกมากมายที่เขียนไว้แบบมีรายละเอียดอีกหลายหัวข้อเลยครับ แล้วจะเอามาแปลให้อ่านกันในโอกาสต่อไปนะครับ สำหรับของคุณอีริกนั้นเชิญอ่านครับ...

การทดลองทางการแพทย์ในปัจจุบันนี้หลายๆวิธีได้เน้นไปที่การหายาที่จะใช้จัดการกับเนื้องอกของหลอดเลือดอย่างหนึ่งและยับยั้งการสร้างใหม่ของหลอดเลือดอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของยาที่ว่านี้จะทำให้ได้ยาที่มีผลกระทบข้างเคียงน้อยลงแต่มีประสิทธิภาพมากขึ้นครับ ซึ่งหวังว่าจะมีการค้นพบตัวยาดีๆรุ่นใหม่ในอนาคตอันใกล้นี้ มีข้อสังเกตอย่างหนึ่งสำหรับเรื่องนี้ครับ คือพบว่าผู้ป่วยแต่ละคนจะมีการตอบสนองต่อตัวยาแต่ละตัวที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งเรื่องนี้ก็จะมีประโยชน์ในการวิจัยต่อไปและค้นให้พบครับว่าอะไรเป็นอะไร (และอย่างไร)

มีรายงานการศึกษาเร็วๆนี้ระบุว่าผู้ป่วย VHL ที่ได้รับการรักษาด้วยยา Sutent (Sunitinib, Pfizer) จะมีการลดขนาดลงของมะเร็งที่ไตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผลดังกล่าวได้ทำให้มีการทดลองใหม่ๆโดยการใช้ตัวยาที่คล้ายคลึงกัน คือตัวยา Votrient (pazopanib, GSK) ซึ่งได้เปิดทำการศึกษาไปเมื่อเร็วๆนี้ที่ศูนย์มะเร็ง เอ็มดี แอนเดอร์สัน (MD Anderson Cancer Center) เมืองฮุสตัน รัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกาครับ สำหรับผู้ป่วยที่จะได้รับการทดลองรักษาจะต้องเป็นผู้ป่วยที่พิสูจน์ทางพันธุกรรมแล้วว่าเป็นโรค VHL และมีอาการของโรคเกิดขึ้นในหลายๆแห่งของร่างกายที่สามารถตรวจพบได้ด้วยการทำ MRI หรือ CT สแกนครับ โดยผู้ป่วยจะได้รับยา Votrient เป็นเวลา 6 เดือน และจะได้รับการพิจารณาให้ทำการรักษาต่อก็ต่อเมื่อพิจารณาแล้วมีความเหมาะสมครับ โดยจะมีการสแกนร่างกายซึ่งจะกระทำ 3 ครั้ง คือก่อนได้รับยา Votrient หนึ่งครั้ง ครั้งต่อไปหลังจากได้รับยาแล้ว 3 เดือน และครั้งต่อไป 6 เดือนครับ

การศึกษาที่สองคือการทดลอง dovitinib (Novartis) สำหรับผู้ป่วยที่มีเนื้องอก Hemangioblastomas (เนื้องอกในระบบประสาทส่วนกลาง เช่นเนื้องอกในสมองส่วนหลัง ในก้านสมอง หรือที่ไขสันหลังนั่นเอง) ซึ่งการศึกษานี้ได้เปิดในเดือนตุลาคม ปี 2012 (พ.ศ. 2555) ที่ศูนย์มะเร็ง เอ็ม ดี แอนเดอร์สัน เช่นกัน ซึ่งผู้ป่วยที่จะเข้ารับการทดลองในกรณีนี้จะต้องเป็นผู้ป่วยที่มีอาการของเนื้องอกที่ระบบประสาทส่วนกลาง (hemangioblastoma) เกิดขึ้นโดยอาจจะมีอาการเนื้องอกที่อื่นๆร่วมด้วยก็ได้ การศึกษานี้มีพื้นฐานมาจากผลการวิจัยชิ้นหนึ่งที่ระบุว่าผู้ป่วยคนหนึ่งซึ่งถูกใช้การระงับกระบวนการทำงานของร่างกายด้วยยา dovitinib จะมีการเร่งของการเจริญเติบโตของหลอดเลือดในระบบประสาทส่วนกลาง(hemangioblastoma)นั่นเอง ในการรักษาจะใช้เวลา 6 เดือนโดยจะมีการสแกนร่างกาย 3 ครั้งด้วยเช่นกัน

ผู้สนใจเข้าร่วมการทดลองสามารถติดต่อได้ที่คุณ Cherie Perez ที่เบอร์ 713-563-1602 ครับ อ้อ อย่าลืมกดรหัสประเทศของอเมริกาด้วยนะครับ

เห็นมั้ยครับว่าอันที่จริงแล้วการทดลองและศึกษาวิจัยเพื่อหาหนทางในการรักษาโรคนี้นั้นมีการทำอยู่ตลอดเวลาซึ่งถึงแม้ว่าจะยังไม่สามารถค้นพบในตอนนี้แต่ก็มีความก้าวหน้าขึ้นทีละเล็กละน้อยนะครับ ความสำเร็จคงจะมีแน่ๆในอนาคต หวังว่าการค้นพบจะเกิดขึ้นในยุคเราๆนี่นะครับ หรืออย่างน้อยก็ขอให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้ใช้กันก็ยังดี

แล้วพบกันใหม่ครับ สวัสดีครับ

วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2556

สงกรานต์ 2556 เที่ยวไป เที่ยวไป...

สวัสดีปีใหม่ไทยครับ

วันนี้ได้หยุดพักผ่อนอยู่กับบ้านหลังจากที่เดินทางในช่วงสงกรานต์ไปพันกว่าโล เที่ยวบ้าง ทำภารกิจบ้าง ก็สนุกสนานกันไป เหนื่อยกันไปนิดหน่อยครับ ตั้งแต่เริ่มปวดหลัง (สงสัยกระดูกหลังยอกตรงก้นกบ) จนกลับมาบ้านอีกครั้งหกคืนเจ็ดวัน แต่แค่เกือบหายปวดหลังครับ ยังไม่หายดีเลย นั่งเขียนบล็อกไปก็เจ็บๆเป็นระยะๆไป แต่ก็อยากเขียนครับ ไปเที่ยวสงกรานต์คราวนี้มีอะไรให้จดจำเยอะครับ โดยเฉพาะคราวนี้ถึงแม้จะเป็นการเดินทางที่ยาวไกลแต่ไม่เหนื่อยมากเหมือนทุกครั้งที่เดินทางไกลๆเลยครับ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะว่าผมตั้งใจขับรถแบบไปเรื่อยๆ ไม่รีบครับ ขับแบบสบายๆ ไม่เกิน 120 แต่ส่วนใหญ่ก็แค่ 110 ครับ ถึงแม้จะขับไกลและนานแต่ก็ไม่รู้สึกว่าไกลสักเท่าไร

เช้าวันที่ 14 เมษา 56 ไปทำบุญที่วัดใกล้บ้านที่สรรคบุรีชัยนาทครับ เช้าวันนั้นคนที่วัดไม่ค่อยมาก ส่วนใหญ่คงจะอยู่ที่บ้านกันเพราะเป็นช่วงสงกรานต์ เข้าใจว่าคนส่วนใหญ่คงอยู่บ้านกับญาติพี่น้องที่กลับบ้านกันในวันสงกรานต์ หลายๆ บ้านก็มักจะทำบุญที่บ้านกันด้วย คนก็เลยบางตา ไม่เต็มศาลาวัดเหมือนงานบุญคราวก่อนๆ ถึงอย่างนั้นก็ยังถือว่าคนมาทำบุญเยอะพอสมควรเลยครับ ข้าวปลาอาหารที่นำมาถวายพระก็เต็มจนแทบไม่มีที่วางสำรับกันเหมือนเดิม

อากาศที่นั่นในวันนั้นก็ไม่ร้อนมากนัก มีเมฆลอยมาหลอก (ว่าฝนจะตก) อยู่เกือบเต็มท้องฟ้า แต่ก็แค่หลอกๆครับ ฝนก็ไม่ยอมตกสักที แต่นั่นก็พอที่จะทำให้อากาศไม่ร้อนจนเกินไปครับ ยังพอนอนเปลญวนผูกใต้ต้นไม้ได้ในตอนบ่ายแก่ๆที่แดดร่มลมตกบ้างแล้ว

จากบ้านญาติทางภรรยาก็ไปบ้านญาติทางสามีกันที่เพชรบูรณ์กันบ้าง ปีนี้ก็เหมือนเดิม พี่ๆน้องๆ พากันกลับบ้านไปเยี่ยมพ่อแม่เยอะเหมือนเดิมครับ เช้าวันที่ 15 เราก็ทำการรดน้ำขอพรพ่อแม่ รวมทั้งให้พรพ่อแม่ด้วย ที่จริงแล้วตามธรรมเนียมอาจจะต้องเป็นผู้ใหญ่เท่านั้นที่ให้พรเด็กๆ ลูกๆหลานๆ แต่เราก็อยากที่จะให้พ่อแม่มีความสุขมีอายุยืนด้วย ลูกๆก็เลยอวยพรให้พ่อกับแม่ด้วยครับ ขอให้ท่านมีสุขภาพแข็งแรง อายุยืนๆ อยู่กับพวกเราไปนานๆ เท่าที่จะนานได้ครับ พอไหว้พ่อแม่ที่บ้านเสร็จ ก็ไปไหว้กระดูกแม่ที่ฝังอยู่ที่ป่าช้าในวัดป่าใกล้บ้าน ซึ่งก็ทำเป็นประจำทุกปีครับ เวลาไปไหว้ก็จะซื้อกาแฟเย็นใส่กระติกน้ำแข็งไป เอาดอกไม้ธูปเทียนไปไหว้ด้วย จุดธูปแล้วรอจนธูปไหม้หมดก็ลากลับ ลืมบอกไปว่าแม่ผมมีหลายคนครับ ตอนนี้แม่ที่อยู่ที่บ้านทั้งสองคนเป็นแม่เลี้ยง ซึ่งลูกเลี้ยงทุกๆคนก็รักเหมือนแม่จริงๆ เพราะแม่เลี้ยงมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆกันอยู่ครับ ส่วนแม่จริงนั้นเสียตอนที่ผมยังเป็นเด็กตัวเล็กๆอยู่เลย ตอนนั้นเพิ่งสามขวบครับ ก็เกือบสี่สิบปีมาแล้ว

จากเพชรบูรณ์ก็ไปมหาสารคามครับ ไปที่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ไปเยี่ยมที่ศูนย์บรรพชีวินวิทยา ภาควิชาชีววิทยาครับ มีกระดูกไดโนเสาร์และพวกเต่า ปลาโบราณเยอะแยะเลย เราแวะกินขนมจีนเส้นสดกันที่นั่น อร่อยมากครับ มีผักสดแกล้ม แล้วก็มีแกงต่างๆกินกับขนมจีนเยอะแยะเลย ไปอิสานคราวนี้ได้ลองกินแกงผักหวานใส่ไข่มดแดงด้วยครับ ผมอยากลองกินไข่มดแดงอีกสักครั้งหลังจากที่เคยกินครั้งสุดท้ายไปเมื่อตอนเป็นเด็ก รสชาติก็ไม่เหมือนเดิมหรอกครับเพราะว่าอาหารที่เคยกินตอนเป็นเด็กนั้นมันคงเป็นคนละแบบ คงไม่ใช่แกงผักหวานเหมือนคราวนี้ คราวนี้ที่อยากกินเพราะว่าพอนึกถึงตอนเป็นเด็กแล้วมันอร่อยครับ เคยมั้ยครับที่เวลานึกถึงอาหารที่เราเคยกินตอนเป็นเด็กแล้วรู้สึกว่ามันอร่อยทุกอย่างเลย... แค่ไข่ดาวก็อร่อยมากแล้วครับ แต่พอโตขึ้นมาทำไมรสชาติมันไม่เหมือนเดิมก็ไม่รู้...

ออกจากมหาสารคามคราวนี้เดินทางเหนื่อย (นิดหน่อย)เลยครับ เพราะต้องเข้าถนนมิตรภาพมุ่งหน้ามาอำเภอพล แล้วต่อมาที่โคราชเพื่อที่จะไปที่พักรีสอร์ทช่วงต้นๆของถนนธนะรัชต์ทางขึ้นเขาใหญ่ครับ ระยะทางประมาณสามร้อยกิโลครับ ใช้เวลาไปทั้งหมดสิบชั่วโมง รถเยอะมากครับ เยอะมากๆ เพราะเป็นช่วงกลับบ้านหลังสงกรานต์กัน ถึงที่พักเที่ยงคืนครึ่งครับ แต่ยังไงผมก็ยังรู้สึกดีครับ ถึงแม้รถจะติดมากมาย ที่ยังรู้สึกดีก็เพราะว่าทุกคนปลอดภัยและยังสนุกได้กับการเดินทางครับ ที่พักที่เราจองไว้ก็ดีเยี่ยม ตอนที่ไปถึงฝนเพิ่งหยุดตกด้วย ทำให้รู้สึกเย็นสบายมากๆ คืนนั้นเราหลับกันด้วยความรู้สึกผ่อนคลายและหลับง่ายกันทุกคนครับ ฮ่าๆ

ตื่นเช้ามากินอาหารเช้ากันในรีสอร์ทริมลำธาร มีกังหันวิดน้ำอันใหญ่หมุนไปตามแรงน้ำอยู่ตลอดเวลา เสียงนกร้อง บวกกับสายลมที่พัดมาเป็นระยะๆทำให้รู้สึกผ่อนคลายมากๆเลยเชียวครับ ที่รีสอร์ทยังมีมุมให้นั่งพักสบายๆ ประกอบกับเป็นวันธรรมดาครับ คนก็เลยไม่เยอะ มีคนมาพักอยู่สองสามครอบครัว ก็เลยยิ่งรู้สึกดีครับ บรรยากาศเหมาะกับการพักผ่อนมาก เดินเล่นไปก็มีห่านฝูงเล็กๆ สีขาวเดินผ่านไป มีแมลงทั้งด้วงปีกแข็ง มด มีหอยทากและกิ้งก่าอยู่เป็นเพื่อนด้วย... ดีเยี่ยมครับ

วันสุดท้ายของการเดินทางเที่ยวนี้เราไปแวะกันที่ตลาดน้ำกลางดง หรือที่สวนซ่อนศิลป์ครับ ที่นี่เป็นสวนที่มีร้านกาแฟ มีร้านให้ทำกิจกรรมวาดรูป มีร้านไอศกรีม และอีกมากมายให้ชมและให้รับประทานท่ามกลางป่า (แมกไม้) ครับ เดินชมไปกินไปซื้อไปฟังเสียงน้ำไหลไปด้วย เผลอไปแป๊บเดียวหมดไปเลย 4 ชั่วโมงแบบไม่รู้ตัวครับ เที่ยวที่นี่ได้ทั้งเพลิดเพลิน พักผ่อนและได้แรงบันดาลใจด้วยครับ เยี่ยมไปเลย...

กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยและอย่างมีสไตล์ครับ มีสไตล์เพราะว่าทุกคนมีความสุข ได้พักผ่อนกันอย่างเต็มที่ครับ

แล้วพบกันใหม่ครับ สวัสดีครับ

วันอาทิตย์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2556

เนื้องอกในตับอ่อนทำให้คลื่นใส้ อาเจียน หรือไม่

สวัสดีครับ

มีคนที่เป็นเนื้องอก (tumor) ในตับอ่อนได้สอบถามจากผู้ที่มีประสบการณ์ว่าการมีเนื้องอกที่ตับอ่อนจะทำให้เกิดการเจ็บปวด หรือคลื่นใส้อาเจียนได้หรือไม่ ซึ่งคนที่เคยมีประสบการณ์มาก่อนก็ได้เล่าประสบการณ์ให้ฟังว่ามีทั้งเจ็บปวดอย่างมาก รวมทั้งคลื่นใส้อาเจียนร่วมด้วยได้ครับ มีคนหนึ่งเล่าว่าสาเหตุของตัวเองเกิดจากการที่เนื้องอกไปขวาง (block)ทางเดินของน้ำย่อยที่ผลิตจากตับอ่อนนั่นเอง จนทำให้เกิดการอักเสบของตับอ่อนขึ้น และทำให้เกิดอาการดังกล่าว

สำหรับการตรวจนั้นต้องทำการตรวจเลือดเพื่อหาระดับของน้ำย่อย Lipase ครับ ซึ่งเป็นน้ำย่อยที่ทำหน้าที่ย่อยไขมันครับ สำหรับรายละเอียดเรื่องนี้ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน เค้าไม่ได้อธิบายไว้ครับ คงต้องไปพบแพทย์แล้วเล่าอาการอย่างละเอียดให้แพทย์ฟังครับ ส่วนหนึ่งที่แพทย์ต้องทำคือต้องทำการระงับอาการปวดให้คนไข้ครับ เพราะเค้าบอกว่าจะเจ็บปวดมาก แต่ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่ามันต้องเป็นถึงระดับไหนถึงจะมีอาการปวด เพราะตัวผมเองก็มีเนื้องอกที่ตับอ่อนเช่นกัน แต่ก็ไม่มีอาการปวดใดๆ (และหวังว่าจะไม่มีอาการที่ว่านั้นในอนาคตด้วยครับ ...) จะมีผลต่อเนื่องก็แค่เป็นเบาหวานเท่านั้นเอง

แล้วพบกันใหม่ครับ สวัสดีครับ

วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2556

ปฏิญาณของพุทธมามกะเรื่อง กรรม

สวัสดีครับ

วันนี้ขออนุญาตนำคำสอนของท่านพุทธทาสซึ่งเป็นหนึ่งใน 7 ข้อของคำปฏิญาณของพุทธมามกะ มาแชร์ให้อ่านกันไว้ตรงนี้ครับ สำหรับข้ออื่นๆนั้นถ้ามีโอกาสคราวหน้าผมจะเอามาลงไว้ แต่สำหรับวันนี้ขอเอาข้อนี้มาลงไว้ก่อนนะครับ

ข้อ 6 พุทธมามกะเชื่อว่ามนุษย์แต่ละคนล้วนมีกรรม หรือการกระทำของตนเองเป็นเครื่องอำนวยความสุขและความทุกข์ แล้วแต่ว่าเขาได้ทำไว้อย่างไรในขณะที่แล้วมา ทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง เป็นเครื่องปรุงแต่งตัวเอง บังคับความเป็นไปได้ของตัวเองโดยเด็ดขาด จนกล่าวได้ว่า เรามีกรรมนั่นแหละเป็นตัวเราเอง ถ้าเขาอยากมีหรืออยากอยู่ในโลกที่งดงาม เขาก็ต้องทำดี กรรมดีโดยส่วนเดียว ถ้าเขาเบื่อต่อการเป็นอยู่ในโลกทุกๆแบบ เขาก็มีวิธีทำให้จิตใจของเขาสูงพอที่จะไม่ทำอะไรๆ ให้เป็นกรรมอย่างหนึ่งอย่างใดขึ้นมาได้ และอยู่เหนือกรรมโดยประการทั้งปวง ผู้ที่ทำกรรมชั่วไว้ จักต้องได้รับโทษหรือมีการทำคืนที่สมควรแก่กันเสียก่อน จึงจะพ้นจากกรรมชั่วนั้น เว้นเสียแต่เขาได้ทำกรรมดีมากอีกทางหนึ่ง ถึงกับช่วยให้เขามีจิตใจสูง พ้นอำนาจของกรรมไปเสียก่อนที่มันจะให้ผลได้.

ขอให้มีความสุขและสงบกันทุกคนนะครับ สวัสดีครับ

วันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2556

เที่ยวทะเล

สวัสดีครับ

ผมเพิ่งกลับจากไปเที่ยวเกาะช้างมาเมื่อวานนี้เองครับ ลาพักร้อนไปกับครอบครัว ไปทะเลคราวนี้รู้สึกมีความสุขครับ ได้เปลี่ยนบรรยากาศ หนีออกจากตึกและรถไปหาภูเขา ทะเล และปลาตัวเล็กๆดูบ้าง เป็นความสุขแบบง่ายๆ สบายๆที่ทำให้ไม่อยากกลับมาสู่ตึกสี่เหลี่ยมและรถที่วิ่งกันเต็มถนนอีกเลย... ไปเที่ยวนี้พักกันที่หาดไก่แบ้ครับ มีหาดส่วนตัวเล็กๆ สงบๆ อยู่นิดหน่อย ได้ลงไปลอยน้ำดูปะการังที่มีรูปร่างคล้ายๆเห็ดหูหนูเต็มไปหมด มีปลาสวยงามถึงไม่มากนักแต่ก็ทำให้เพลิดเพลินได้ไม่น้อยเลยนะครับ ผมใช้แว่นตาว่ายน้ำแบบที่ใช้ในสระน้ำนี่แหละครับ ดูปลาในทะเลย แทบไม่ต้องใช้เสื้อชูชีพตัวก็ลอยได้สบายๆ (เพราะน้ำทะเลมันเค็มครับ ความหนาแน่นสูงด้วย) น้ำก็ตื้นด้วย คลื่นก็ไม่แรง ก็เลยลอยดูปลาจนลืมความร้อนของแดดที่เผาแผ่นหลังอยู่ไปเลย มารู้ตัวอีกทีว่าแดดแรงก็ตอนเย็นๆเวลาอาบน้ำที่ผ้าเช็ดตัวไปโดนนั่นแหละครับ มันแสบๆ ก็เลยรู้ว่าโดนแดดเผาไปเยอะเหมือนกัน

ได้ว่ายน้ำนานๆ แล้วก็พายเรือคายัคไปที่เกาะเล็กๆที่เห็นในภาพด้วย ก็เลยทำให้ได้ออกกำลังกายเยอะเหมือนกันครับ คืนนั้นก็เลยหลับสบายมาก ก่อนหน้านั้นจะตื่นตลอดเพื่อลุกมาเข้าห้องน้ำหรือแค่รู้สึกตัวเฉยๆ แต่พอเหนื่อยมากๆก็หลับสบายครับ รวดเดียวเลย จริงๆวันนี้ตั้งใจจะหาข้อมูลทางวิชาการที่มีคนเขียนไว้เรื่องการนอนมาให้อ่านกัน แต่พออ่านๆไปก็รู้สึกว่าไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ ก็เลยไม่เอามาครับ จริงๆแล้วเรื่องการนอนผมว่าทุกคนก็พอจะทราบกันบ้างแล้วว่ามันควรเป็นอย่างไร และการนอนไม่ค่อยหลับมีผลต่อร่างกายอย่างไร มีคนเขียนไว้มากครับ ลองไปหาอ่านกันได้ทั่วไป สำหรับผมก็คงเอาแค่นี้ที่บอกว่าพอเหนื่อยมากเราก็หลับสบายครับ แต่ก็อาจจะไม่แน่เสมอไปครับ อาจจะต้องอาศัยสภาพแวดล้อมที่ดีด้วย หรือคงต้องอารมณ์ดีด้วย ถ้าเราไม่เครียด รู้สึกผ่อนคลายด้วย ก็คงหลับสบายนะครับ

หน้าร้อนก็เที่ยวให้สนุกแบบหน้าร้อนได้ แล้วพบกันใหม่ครับ สวัสดีครับ

วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2556

เราก็อยู่กับโรคอย่างมีความสุขได้เหมือนกันนะ

                                         ภาพดอกเฟื่องฟ้าที่ The Maze Resort เขาใหญ่
สวัสดีตอนเช้าครับ

วันนี้ผมลาพักร้อนครับ ไม่ต้องไปทำงานก็เลยมีโอกาสหาข้อมูลมาเขียนให้อ่านกันอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ผมหายไปนานเหมือนกัน รู้ตัวดีครับว่าขี้เกียจไปหน่อย ใจจริงแล้วอยากหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาให้อ่านกันอยู่เรื่อยๆและต่อเนื่องเหมือนกันครับ แต่เพราะว่าโรคนี้ถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มียารักษา ยังต้องหาทางกันต่อไป ข้อมูลที่พอจะหาได้ก็จะเป็นพวกการศึกษาวิจัยกันซะเป็นส่วนใหญ่ และทั้งหมดก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับศัพท์และความรู้ทางเทคนิกหรือทางการแพทย์ซะด้วย ซึ่งผมก็ไม่ถนัดอีกนั่นแหละครับ หลายๆครั้งก็เลยต้องว่างไป ไม่มีอะไรมาเขียนกัน

สำหรับวันนี้ก็มีเรื่องธรรมดาเป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวสำหรับคนที่เป็นโรคนี้น่ะครับ เคยเขียนไปเมื่อนานมาแล้ว คราวนี้ก็แค่เอามาทบทวนกันอีกครั้งครับ เรื่องพวกนี้เอามาคุยกันบ่อยๆที่จริงก็ดีเหมือนกัน มีแต่ประโยชน์ครับ ไม่มีโทษครับ รับรอง .. ฮ่าๆ

เค้าบอกว่าโรคนี้ถึงแม้จะยังไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้และเราต้องอยู่กับมันไปตลอดชีวิต (อย่างน้อยก็จนกว่าจะมีการค้นพบวิธีการรักษา) แต่เราก็มีวิธีรับมือกับมันได้ครับ นั่นก็คือปรับรูปแบบการปฏิบัติตัวในชีวิตประจำวันนั่นเองครับ ต้องอยู่กับมันอย่างมีความสุขครับ ทำได้โดยการปรับตัวนิดหน่อยครับ คำแนะนำหลักก็คือ ต้องทำร่างกาย (physical) จิตใจ (mental) และวิญญาณ (spiritual)ให้แข็งแรงครับ จิตใจกับวิญญาณมันแยกกันนะครับ ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ถ้าเราเป็นโรคทางจิตใจ เราคงต้องไปหาหมอโรคประสาทครับ แต่โรคทางวิญญาณนั้นต้องใช้ธรรมะเท่านั้นในการรักษา ซึ่งธรรมะที่ว่านี้จะเป็นของศาสนาใดก็ได้นะครับ ไม่จำกัด ศาสนาที่ท่านนับถืออยู่นั่นแหละครับ ดีหมดเลย

ทีนี้ทางร่างกายนี้ก็ง่ายครับ (แต่อาจจะทำยากหน่อย) เช่น ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ออกกำลังกายไม่ยากหรอกครับ บางคนบอกว่าแค่ขยับก็เท่ากับออกกำลังกายแล้ว อันนั้นก็จริงอยู่ครับ แต่ผมว่าเราควรออกกำลังกายแบบที่มันควรจะเป็นดีกว่านะครับ (เพราะถ้าแค่ขยับนิ้วมันคงไม่ช่วยเท่าไหร่...) เพื่อตัวเราไงล่ะ เช่นเดินเร็วอย่างต่อเนื่องสักวันละ 30 นาทีอะไรอย่างนี้เป็นต้น นอกจากออกกำลังกายแล้ว การกินอาหารก็ต้องมีหลักการด้วย กินเนื้อแดงให้น้อยครับ และกินผักเยอะๆ แต่กินผักเยอะๆนี่หลายๆคนก็ไม่ชอบ ก็เลยเห็นเดี๋ยวนี้มีการหาวิธีเอาผักเข้าร่างกายกันหลากหลายรูปแบบ ทั้งโฆษณาเครื่องดื่มไฟเบอร์ น้ำผักผลไม้ หรือเครื่องปั่นผัก-ผลไม้ ก็มากมายครับ ลองดูก็แล้วกันครับ ว่าชอบแบบไหน แต่สำหรับผมชอบผักต้มจิ้มน้ำพริกครับ อร่อยที่สุดในโลกมนุษย์สวยๆใบนี้เลยทีเดียว ฮ่าๆ (อร่อย มีโปรตีน วิตามิน ไขมันน้อยมาก ได้เส้นใยอาหาร... และอีกสารพัดประโยชน์)

นอกจากนี้ต้องระมัดระวังเรื่องเครื่องดื่มด้วยครับ อย่าดื่มพวกเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มากนัก โดยเฉพาะอย่าดื่มเพื่อลืมเธอหรือหนีปัญหาชีวิตครับ อันนี้ไม่ควรทำเด็ดขาด เพราะนอกจากจะไม่ช่วยแล้ว ยังทำลายสุขภาพด้วย กำลังใจที่เข้มแข็งและสติปัญญาเท่านั้นที่จะช่วยเราให้ออกจากปัญหาทุกอย่างได้ พวกเครื่องดื่มหวานๆก็ไม่ควรดื่มมากเช่นกันครับ อันนี้ทุกท่านคงทราบกันดี และไม่ควรสูบบุหรี่ด้วย ขับรถก็อย่าประมาท (อันนี้ผมไม่แน่ใจว่าเกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพอย่างไร แต่เว็บภาษาอังกฤษเค้าเขียนไว้ครับ) และที่สำคัญอย่าลืมหาความรู้เกี่ยวกับการป้องกันมะเร็งอยู่เสมอๆนะครับ อันนี้สำคัญครับเพราะคนที่เป็นโรคนี้มักจะมีโอกาสเป็นมะเร็งได้ง่าย โดยเฉพาะที่ไต ดังนั้นการทำตัวเองให้มีโอกาสเสี่ยงต่อโรคมะเร็งได้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี อย่างเช่นหลีกเลี่ยงอาหารหวานจัด มันจัด ปิ้ง ย่างที่โดนควันเยอะๆ อาหารที่ไหม้เกรียม หรือพวกหมักดองอะไรอย่างนี้ครับ ที่จริงทุกท่านก็คงทราบกันดีอยู่แล้ว ยังไงก็อย่าลืมทำด้วยนะครับ ไม่ใช่เพื่อใครหรอกครับ เพื่อตัวเราและคนที่เรารัก และคนที่รักเราด้วยไงล่ะครับ

แล้วพบกันใหม่ครับ สวัสดีครับ

ไปหาหมอมา ผล MRI ในท้องยังเต็มไปด้วยซีสต์เหมือนเดิม

ภาพซุ้มประตูแบบบาหลี ถ่ายที่ Aman Mini, Jakarta, Indonesia
สวัสดีครับ

วันนี้ผมไปหาหมอที่ศิริราชเพื่อรับฟังผลตรวจ MRI ช่องท้องส่วนบนและไต ที่ทำไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมานี้ ผลทุกอย่างไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงครับ ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ดูเหมือนจะมีแค่ซีสต์บางก้อนที่โตขึ้นนิดหน่อย ก้อนที่โตสุดมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 7.5 ซ.ม.ครับ ก็เป็นลูกกลมๆ มีลักษณะเป็นถุงน้ำใสๆ หมอบอกว่าไม่น่าห่วง จะน่าห่วงก็ต่อเมื่อถ้ามันมีก้อนเนื้อข้างในครับ วันนี้ก็เลยกลับบ้านอย่างสบายใจอีกครั้ง

สำหรับก้อนซีสต์ที่ว่านี้ในท้องผมมีเยอะแยะเลยครับ ที่ตับอ่อน (pancreas) นั้นมีถุงซีสต์เล็กๆนี้อยู่เต็มทั่วทั้งตับอ่อนเลย ส่วนที่ไตก็มีกระจัดกระจาย ทั้งเล็กทั้งใหญ่ ซึ่งตอนนี้ถึงแม้จะมีอยู่เยอะแต่ก็ไม่มีผลอะไรต่อร่างกายนัก เจ้าตัวที่เคยมีปัญหาก็จัดการไปหมดแล้ว อย่างเช่นที่ต่อมหมวกไตข้างขวาที่ทำให้เกิดความดันสูงขึ้น (และความดันในอารมณ์ที่แปรปรวนด้วย) ก็ถูกตัดทิ้งไปทั้งต่อมหมวกไตทั้งซีสต์เลย ส่วนที่ไตซ้ายที่กลายเป็นเนื้อร้ายก็เช่นกัน ตัดไปทั้งไตเลยครับ ตอนนี้ก็เลยมาคอยประคับประคองไตขวาให้ทำงานดีๆและอยู่กับเราไปนานๆครับ

เล่าเรื่องการไปตรวจสักหน่อยก็ดีนะครับ วันนี้ผมไปถึงโรงพยาบาลแต่เช้าหกโมงนิดๆครับ ที่จอดรถตรงท่าน้ำยังพอมีอยู่ แต่ก็ต้องไปจอดติดริมท่าน้ำเลย ก็เดินไกลนิดหน่อย ค่าจอด 40บาทครับ จอดได้ทั้งวัน ราคาเดียว ไปยื่นบัตรนัดก่อนเลยครับ อันนี้ห้ามลืม เพราะไม่อย่างนั้นเราจะต้องรอนานมากถึงแม้ว่าคิวจะเป็นตอนเช้าๆก็ตาม เพราะคนไข้เยอะครับ ผมเคยลืมเหมือนกันครับ ทำให้ต้องนั่งรอนานเลยกว่าจะรู้ตัว... (ฮ่าๆ เรื่องอย่างนี้ไม่ควรลืมหรอก แต่ก็เคยลืมไปแล้ว...) หลังจากยื่นบัตรแล้วก็ไปทานอาหารเช้าครับ ผมไปร้านติดแอร์ที่อยู่ใกล้ๆตึกผะอบครับ ถ้าใครไปโรงพยาบาลแล้วไม่อยากไปที่โรงอาหารกลางก็ไปร้านนี้ได้ครับ มีโจ๊ก มีข้าวมันไก่ ข้าวแกง และกาแฟอร่อยๆด้วยครับ ราคาก็ไม่ได้แพงอะไรเกินไปครับ หลังจากนั้นก็ไปรับผลตรวจ MRI ที่ห้องชั้นพื้นดิน อาคารผู้ป่วยนอก แล้วก็ขึ้นไปนั่งรอคิวเรียกชื่อเข้าตรวจที่หน้าห้อง 300 ชั้นสามครับ ระหว่างที่รอเจ้าหน้าที่ก็จะประกาศให้คนไข้ไปวัดความดันกับชั่งน้ำหนักก่อน วันนี้ความดันปกติดีครับ (กินยาความดันอยู่ทุกเช้า วันละเม็ด) แล้วก็เรียกให้ไปนั่งรอหน้าห้องตรวจ คุณหมอออกตรวจตอนประมาณ 9 โมงเช้าครับ นั่งรอประมาณหนึ่งชั่วโมงนิดๆก็ได้ตรวจ ตรวจเสร็จไปจ่ายเงินค่าตรวจ (ไม่มียา) 50บาท แล้วก็รอใบนัด หมอนัดอีกที 6 เดือนครับ วันนี้ก็สบายๆ ใช้เวลาไม่นานนักก็ตรวจเสร็จ เสร็จทุกอย่างวันนี้ตอนประมาณ สิบโมงห้าสิบครับ นับว่าเร็วและไม่ต้องเครียดกับการรอคอยเท่าไหร่

จริงๆแล้วช่วงที่นั่งรอเราต้องมีเทคนิกทำให้ไม่เครียดครับ นั่นก็คือสมาธินั่นเอง... ผมทดลองนั่งสังเกตลมหายใจครับ ตามลมหายใจเข้า-ออก ไปเรื่อยๆ สบายดีครับ ไม่เครียดเลย เดี๋ยวก็ถึงเวลาเอง สบายมาก

สำหรับคราวหน้าคุณหมอนัดให้ทำอัลตร้าซาวด์อีกครับ ช่วงนี้รู้สึกคุณหมอจะติดตามอาการเป็นพิเศษ ซึ่งก็ดีครับที่เราจะได้ทราบแต่เนิ่นๆถ้ามีอะไรผิดปกติ แต่ที่ลุ้นๆอยู่ก็คือสงสัยว่า เอ๊ะ... มันมีสัญญาณอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าที่ทำให้คุณหมอต้องจับตาเป็นพิเศษอย่างนี้ หวังว่าคงไม่มีอะไรหรอกครับ แฮ่ๆ คนเราบางครั้งก็ต้องมองโลกในแง่ดีไว้บ้างนะครับ เราหวังแต่สิ่งดีๆที่จะเกิดขึ้นอย่างน้อยเราก็จะไม่เครียดมากตอนที่มันยังไม่เกิด ไม่เหมือนกับการคิดถึงแต่สิ่งร้ายๆที่จะเกิดขึ้นนะครับ อันนั้นจะทำให้เราเครียดมากถึงแม้ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม...

แล้วคุยกันใหม่ครับ สวัสดีครับ

วันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2556

ลมแล้งมาแล้ว

ภาพจาก isan.clubs.chula.ac.th
สวัสดีครับ

วันนี้ไปยืมรูปมาจากเว็บอื่นครับ สาเหตุที่ไม่เอารูปที่ตัวเองถ่ายมาก็เพราะว่ามันไม่สวยเหมือนรูปคนอื่นครับ ผมถ่ายด้วยมือถือแบบรีบๆด้วย เรียกว่าดูไม่ได้เลย ไม่กล้าเอามาอวดครับ ช่วงนี้ผมกลับบ้านเพชรบูรณ์บ่อยๆ ดอกไม้ที่เห็นสองข้างทางตอนที่เข้าใกล้จังหวัดเพชรบูรณ์ก็มีทั้งคูณ (บางที่เรียกลมแล้ง) ตะแบกสีม่วงๆขาวๆ บางครั้งก็จะเห็นต้นอะไรก็ไม่ทราบเหมือนกัน ดอกสีชมพูอมขาวเต็มต้นไปหมด ใบก็ไม่ค่อยมี สวยมากครับ แล้วตรงเกาะกลางถนนช่วงนี้ดอกเฟื่องฟ้าหลากสีก็พากันออกดอกสะพรั่งไปหมด สวยแบบร้อนๆครับ แต่ดูแล้วก็สดชื่นดี สดชื่นในแบบหน้าร้อนครับ กลับบ้านนอกคราวนี้ตอนกลางคืนไม่หนาวแล้ว เริ่มจะร้อนๆขึ้นมาแล้ว ใกล้สงกรานต์แล้วครับ หลายๆคนคงจะเริ่มวางแผนหยุดสงกรานต์กันแล้ว รถปีนี้คงเยอะขึ้นกว่าปีที่แล้ว ยังไงก็วางแผนเดินทางกันดีๆนะครับ จะได้ไม่หงุดหงิดตอนที่เจอรถติดเยอะๆ

วันนี้ไม่มีอะไรมาเขียนเป็นพิเศษครับ เรื่องโรคก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า เท่าที่เห็นคนที่มาโพสต์กันก็มักจะมีเรื่องผ่าตัดไตเพราะเป็นมะเร็งกันเยอะครับ เป็นก็รักษากันไปครับ ทำอย่างอื่นในส่วนที่เราทำได้ไปก่อนครับ อย่ากังวลกับโรคให้มากนัก เอาธรรมะมาช่วยบ้าง ผมว่าถ้าทำใจให้สงบๆและปล่อยวางได้บ้างก็จะมีความสุขมากขึ้นครับ

ที่บ้านผมที่ต่างจังหวัดช่วงนี้มีคนในตำบลตายติดๆกันทุกวันมาเป็นเวลานานเป็นเดือนๆแล้ว (น่าจะหลายเดือนแล้วด้วย) ทำให้ชาวบ้านต้องเอาเสื้อสีแดงหรือผ้าสีแดงมาห้อยไว้ที่หน้าบ้านกันแทบทุกหลังคาเรือน นัยว่าเพื่อเป็นการแก้เคล็ดอะไรอย่างนั้นครับ หรือเพราะเหตุผลอย่างไรผมก็ไม่แน่ใจนักเพราะไม่ได้คุยกับใครเรื่องนี้เลย ได้แต่สังเกตเห็นตอนขับรถกลับบ้านครับ ก็ปลงครับ ชีวิตก็อย่างนี้...

แล้วคุยกันใหม่ครับ สวัสดีครับ

วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2556

ทำ MRI ช่องท้องมาครับ

สวัสดีครับ

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาผมไปตรวจ MRI ที่ศิริราชตามแพทย์สั่งมาครับ ทำคราวนี้ก็เพื่อติดตามผลหลังจากที่ผ่าตัดไตซ้ายและต่อมหมวกไตขวาออกไปตอนต้นปี 54 นั่นเองครับ ความจริงแล้วตอนนี้ยังไม่มีอาการผิดปกติอะไรครับ คุณหมอให้ไปตรวจอีกครั้งเพื่อจะยืนยันเท่านั้นเองครับว่าภายในยังอยู่ในสภาพเดิมหรือเปล่าหรือว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว แล้วคราวนี้ต้องไปพบหมอใหญ่หรืออาจารย์หมอด้วยครับ ผมจะไปพบอ.ธวัชชัยวันที่ 19 มีนาคมนี้ครับ หวังว่าคงไม่มีอะไรให้ต้องตื่นเต้นกันอีก จริงๆแล้วก็แอบตื่นเต้นนิดหน่อยครับ ลุ้นเหมือนกันว่าจะมีอะไรผิดปกติอีกหรือเปล่า แล้วจะเอามาเล่าให้ฟังกันหลังจากไปพบแพทย์มานะครับ

สำหรับค่าทำ MRI นั้นอยู่ที่ 13,800 บาทครับ ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมง วันที่ผมไปทำเป็นวันอาทิตย์ครับ ค่อนข้างว่าง ก็เลยสบายครับ ไม่ต้องไปรอคิวนาน ไปถึงตอนบ่ายโมงตามนัดก็ได้ทำเลย การเตรียมตัวก็ไม่มีอะไรมาก สามารถทานอาหารได้ตามปกติ ก่อนจะเข้าเครื่องตรวจก็แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่เค้าเตรียมไว้ แล้วเค้าก็จะทำการเปิดเส้นเลือดโดยการแทงเข็มเข้าที่เส้นเลือดหลังมือซ้ายครับ เอาเข็มคาไว้พร้อมกับหลอดฉีดยาครับ พอเข้าไปนอนให้เครื่องสแกนตรวจได้สักครู่ ประมาณเกือบชั่วโมงมังครับ เจ้าหน้าที่ก็จะมาฉีดสารเหนี่ยวนำแม่เหล็กเข้าเส้นเลือดให้ ซึ่งในขณะที่น้ำยาไหลเข้าเส้นเลือดนั้นก็รู้สึกปวดๆแขนนิดหน่อย แต่ก็ทนได้สบายๆครับ ไม่มีอะไรมาก จากนั้นก็เข้าเครื่องสแกนต่อ ซึ่งคราวนี้ไม่ค่อยนานครับ ต่ออีกประมาณ 5 นาทีก็เสร็จ

ขณะที่อยู่ในเครื่องสแกนนี้ห้ามหลับนะครับ ถึงแม้ว่าจะได้นอนสบายๆ อากาศเย็นๆก็ตาม เพราะเจ้าหน้าที่จะบอก (ผ่านเครื่องขยายเสียง) ให้หายใจเข้า-หายใจออกแล้วกลั้นใจนิ่งๆไว้ จากนั้นเครื่องก็จะเริ่มทำงาน มีเสียงดังแป้กๆๆๆๆๆๆ ต่อเนื่องกัน บางครั้งก็นับได้ เกือบสิบครั้ง บางครั้งก็ 8 ครั้งครับ ไม่แน่นอน ผมเผลอหลับไปครั้งนึงเหมือนกัน สะดุ้งตื่นขึ้นมาเผลอหายใจไปแล้วด้วย กลัวโดนดุเหมือนกันครับ หรือถึงจะไม่ดุแต่ภาพสแกนคงออกมาไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ตอนเผลอหลับแล้วหายใจด้วย... ก็มันหลังอาหารเที่ยงนี่ครับ เวลางีบของผมเลย

ทำเสร็จแล้วเค้าจะให้นั่งพักสักห้านาทีครับ ถ้าเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติก็จะให้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปจ่ายตังค์แล้วกลับบ้านได้ ผมก็นั่งมึนๆ (น้อยๆ) อยู่แป๊บนึงครับ ไม่รู้ว่ามึนเพราะฤทธิ์ยาหรือเพราะว่าง่วงเหมือนกัน แต่ท่าทางจะเป็นเพราะง่วงมากกว่าครับ

เสร็จแล้วก็ขับรถกลับบ้าน ไม่มีอะไรผิดปกติครับ ขับรถได้ แล้วก็รอลุ้นผลกันต่อไป...

สวัสดีนะครับ

วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

วันเวลาที่ผ่านไป ไม่ได้เสียเปล่า

สวัสดีครับ

วันนี้กลางสัปดาห์แล้ว อีกสองวันก็จะเป็นวันเสาร์ ซึ่งหลายๆคนก็จะได้พักผ่อนจากการทำงานกัน แต่หลายๆคนก็คงยังต้องทำงานกันต่อ ก็ขอให้สนุกกันนะครับ หลายๆท่านก็คงสนุกกับการทำงาน เพราะได้ทำงานที่ตัวเองถนัด แล้วก็ชอบด้วย แต่หลายๆคนก็อาจจะกำลังพยายามทำใจให้ชอบงานที่กำลังทำอยู่ก็ได้ ยังไงก็ขอให้มีความสุขกันทุกคนนะครับ

ผมเข้าไปอ่านข้อมูลอัพเดทของการศึกษาเพื่อหาวิธีรักษาโรคนี้ ซึ่งจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีการค้นพบวิธีรักษาให้หายขาดได้ มีแต่เพียงการรักษาไปตามอาการที่ปรากฎ เช่นการผ่าตัด การทำคีโม หรือการฉายรังสีเป็นต้น แต่ความหวังในการค้นพบวิธีรักษาก็ยังมีอยู่ครับ และในความเป็นจริงก็เพิ่มขึ้นทุกวันๆด้วย วงการแพทย์นั้นได้ทำการศึกษาวิจัยเรื่องนี้กันอย่างจริงจังอยู่ตลอดเวลาครับ ความก้าวหน้านั้นก็แน่นอนครับว่าก็ต้องมีเพิ่มขึ้นทุกวันเช่นกัน สักวันหนึ่งวิธีการรักษาก็ต้องถูกค้นพบครับ ถ้าไม่รุ่นเราก็คงจะเป็นรุ่นลูกๆหลานๆ แน่นอน ซึ่งก็ดีและน่าพอใจเหมือนกันใช่ไหมครับ

ก่อนจากกันวันนี้ขอยกคำพระท่านหนึ่งมาไว้ให้อ่านกัน ณ ที่นี้ครับ ท่านว่า สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ดีทั้งสิ้น... ขอให้มีความสุขกันทุกท่านครับ สวัสดีครับ

วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ไปฟังเทศน์โดยพระอาจารย์มิซูโอะ คเวสโก


สวัสดีครับ

เมื่อตอนเที่ยงถึงบ่ายโมงวันนี้ผมโชคดีได้มีโอกาสไปนั่งฟังเทศน์โดยพระอาจารย์มิซูโอะ คเวสโกที่หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ (สวนโมกข์กรุงเทพ) ใกล้ๆที่ทำงานนี่เองครับ หนึ่งชั่วโมงที่นั่งฟังได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วครับ เพราะขณะที่นั่งฟังอยู่นั้นใจก็คิดตามและเป็นสมาธิอยู่กับเสียงของท่านอยู่ตลอดเวลาครับ วันนี้สิ่งที่ท่านสอนนั้นท่านเน้นเรื่องการมีสมาธิจากอานาปาณสติครับ ซึ่งก็คือการมีสติจับอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก เพื่อการทำสมาธิและมีความสุขในขณะนั้น มีจิตที่โปร่งเบา และสบายครับ ท่านเน้นว่าเมื่อมีสติรู้สึกตัว เช่นในระหว่างพักชั่วโมงของการทำงาน เป็นต้น เราก็ให้เอาสติมาจับอยู่ที่ลมหายใจเข้า-ออก หายใจเข้าลึกๆ และหายใจออกยาวๆ ครับ ทำอย่างนี้ครั้งละแค่หนึ่งนาทีเราก็สามารถมีจิตใจที่มีความสุข เบา สบายได้แล้ว ลองดูกันนะครับ

ขอให้มีความสุขกันทุกคนนะครับ สวัสดีครับ

วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ภาพโครโมโซม

23 pairs of chromosomes
                                        ภาพจาก science.education.nih.gov

สวัสดีครับ วันนี้เอารูปแสดงโครโมโซม (chromosomes) มาให้ดูครับ มนุษย์เรามีโครโมโซมอยู่ 23 คู่นะครับ สำหรับยีน VHL นี้จะอยู่ที่โครโมโซมคู่ที่ 3 ครับ สำหรับหน้าที่และส่วนประกอบหลักอื่นๆนั้นวันนี้ผมขอยังไม่เอามาพูดนะครับ แต่ที่จริงแล้วในตอนแรกๆของบล็อกที่เขียน ผมก็ได้เขียนถึงเรื่องนี้ไปบ้างแล้วเหมือนกัน ลองไปหาอ่านดูนะครับ วันนี้ที่เอามาลงให้ดูก็เพราะเห็นว่ามันสวยดี อีกอย่างเรื่องอย่างนี้ก็หาดูไม่ง่ายนัก พอเจอแล้วก็เลยอยากเอามาให้ดูกันเท่านั้นแหละครับ ไม่มีอะไรมาก

ถ้าสังเกตุจะเห็นว่าคู่ที่ 23 สุดท้ายนั้นจะมีสัญลักษณ์ X, Y ครับ ซึ่งก็คือโครโมโซมเพศนั่นเอง ถ้าสนใจเป็นพิเศษให้ลึกกว่านี้ก็ลองไปหาอ่านดูกันนะครับ ผมว่าจากเนตก็น่าจะหาได้ไม่ยาก

สวัสดีครับ

วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

มีดอกไม้สวยๆมาฝาก

สวัสดีครับ

วันนี้มีดอกไม้สวยๆมาฝากจริงๆครับ แต่เป็นแค่รูปนะครับ น้องสาวจัดไว้ที่มุมหนึ่งของระเบียงหน้าบ้านที่เพชรบูรณ์ ถ่ายเล่นๆแต่เห็นว่าสวยดี ก็เลยอยากจะเอามาให้ดูกันเล่นๆครับ ช่วงนี้ที่เพชรบูรณ์อากาศตอนกลางคืนยังเย็นสบายดีครับ ยิ่งตอนดึกๆนี่เรียกว่าหนาวได้เลยครับ ต้องนอนห่มผ้านวม (ผืนไม่หนามาก)กันเลยทีเดียว

ขอให้มีความสุขกับการทำงานนะครับ สวัสดีครับ

วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2556

พังผืดที่จอประสาทตา

Picture of penitent snow, or nieve penitente, Chile
                             Photograph by Art Wolfe, Getty Images (จาก Nationalgeographic.com)

สวัสดีครับบบ

กลับมาอีกครั้ง วันนี้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจเนื้องอกในตาตามนัดที่ศิริราชมาครับ ก็ตามธรรมเนียมคือเอาผลมารายงานให้ฟังกัน จะได้เป็นข้อมูลสำหรับท่านที่สนใจนะครับ เผื่อมีใครจะไปบ้างจะได้เตรียมตัวกันได้พร้อมนะครับ วันนี้ผมรีบตื่นแต่เช้าเพราะรู้ว่าถ้าสายจากที่บ้านก็แปลว่าได้ตรวจบ่ายแน่ๆ จากประสบการณ์มันบังคับครับ ว่าต้องตื่นแต่เช้า ห้ามขี้เกียจเด็ดขาด ว่าแล้วก็ตื่นตีห้าตรงเป๊ะ แล้วก็ได้ผลครับ เพราะผมได้คิวหยอดยาขยายม่านตาเป็นคนแรกเลย ได้หยอดตาประมาณเจ็ดโมงห้าสิบครับ หลังจากที่ยื่นบัตรนัดไปตอนหกโมงครึ่ง แล้วลงไปทานข้าวเช้าก่อน...

นั่งหลับตารอให้ม่านตาขยายไปได้สักยี่สิบนาทีเจ้าหน้าที่ก็มาเอาไฟฉายส่องดูตาแล้วก็หยอดยาเพิ่มอีกครั้ง คราวนี้นั่งหลับตาต่อไปอีกไม่นาน (แต่ก็หลับเลยแหละครับ) เค้าก็มาเรียกดูตาอีกทีว่าขยายได้ที่หรือยัง พอเห็นว่าม่านตาขยายได้ที่แล้วก็บอกให้ไปถ่ายรูปจอตาที่ห้องถ่ายรูป ซึ่งก็ได้คิวแรกอีกเหมือนกัน (แน่นอนครับ เพราะขยายม่านตาคนแรก) ถ่ายรูปใช้เวลาไม่นานนัก น่าจะแค่สิบนาทีมังครับ แป๊บเดียวแต่ก็ไม่ค่อยน่าสนุกสักเท่าไร เพราะว่าต้องทำตาโตๆสู้กับแสงแฟลตจากกล้องถ่ายรูปนี่ครับ แต่ยังไงก็ตามผมผ่านการถ่ายรูปมาหลายครั้งแล้ว ก็เลยชินๆ กับการที่ต้องลืมตาสู้แสง แล้วก็เหลือบตามองไปในทิศทางที่บางครั้งก็ต้องฝืนกันมากๆ เช่นมองไปข้างบนเพดานให้สุดๆ (อีกๆ) อะไรอย่างนี้เป็นต้นครับ จบแล้วก็สนุกดีครับ แล้วก็ไปต่อที่หน้าห้องหมอ เอาแฟ้มคนไข้ไปใส่ตะกร้าไว้ แล้วเจ้าหน้าที่ก็จะมาเรียกชื่อเราให้ไปนั่งรอหน้าห้องคุณหมออีกทีครับ ซึ่งหน้าห้องตรวจนี่แหละครับ ที่คนไข้อาจจะไม่มีที่ให้นั่งกันเพียงพอ ต้องยืนรอครับ ยกเว้นคนที่กำลังจะเป็นคิวต่อไปก็จะได้นั่ง แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่นานมากครับ พอทนได้ แต่ผมว่าก่อนไปก็ไปฝึกกำลังขากันมาหน่อยก็ดีเหมือนกันนะครับ จะได้ยืนกันได้นานๆ ไม่ต้องบ่นปวดเมื่อยครับ ...

ผลตรวจออกมาคุณหมอบอกว่าเห็นคล้ายๆพังผืดที่จอประสาทตาซ้ายครับ! คุณหมอชี้ให้ดูที่หน้าจอคอมพ์ด้วย เจ้าพังผืดที่ว่านี้ก็มีลักษณะคล้ายๆร่มเล็กๆกางออกอยู่ตรงด้านล่างๆใกล้ๆส่วนกลางของตาครับ แต่มันคงอยู่ติดกับผนังด้านหลัง อันนี้ผมเดาครับ เพราะคิดว่าจอประสาทตามันคงอยู่ทางด้านหลังของลูกตากลมๆน่ะครับ ดูแล้วก็ไม่น่ากลัวอะไร และมันก็สีจางๆด้วย คุณหมอก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เช่นว่ามันมีอันตรายอะไรบ้าง อะไรอย่างนี้เป็นต้นครับ ผลอีกอย่างคือคุณหมอบอกว่าไม่มีเบาหวานขึ้นตาครับ ผมก็เลยเฮ(ในใจ)ได้อีก ฮ่าๆ ข่าวดีทั้งนั้นนี่ครับ

คุณหมอบอกว่าคราวหน้านัดยาวๆเลยก็แล้วกัน คราวหน้าก็อีกแปดเดือนครับ ค่อยไปลุยกันใหม่

ค่าใช้จ่ายวันนี้สองร้อยห้าสิบบาทครับ ค่าตรวจห้าสิบ ค่าถ่ายรูปและอื่นๆอีกสองร้อยครับ ไปรับใบนัดแล้วก็ชำระเงิน เรียบร้อยครับสำหรับวันนี้ ได้กลับบ้านตอน 11 โมงเช้าพอดี

พบกันใหม่ครับ สวัสดีครับ

วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2556

เนื้องอกในสมองอาจยุบเองได้ด้วย

สวัสดีครับ

ช่วงนี้ไม่ค่อยมีรูปมาแบ่งปันกันคงไม่เป็นไรนะครับ ที่จริงก็ยังเดินทางไปโน่นมานี่อยู่เหมือนเดิมแต่ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปก็เลยไม่มีมาลง อีกอย่างถ้าไม่จำเป็นผมไม่ค่อยอยากเอารูปของคนอื่นมาลงครับ ก็เลยขอเชิญอ่านอย่างเดียวไปก่อนก็แล้วกันนะครับช่วงนี้

ไม่แน่ใจว่าผมเคยเขียนไว้หรือเปล่าว่าพออายุมากขึ้นการเกิดเนื้องอกในสมองของคนที่เป็นโรค VHL นี้มักจะลดลง อันนี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไปสำหรับทุกคนหรอกนะครับ แต่ส่วนใหญ่แล้วอาจจะเป็นอย่างนี้ เค้าก็เลยเขียนไว้อย่างนี้ ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับผมไม่น้อย แฮ่ๆ ทำไมเหรอครับ...ก็เพราะว่าอายุมากขึ้นยังไงล่ะครับ ตอนนี้ก็เลยหวังอย่างจริงจังว่าเจ้าพวกเนื้องอกกับซีสต์ต่างๆ มันน่าจะเพลาๆมือลงไปได้แล้ว อย่าขยันทำงานกันนักเลย ยิ่งช่วงนี้มีข่าวเรื่องที่ผู้ใหญ่ทางการเมืองท่านหนึ่งได้เสียชีวิตไปเนื่องจากภาวะไตวายเฉียบพลันแล้วด้วย นี่ก็ทำให้ผมต้องกลับมามองตัวเองอยู่เหมือนกันครับ ผมไม่ทราบจริงๆว่าในสภาพที่ร่างกายเป็นเบาหวานและต้องทานยาจำนวนมากอยู่เป็นประจำนั้น จะมีผลกับไตอย่างไร? อันนี้ที่จริงแล้วก็ทำให้กังวลอยู่เหมือนกัน เคยได้ยินมีคนบอกว่าเบาหวานมีผลต่อไตโดยตรงเลยนะครับ ที่จะทำให้ไตเสื่อมได้ ยังไงก็ระวังกันบ้างก็แล้วกันครับ สำหรับคนที่มีน้ำตาลในเลือดสูง

สำหรับเรื่องเนื้องอกในสมองที่ผมบอกว่าอาจจะยุบเองได้นั้น จริงๆแล้วก็ได้ข้อมูลมาจากคุณหมอด้วยครับ คือมีการพบว่าคนไข้บางคนนั้นเนื้องอกในสมองยุบหายไปเองก็มี ล่าสุดเพื่อนในเฟสบุ้ค (ฝรั่ง) ก็บอกว่าสามีเค้าตรวจพบว่าเนื้องอกในสมองมีขนาดลดลงด้วย ... ก็เป็นข่าวดีมากๆครับ ที่มีเรื่องอย่างนี้ด้วย มันทำให้เรามีความหวังว่าสักวันหนึ่งเรื่องอย่างนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเราเองบ้าง แต่ที่สำคัญคือเราก็ไม่รู้ว่าอะไรทำให้มันยุบนี่สิครับ ผมเคยคิดเล่นๆว่าบางทีการสวดมนต์ทำสมาธิอาจจะมีผลบ้างก็ได้ แต่ก็ไม่รู้จะพิสูจน์อย่างไร และการทำสมาธิก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับตัวผมเองด้วย ทำยากครับ จิตใจมักจะล่องลอยไปที่ไหนๆ อยู่เรื่อยเลย เคยอ่านหนังสือของท่านพุทธทาสท่านบอกว่าจิตตอนแรกๆมันก็เหมือนลิงนี่แหละ มันไม่ยอมอยู่นิ่งๆหรอก เราต้องฝึก ต้องฝึกจนเราควบคุมมันได้ก่อนแล้วมันจึงจะใช้งานได้ต่อไป ก็คงต้องพยายามต่อไปเรื่อยๆครับ ตราบใดที่ยังมีโอกาสทำอยู่

พบกันใหม่ครับ ขอให้มีความสงบ สะอาด และเบิกบานใจกันทุกคนนะครับ สวัสดีครับ

วันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2556

Von Hippel-Lindau (VHL) คืออะไร...อีกครั้งครับ

สวัสดีอีกครั้งครับสำหรับวันนี้

มาเขียนต่อจากเรื่องก่อนหน้านี้อีกหน่อยนะครับ แต่คราวนี้จะเปลี่ยนเรื่องนิดหน่อยครับ เอาเรื่องเก่าๆมาเขียนใหม่ แต่ก็เป็นเรื่องที่สำคัญและมีความกระชับมากขึ้นครับ พอดีได้เข้าไปเจอบทความในอินเตอร์เน็ตซึ่งกล่าวถึงโรคนี้ได้กระชับดี ก็เลยอยากจะเอามาเขียนไว้ให้อ่านกันอีกสักครั้ง ก็สำหรับท่านที่เพิ่งเข้ามาเจอเว็บบล็อกด้วยครับ ซึ่งผมเดาว่าคงจะไม่ได้อ่านบทความตอนแรกๆที่เขียนเกี่ยวกับโรคนี้ไว้บ้างแล้ว วันนี้ก็เป็นโอกาสที่ดีครับที่จะได้เอามาเขียนไว้อีกครั้ง เชิญครับผม

โรค VHL นี้เป็นความผิดปกติทางกายที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมโดยผู้ป่วยจะเป็นเนื้องอก (tumors) และมีถุงน้ำ (cysts) เกิดขึ้นในส่วนต่างๆของร่างกาย ซึ่งมีทั้งแบบที่เป็นมะเร็งและไม่ใช่มะเร็ง โดยมักจะเกิดขึ้นในช่วงวัยผู้ใหญ่ตอนต้นเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดทุกช่วงอายุเช่นกัน

เนื้องอกที่เรียกว่า hemangioblastoma (ฮี แมง จิ โอ บลาส โต มา) เป็นลักษณะเฉพาะของโรค VHL ซึ่งเกิดจากการสร้างหลอดเลือดขึ้นมาใหม่ และมักจะไม่ใช่มะเร็ง นะครับ ซึ่งถ้าเกิดขึ้นที่สมอง หรือไขสันหลังจะทำให้ปวดหัว อาเจียน อ่อนเพลีย และกล้ามเนื้ออ่อนแรงได้ และยังสามารถเกิดขึ้นในส่วนที่ไวต่อแสงในจอประสาทตา ซึ่งเรียกว่า retinal angioma ครับ (เรียกง่ายๆว่าเนื้องอกจอประสาทตาก็ได้ครับ) ซึ่งจะทำให้มีผลต่อการมองเห็นได้ ถ้ามันโตมากๆก็อาจจะทำให้มองไม่เห็นได้นะครับ ดังนั้นควรได้รับการตรวจรักษาตั้งแต่เนิ่นๆนะครับ

โรคนี้ยังทำให้เกิดถุงน้ำในไต ตับอ่อน ส่วนของอวัยวะสืบพันธุ์เพศชายได้อีกด้วย และโรคนี้มักจะมีส่วนทำให้เกิดมะเร็งไต หรือเนื้องอกที่ไตแบบที่ไม่ใช่มะเร็ง ที่เรียกว่า Pheochromocytoma หรือ ฟี-โอ-โคร-โม-ไซ-โต-มา ซึ่งจะมีผลต่อต่อมหมวกไต โดยอาจทำให้เกิดความดันโลหิตที่สูงจนเป็นอันตรายได้ (แต่ในหลายๆกรณีก็อาจจะไม่มีอาการอะไรเลยก็ได้เช่นกัน)

สิบเปอร์เซนต์ของคนที่เป็นโรคนี้จะมีอาการเนื้องอกในหูชั้นใน ซึ่งไม่ใช่มะเร็ง และเรียกว่า endolymphatic sac tumors ซึ่งอาจจะทำให้เกิดปัญหาในการได้ยิน และการทรงตัวได้ด้วย

โรค VHL แบ่งออกเป็นสองชนิดตามลักษณะความเสี่ยงต่อการเกิด Pheochromocytomas ดังนี้ครับ
  1. ชนิดที่1 โอกาสในการเกิดเนื้องอกชนิดนี้ (Pheochromocytoma) น้อย
  2. ชนิดที่2 โอกาสในการเกิดเนื้องอกชนิดนี้ (Pheochromocytoma) มาก
โดยชนิดที่2 ยังแบ่งออกเป็น 2A 2B และ 2C โดยขึ้นอยู่กับโอกาสในการเกิดเนื้องอกที่ไต (renal cell carcioma and hemangioblastoma) ด้วย สำหรับชนิดย่อย 2A 2B 2C นี้ผมไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันว่าเค้าแบ่งอย่างไรนะครับ เอาเป็นว่าแบ่งย่อยๆได้ประมาณนี้แหละครับ

ตามสถิติมีคนที่เป็นโรค VHL ในโลกเฉลี่ยแล้ว หนึ่งคนใน 32,000 คนครับ หรือ 0.003% นั่นเอง

ทีนี้มาถึงกระบวนการเกิดในระดับยีน (gene) กันนะครับ มาดูว่ามีรายละเอียดอย่างไรกันบ้าง เอาแบบง่ายๆนะครับ คงไม่ลงลึกเท่าไร อีกอย่างผมก็ห่างๆกับเรื่องทางวิชาการด้านนี้มานานแล้วด้วยครับ ความรู้ล่าสุดก็คือตอนเรียนวิชาชีววิทยาตอนมัธยมปลายโน่นแหละครับ นานนนนมากแล้วจริงๆด้วย... เค้าบอกว่าโรคมันเกิดจากการผ่าเหล่า (mutation) ของยีน VHL ครับ ทำไมล่ะครับ ก็เพราะว่าเจ้ายีน VHL นี้ที่จริงแล้วมีหน้าที่ในการควบคุมการเกิดของเนื้องอกโดยการควบคุมไม่ให้เซลล์มีการเจริญเติบโตโดยการแบ่งตัวที่เร็วมากเกินไปจนผิดปกติครับ ซึ่งหากมีการเกิดการผ่าเหล่าของยีน VHL ขึ้นมันจะทำให้ไม่มีการสร้างโปรตีน VHL หรือมีการสร้างแต่ผิดปกติ ซึ่งนั่นแหละครับที่จะเป็นสาเหตุของโรคนี้ เข้าใจไม่ยากใช่ไหมครับ แฮ่ๆ..

พอก่อนไหมครับ เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกันครับ ค่อยมาต่อ วันนี้ก็ขอให้มีความสุขสนุกสนานกับทุกงานทุกกิจกรรมที่ทำกันนะครับ สวัสดีครับ

สู้กับเบาหวาน ยกต่อไป


สวัสดีเช้าวันอาทิตย์ครับ

เมื่อวานไปหาหมอเบาหวานที่ศิริราชตามนัดมาครับ มีทั้งตรวจเลือดและตรวจปัสสาวะเพื่อดูการทำงานของไตด้วย คือดูว่ามีโปรตีนรั่วหรือเปล่า ผลคือไม่มีครับ คุณหมอบอกว่าไตทำงานปกติดีมาก! เยี่ยมไปเลยครับ... ผมก็เลยคลายความกังวลลงไปเยอะเลย เพราะจากเมื่อคราวที่แล้วที่ไปตรวจไตแล้วคุณหมอสั่งให้ทำ MRI ภายในสามเดือน ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมกังวลอยู่ไม่น้อย อีกอย่างครับที่บอกไปว่ามีติ่งเนื้อในถุงน้ำดีจากการตรวจอัลตร้าซาวด์นั้น เมื่อวานคุณหมอบอกว่าไม่มีปัญหา ก็เลยโล่งไปอีกเหมือนกัน

แต่ปัญหาที่ยังแก้ไม่ตกก็เรื่องน้ำตาลสูงนี่แหละครับ เมื่อวานผลออกมาว่าน้ำตาลสะสม (HbA1c) ยังอยู่ที่ 8.3 ซึ่งต่ำกว่าเมื่อสี่เดือนที่แล้วอยู่นิดเดียวเอง คุณหมอบอกว่ามันน่าจะเป็นเจ็ดกว่าอะไรประมาณนั้นครับ คุณหมอก็เลยปรับยาให้โดยการเพิ่มยาทานพร้อมอาหารเช้า-เย็นมาอีกหนึ่งตัว คือยา Basen FDT ครับ ตัวยาคือ Voglibose 0.2mg ครับ พร้อมกับต้องทานตัวไมฟอร์มินเพิ่มตอนกลางวันอีกหนึ่งเม็ด หวังว่าคราวนี้คงจัดการได้สักทีครับ

นอกจากเพิ่มยาแล้ว ส่วนตัวผมเองก็คงจะระมัดระวังเรื่องอาหารให้มากขึ้นอีก ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ก็ระวังแล้ว แต่หลายๆ ครั้งก็ยังตามใจตัวเองอยู่บ้าง เช่น บางครั้งก็ยังทานกาแฟใส่น้ำตาลอยู่ โดยเฉพาะตอนที่ขับรถเดินทางไกลผมมักจะมีนิสัยที่ไม่ดีอย่างหนึ่งคือชอบทานกาแฟเย็นครับ ถึงแม้จะบอกคนขายว่าเอาหวานน้อยแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่ดีอยู่ดี ก็กาแฟสดมันหอมนี่ครับ อีกอย่างที่สำคัญมากก็คือบรรยากาศมันให้ ผมเป็นพวกแพ้บรรยากาศครับ ลองนึกดูสิครับ ได้ขับรถเดินทางไกลๆ มีแต่ธรรมชาติ ต้นไม้เขียวขจี ภูเขาที่ขนาบอยู่สองข้างทาง พร้อมกาแฟสดหอมๆ... โอย... นี่มันสวรรค์ชัดๆ ฮ่าๆ แล้วเป็นไงครับ สุดท้ายก็เลยต้องเพิ่มยาไงครับ ดังนั้นต่อไปนี้คงต้องเอาน้ำเปล่าเย็นๆมาแทนกาแฟดำๆ เครื่องดื่มสีดำดั่งนรกที่มาจากสวรรค์กันเสียทีนะครับ อีกอย่างหนึ่งที่ต้องมาคู่กันและจะขาดไม่ได้คือการออกกำลังกายครับ ต้องทำให้สม่ำเสมอเหมือนเดิม ซึ่งที่จริงตอนนี้ผมทำจนแทบจะเป็นนิสัยไปแล้ว ตอนค่ำๆต้องใส่รองเท้าไปเดิน-วิ่งครับ หยุดไม่ได้แล้ว อีกเรื่องก็คืออารมณ์ครับ ที่ต้องทำให้ดีอยู่เสมอ อย่าเครียดครับ อย่าเครียด (บอกตัวเอง...)

วันนี้ว่าจะเขียนเรื่อง VHL อีกสักนิด แต่เดี๋ยวก่อนครับ ขอเวลานิด แล้วกลับมาพบกันใหม่ครับ สวัสดีครับ

วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2556

หลักพุทธศาสนาขั้นมูลฐาน

สวัสดีครับ

วันนี้ผมอยากจะมาแบ่งปันเรื่องสั้นๆที่น่าจะเกี่ยวข้องกับพวกเราที่เป็นชาวพุทธกันอยู่ทุกวันนี้นะครับ คือผมมีหนังสือของท่านพุทธทาสภิกขุอยู่เล่มหนึ่งครับ ที่ชื่อว่าแก่นพุทธศาสน์ ซึ่งเป็นหนังสือที่ดีมากที่ได้รวบรวมคำสอนของท่านคราวที่ไปเทศนาให้กับคณะแพทย์และนักศึกษาแพทย์ โรงพยาบาลศิริราชเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2504 ผมยังอ่านไม่จบหรอกครับ แต่เท่าที่ได้อ่านผ่านๆไปหลายๆหน้าแล้วก็เห็นว่ามีเนื้อหาที่น่าสนใจมากๆที่เราชาวพุทธน่าจะได้ศึกษาไว้บ้างครับ สำหรับวันนี้เรื่องที่ผมอยากจะหยิบยกมาเขียนไว้ไห้ได้อ่านกันบ้างนิดหน่อยก็จะเป็นเรื่องของแก่นของศานาครับ ท่านบอกว่าหลักพุทธศาสนาขั้นมูลฐานนั้นมีจุดมุ่งเฉพาะไปยังความดับทุกข์ครับ... และยังบอกอีกว่าสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดับทุกข์นั้นพระพุทธเจ้าท่านทรงปฏิเสธไม่ยอมเกี่ยวข้องด้วย อย่างเช่นตายแล้วเกิดหรือไม่ ... และอื่นๆอีกหลายอย่าง...

สำหรับวันนี้ผมต้องการยกมาเท่านี้แหละครับ (ขออภัยที่สั้นจริงๆด้วย) เพราะว่าเวลามีน้อยสำหรับวันนี้ซึ่งตอนนี้ก็เกือบสามทุ่มแล้ว อีกอย่างเนื้อหาจริงๆมีอีกเยอะมากครับ ผมก็เลยเอามาเฉพาะส่วนนี้ส่วนเดียว ซึ่งถึงแม้จะนิดเดียวจริงๆ แต่ผมก็เห็นว่าเป็นนิดเดียวที่สำคัญมากๆ สำหรับที่เราจะศึกษาต่อยอดออกไปเพื่อให้เข้าใจศาสนาพุทธได้มากขึ้น และปฏิบัติจนเห็นผลเป็นรูปธรรมแก่ตัวเองได้ครับ

สำหรับตัวผมเองก็พยายามที่จะทำสิ่งต่างๆที่เป็นการดับทุกข์ โดยเฉพาะสิ่งที่เกิดจากสัมผัสที่กาย เช่น ตา หู จมูก... และที่เกิดจากใจ เช่นความคิดอะไรต่างๆที่ผุดขึ้นมา ซึ่งบางครั้งเหตุการณ์ก็เกิดไปนานแล้วไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปี แต่ก็ยังเข้ามาทำร้ายจิตใจเราได้อยู่เรื่อยๆ อะไรพวกนี้เป็นต้นครับ ถ้าเรามีสติอยู่เสมอชีวิตก็น่าจะมีความสุขได้เรื่อยๆนะครับ คือสุขใจนั่นเองครับ ใจที่เบา สบาย และสะอาดครับ เอาล่ะครับ สงสัยต้องตัดสินใจที่จะมีความสุขได้แล้ว ณ บัดนี้... ไม่ต้องรอแล้วครับ

สวัสดีครับ

วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2556

หนทางไปสู่การค้นพบวิธีการรักษา ... มันเยื่ยมมากครับ...

สวัสดีตอนค่ำวันพุธแรกของปี 56 ครับ
เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม ปีที่แล้วผมได้รับอีเมล์จาก VHLFA ซึ่งก็เป็นเมล์ที่ส่งมาตามปกติเป็นประจำเพื่อส่งข่าวคราวความเคลื่อนไหวของกลุ่ม และความก้าวหน้าต่างๆของการศึกษาวิจัยเพื่อหาวิธีการหยุดยั้งโรคนี้ให้ได้ครับ แต่ฉบับนี้ผมค่อนข้างจะรู้สึกดีและตื่นเต้นเป็นพิเศษเพราะเค้าเขียนถึงความก้าวหน้าล่าสุดของวิธีการที่จะหยุดเจ้าโรคนี้ให้ได้ไงครับ ไม่โม้ต่อละครับ เชิญอ่านรายละเอียดกันได้เลยครับ

ยิ่งเราเรียนรู้กระบวนการเกิดและเติบโตของโรคมากเท่าไร เราก็จะมีโอกาสในการค้นพบวิธีการรักษามากขึ้นเท่านั้น ยีน VHL ควบคุมการเจริญเติบโตของหลอดเลือด (โดยเฉพาะหลอดเลือดฝอย...ผู้แปล) โดยกระบวนการที่เรียกว่า Angiogenesis ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับโปรตีน VHL (โปรตีนที่เป็นผลิตผลจากยีน VHL นั่นเอง) และโปรตีนที่เรียกว่า HIF (หรือ hypoxia - inducible factor)

ภายใต้สภาวะปกติ เส้นเลือดฝอยจะมีการเจริญเติบโตในที่ที่สมควรและในช่วงเวลาที่เหมาะสมและเมื่อจำเป็นเท่านั้น แต่ในกรณีที่มีความผิดปกติ (mutation or broken) ของยีน VHL แล้ว จะมีการเจริญเติบโตของเส้นเลือดฝอยที่มากเกินไป ซึ่งนี่เป็นลักษณะทั่วไปของมะเร็ง (มะเร็งทรวงอก ลำใส้ ตับอ่อน ไต ต่อมหมวกไต ปอด ตับ และโรค VHL ด้วย)

ปัจจุบันนี้มีการทดลองเพื่อหาวิธีการที่จะหยุดยั้งกระบวนการ Angiogenesis (หรือกระบวนการเติบโตของหลอดเลือด) ของโรคมะเร็งหลายๆชนิด ซึ่งหลายๆวิธีก็ได้รับการรับรองผลและอยู่ในช่วงของการใช้งานจริง เช่น ในการรักษามะเร็งไต ลำใส้ ทรวงอก และปอด ซึ่งยาเหล่านี้ก็กำลังถูกทดสอบในผู้ป่วยโรค VHL ด้วย ด้วยความหวังที่ว่าจะค้นพบตัวยับยั้งกระบวนการ Angiogenesis ที่มีผลข้างเคียงน้อยที่สุด

ซึ่งนอกจากการทดสอบทางการแพทย์เหล่านี้แล้ว ในขณะเดียวกันการวิจัยในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ก็กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้นเช่นกัน จุดประสงค์ก็เพื่อจะหาสิ่งใหม่ๆที่จะช่วยหยุดยั้งกระบวนการ Angiogenesis นั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่จะหยุดยั้งโปรตีน HIF โดยตรง

ดังนั้นจะเห็นว่าเงินทุนเป็นส่วนหนึ่งที่จำเป็นและสำคัญมากในขั้นตอนการค้นหาวิธีการรักษานี้ ทุกบาทมีค่าครับ...

ผมแปลบทความนี้จบพร้อมกับมีกำลังใจมากขึ้นและเริ่มเห็นแสงสว่างรำไรๆที่ปลายอุโมงค์เหมือนในรูปที่เอามาลงวันนี้ครับ ในความมีดมิดย่อมมีแสงสว่างที่ใดที่หนึ่งเสมอ... อย่าหยุดยั้งครับ ถ้ายังมีลมหายใจอยู่...

สวัสดีครับ