วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เปลี่ยนพฤติกรรม เปลี่ยนชีวิต

สวัสดีครับ

วันนี้มีข่าวดีที่สุดข่าวหนึ่งในชีวิตเมื่อไปพบหมอเพื่อตรวจน้ำตาลในเลือดตามนัดหลังจากที่ตรวจไปล่าสุดเมื่อ 4 เดือนที่แล้ว คุณหมอบอกว่า "ดีขึ้นทุกอย่างเลย" .. เย้ๆ ผมแสดงอาการดีใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ไม่ถึงกับกระโดดหรอกครับ ก็ดีใจแบบเล็กๆและไม่ให้เสียมารยาทต่อหน้าคุณหมอแค่นั้นแหละครับ นี่นับเป็นครั้งที่สองถ้าจำไม่ผิดว่าน้ำตาลลงเมื่อเทียบกับการตรวจก่อนหน้า ที่ผ่านมาผมเครียดมาตลอดเมื่อต้องไปพบหมอตามนัด คือนอกจากจะต้องรอนานแล้วยังต้องมาลุ้นกับผลเลือดอีก แล้วที่ผ่านมามันก็มีแต่คงที่กับสูงขึ้นตลอด พอตรวจเสร็จออกจากห้องหมอก็จะมีความตั้งใจขึ้นมาทีหนึ่งครับ ว่าจะเอาใหม่ ต่อไปจะตั้งใจให้มากขึ้นละ คราวหน้ามาตรวจ น้ำตาลต้องลง ต้องเป็นเท่านั้นเท่านี้ ก็ตั้งใจได้ไม่นานหรอกครับ พอผ่านไปสักระยะก็กลับมาเป็นอีกเหมือนเดิม คือก็ยังกินเหมือนเดิม ออกกำลังกายเท่าเดิม นอนเท่าเดิม ใช้ชีวิตแบบเดิม... อย่างนี้มันก็คงมีแต่แย่ลงสิครับ ก็ตัวเราเองก็คงแก่ลงไปทุกวันด้วย ร่างกายมันคงไม่แข็งแรงเหมือนตอนที่ยังเป็นละอ่อนอยู่แน่นอน ทีนี้การกำจัดน้ำตาลมันก็คงจะไม่ค่อยดีเหมือนตอนอายุยังน้อยหรอกมั้งครับ อันนี้ผมคิดเอาเองนะ ไม่รู้เหมือนกันว่าพออายุมากแล้ว ร่างกายมันจะมีโอกาสจัดการกับสิ่งที่ร่างกายไม่ต้องการได้ดีขึ้นในบางเรื่องได้หรือเปล่า แต่คิดว่าโดยทั่วไปก็คงจะไม่..

ผมไปหาหมอพร้อมกับได้ยาเพิ่มมาตลอด จนกระทั่งล่าสุดผมทานยามากขึ้นจนกระทั่งมีอาการน้ำตาลต่ำตอนกลางคืนช่วงประมาณตีสองถึงตีสามอยู่สองสามครั้ง ซึ่งมันเป็นตอนที่เรากำลังหลับสนิทเลยครับ โชคดีที่ยังตื่นมาหาอะไรหวานๆทานได้ทันเวลา ผมกลัวว่าถ้าวันหนึ่งผมนอนจนไม่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมามันจะเป็นยังไง กลัวจะหลับยาวแบบไม่ตื่นนะสิครับ หรืออาจจะตื่นมาแล้วเจอคนมีเขาอะไรประมาณนี้.. หลังจากนั้นผมตัดสินใจเลยว่า เอาละ จะไม่กินยามากเท่าเดิมอีกแล้ว ผมลองเปลี่ยนการกินยาไปมาสองสามแบบ จนสุดท้ายผมคิดว่าจะกินแค่ยา Glipezide ก่อนอาหารเช้า และยา Miformin หลังอาหารเช้า-กลางวัน-เย็น เท่านั้น ผมทดลองทำอย่างนี้มาตลอด 4 เดือนก่อนไปพบหมอและได้ผลตามที่รายงานไปนั่นแหละครับ แต่เดี๋ยวก่อนครับ นอกจากการกินยาแล้ว ในช่วงที่ผ่านมามันมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมากอันหนึ่งร่วมด้วย นั่นก็คือผมได้หยุดงานในออฟฟิศที่กรุงเทพฯ แบบระยะยาวไป 3 เดือน เพื่อพักผ่อนและดูและสุขภาพด้วยครับ ผมมีเวลาอยู่กับต้นไม้มากขึ้น มีเวลาอยู่กับธรรมชาติมากขึ้น เรื่องอาหารการกินก็พอจะควบคุมได้ดีขึ้นอีกนิดหน่อย คือเลือกกินได้บ้าง ไม่จำเป็นต้องไปซื้อกินทุกมื้อเหมือนเดิม ทำให้ลดการทานอาหารพวกไขมัน และแป้งลงไปได้เหมือนกัน ผมว่านี่น่าจะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้นนะครับ

วันนี้ตอนเข้าห้องไปพบคุณหมอผมก็ถามท่านว่าสบายดีไหม คุณหมอก็บอกก็ตามสภาพ สบายดี ชีวิตมันก็อย่างนี้แหละ อย่าไปอะไรมากเลยคุณ... อืม ดูเหมือนจะเป็นการตอบแบบคุยกันธรรมดา แต่พอมาคิดอีกทีผมว่านี่เป็นเรื่องของคนที่เข้าใจในชีวิต และเข้าถึงธรรมะในระดับหนึ่งเลยทีเดียวนะครับ ใช่ครับ ผมคิดว่าท่านพูดถูกเลยทีเดียว ผมค่อนข้างมั่นใจว่าการใช้ชีวิตแบบปล่อยวางและพอใจในความเป็นไปของมันจะทำให้มีความสุขที่แท้จริงได้ ที่ผ่านมาผมไม่ได้เข้มงวดกับการกินอาหารและเรื่องอื่นๆ เช่น การนอน หรือการทำงานเท่าใดนัก ผมค่อนข้างปล่อยสบายๆ แต่ก็ไม่หลวมเกินไปนะครับ ทานหวานได้บ้างถ้าในช่วงนั้นไม่ค่อยได้ทานอะไรนัก หรืออาจจะมีหมูกรอบที่มันๆบ้าง แต่ก็ไม่มาก ที่สำคัญคือผมปล่อยวางได้เยอะขึ้น ผมว่าเรื่องนี้สำคัญ หลายครั้งผมพิสูจน์และเห็นกับตัวเองว่า อารมณ์มีส่วนสำคัญอย่างมากกับเรื่องของระดับน้ำตาลในเลือด อย่าเครียดครับ ผมว่าความเครียดไม่มีประโยชน์อะไรเลยครับ เรื่องอื่นๆที่สำคัญต่อร่างกายก็อย่างเช่น อาหาร อากาศ การออกกำลังกายเป็นต้น ยังไงก็ลองดูนะครับ เรื่องนี้ต้องใช้ทั้งทางกายและทางใจ ต้องลองหัดเชื่อในสิ่งใหม่ๆดูบ้าง เชื่อแบบมีเหตุผลนะครับ แล้วลองดูนะครับ ผมว่าชีวิตมันก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีๆได้เหมือนกัน สวัสดีครับ

วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2557

VHL กับการตั้งครรภ์


สวัสดีครับ ไม่ได้มานานเลย วันนี้มีเรื่องจาก facebook มาเล่าสู่กันฟังครับ คือมีสมาชิกท่านหนึ่งถามเพื่อนๆว่าตัวเองเป็น VHL อยากทราบว่าจะมีลูกได้หรือไม่... ครับ คำตอบหลั่งไหลกันมาจากทั่วสารทิศเลย เพื่อนๆสมาชิกก็เข้ามาตอบกันมากมาย ทุกคนที่เข้ามาแชร์ก็มีประสบการณ์กันทั้งนั้นครับ แต่ก็ไม่มีใครที่จะให้คำตอบที่ชัดเจนแบบขาวกับดำได้หรอกนะครับ บทความทางวิชาการเองที่มีการศึกษาจากคนไข้กว่า 300คนก็ยังไม่สามารถสรุปให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันได้เลยครับ ยังไงก็ลองอ่านดูจากที่ผมจะเขียนต่อไปนี้ละกันครับ

ถ้ามีบางท่านใจร้อนอยากจะให้สรุปไปเลยก็คงพอจะได้ดังนี้ครับ คือ... แล้วแต่..ความคิดใครความคิดมัน.. ใช่ครับ มันเป็นอย่างนี้จริงๆ เพราะหลายๆคนมีลูกไปแล้วสองสามคนแล้วเพิ่งมารู้ทีหลังว่าตัวเองเป็นโรคนี้ แต่ก็คลอดลูกได้ตามปกติ ไม่มีปัญหาอะไร อ้อ แต่ส่วนใหญ่ถ้ารู้ตัวก่อนว่าตัวเองเป็นโรคนี้อยู่ก็มักจะคลอดด้วยการผ่าตัดครับ คุณหมอก็จะแนะนำอย่างนั้น สาเหตุก็เพราะว่าคุณหมอท่านกลัวว่าการเบ่งคลอดอาจจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาได้ อันนี้รายละเอียดเค้าไม่ได้พูดถึงกันครับว่าทำไม แต่หลายๆคนที่เป็นโรค VHL อาจจะมีเนื้องอกที่ต่อมหมวกไต ซึ่งมีผลโดยตรงต่อความดันที่สูงผิดปกติ มีรายหนึ่งที่มีอาการอย่างนี้ ตอนคลอดหล่อนก็เกือบเสียชีวิตเหมือนกันครับ เพราะมีอาการความดันสูงตลอดเวลา สิบกว่าชั่วโมงแน่ะครับ เธอบอกว่าทางโรงพยาบาลต้องเรียกเจ้าหน้าที่มาช่วยกันเกือบหมดทั้งตึกเลยทีเดียว... อีกอย่างหนึ่งที่ต้องมีแน่ๆถ้าเป็นโรค VHL แล้วมีเนื้องอกในสมองด้วยนะครับ ก็คือจะมีอาการความดันสูงมากๆที่สมอง ผมเคยออกกำลังกายด้วยการวิดพื้นแล้วมีอาการเหมือนหน้ามืดและรู้สึกตื้อๆที่สมอง มันผิดปกติครับ พอวันรุ่งขึ้นไปตรวจก็พบว่ามีเนื้องอกอยู่ในสมอง และต้องผ่าตัดออกเกือบจะทันทีครับ เห็นมั้ยครับว่าเนื้องอกมันมีผลต่อความดันเลือดในร่างกายนะครับ

ถ้าจะสรุปก็คงต้องบอกอีกครั้งว่าแล้วแต่ตัวท่านเอง ว่าจะตัดสินใจอย่างไร บางคู่ก็ตัดสินใจที่จะไม่มีบุตรเพราะไม่ต้องการถ่ายทอดโรคนี้ไปสู่บุตรหลานของตัวเอง แต่หลายคู่ก็เสี่ยงครับ บางครอบครัวอาจจะพบว่าลูกหนึ่งในสามหรือสองในสามคนได้รับถ่ายทอดโรคนี้มา แต่บางคู่อาจจะโชคดีที่เด็กไม่เป็นอะไรเลย อันนี้ก็แล้วแต่ดวงหรืออะไรก็แล้วแต่ครับ แต่ละท่านคงจะมีสถานภาพส่วนตัวที่แตกต่างกันออกไป ลองพิจารณาดูละกันครับ

สวัสดีครับ

วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เบาหวาน ทานน้อยหรือทานบ่อยดีกว่ากัน? มีผลงานการวิจัยล่าสุดมาบอกเล่ากันครับ

Vegetables and fruit


                        ภาพจาก bbc.com นักวิทยาศาสตร์แนะนำว่าควรรับประทานอาหารสองมื้อต่อวันที่อุดมไปด้วยผัก ผลไม้และมีเส้นไย
                       (ไฟเบอร์) สูง

สวัสดีครับ

เช้านี้มีเรื่องราวดีๆเกี่ยวกับเบาหวานมาฝากกันครับ ไปได้ข้อมูลมาจากเว็บไซต์ของบีบีซี (bbc.com) ครับ เป็นข่าววิทยาศาสตร์เล็กๆแต่น่าสนใจครับ โดยเฉพาะสำหรับผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานประเภทที่ 2 หรือประเภทที่ร่างกายยังสามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินได้บ้างแต่ไม่เพียงพอครับ ซึ่งผู้ป่วยจะต้องทานยาเม็ดๆตามที่แพทย์สั่ง (ประเภทที่ 1 นั้นร่างกายไม่สามารถผลิตฮอร์โมนนี้ได้เลย จึงต้องฉีดเข้าไป) ซึ่งงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ชิ้นนี้ได้มาจากกรุงปร้าก สาธารณะรัฐเช็ก ครับ ผมเห็นว่าน่าสนใจมากก็เลยเอามาฝากกัน

สำหรับประเด็นที่น่าสนใจวันนี้ก็เกี่ยวกับการรับประทานอาหารครับ มีคำถามมากมายว่าเราควรกินอาหารปริมาณน้อยๆ แต่บ่อยๆดี? หรือว่าทานน้อยมื้อลงดีกว่า? หรือว่าทานปกติแต่ทานยาช่วย?? อันนี้เป็นปัญหาที่น่าปวดหัวสำหรับคนที่เป็นเบาหวานทุกคนเลยทีเดียว สำหรับประเด็นนี้ผลการวิจัยบ่งชี้ว่าการทานอาหารแค่สองมื้อต่อวันดีกว่าครับ อืม.. ฟังดูน่าสนใจนะครับงั้นมาลงรายละเอียดกันเลยดีกว่า

การวิจัยได้แบ่งผู้ป่วยเบาหวานประเภทที่ 2 จำนวน 54 คนออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มละ 27 คน เพื่อจะดูผลของปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือดที่มีต่อการรับประทานอาหาร โดยการทดลองจะให้ผู้ป่วยแต่ละกลุ่มได้รับอาหารสองแบบคือแบบแรกให้ทานอาหารปริมาณน้อยๆแต่ทานทั้งวัน โดยรวมทั้งหมดเป็น 6 มื้อย่อย กับแบบที่สองทานให้อิ่มสองมื้อต่อวันแต่มีกฎคือมื้อเช้าให้ทานตั้งแต่ 0600-1000 หรือหกโมงเช้าถึงสิบโมงเช้า และมื้อที่สองทานได้ในช่วง 1200-1600 หรือเที่ยงถึงบ่ายสี่โมงเย็น แต่ละแบบจะทดลองเป็นระยะเวลา 12 สัปดาห์แล้วสลับกันครับ

ผลก็คือกลุ่มผู้ป่วยที่ทานแค่สองมื้อต่อวันสามารถควบคุมน้ำตาลได้ดีกว่าและยังมีน้ำหนักลดลงด้วยอีกต่างหากครับ (เอวบางลง) .. น่าสนใจแล้วใช่ไหมครับ เราอาจจะเถียงในใจนิดหน่อยว่า อ้าว แล้วทานสองมื้อไม่หิวแย่เลยหรือ? ตอบว่าไม่ครับ เค้าอธิบายว่าถ้าเราทานแค่สองมื้อ แต่ทานจนอิ่ม อิ่มพอดีนะครับ คงไม่ถึงกับอิ่มเกิน จะทำให้ไม่ทานมื้อเย็นได้ ซึ่งจะต่างจากคนที่ทานน้อยแต่บ่อย ซึ่งจะรู้สึกหิวๆอยู่ตลอด

แต่ยังก่อนครับ นี่ยังไม่ใช่ข้อสรุปที่แพทย์จะเอาไปแนะนำอย่างเป็นทางการได้ทันทีเลยนะครับว่าให้ทานสองมื้อต่อวัน แพทย์ยังต้องการการวิจัยที่ใช้ผู้ป่วยมากกว่านี้และใช้ระยะเวลาในการทดลองที่นานกว่านี้ครับ ดังนั้นจึงยังไม่ใช่คำแนะนำแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าผู้ป่วยควรทำอย่างนี้ได้เลย สำหรับตอนนี้คำแนะนำก็คือว่าทานอาหารที่มีเส้นไยมากๆ ลดพวกแป้งและน้ำตาลลงนะครับ และทานยาตามที่แพทย์สั่งก็จะดีที่สุด

สวัสดีครับ

วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2557

เนื้องอกในไต อีกครั้งครับ

สวัสดีครับ

วันนี้จะเอาเรื่องเนื้องอกในไตมาเล่าต่อกันสักนิด หลังจากที่ไปค้นข้อมูลได้มาเพิ่มอีกนิดหน่อย คืออย่างนี้ครับ โดยทั่วไปผมมักจะได้ยินว่าเรามีถุงน้ำหรือซีสต์ที่ไตพร้อมๆกับเนื้องอกด้วย หลายคนก็สงสัยว่าเราผ่าออกได้มั้ย หรือบางทีก็ถามว่าแล้วหมอว่ายังไง อะไรพวกนี้เป็นต้นครับ จากที่ผมเป็นนี้ถ้ามีเฉพาะถุงน้ำหมอไม่เอาออกให้ครับ ถึงแม้ว่ามันจะใหญ่ขึ้นมามากก็ตาม อย่างของผมตอนนี้เส้นผ่าศูนย์กลางวัดได้ 6 เซนติเมตรแล้ว แต่หมอก็บอกว่าไม่จำเป็นต้องเอาออก ประมาณว่ามันก็ไม่ได้ทำอันตรายใดๆต่อตัวเรา อย่าไปยุ่งกับมันอะไรอย่างนี้แหละครับ ผมเดาเอาเองว่าในเมื่อมันไม่ได้เป็นอันตรายกับเรา เราก็ไม่ต้องไปทำอะไรกับมันเพราะว่าการผ่าตัดเอาออกมันไม่ใช่เรื่องเล็กๆกระมังครับ คิดดูว่าต้องผ่าเข้าไปในท้องไปถึงด้านในลึกๆตรงตำแหน่งไตที่เจ้าถุงน้ำนี้มันอยู่ โห ต้องผ่าโดนอะไรๆตั้งมากมายเลยนะครับ มันคงไม่คุ้มและไม่จำเป็นนะครับ อ้อ แต่หมอจะทำการผ่าตัดให้ครับ ถ้ามันเกิดเจ็บปวดขึ้นมาถ้ามีอะไรผิดปกติกับมัน อย่างเช่นติดเชื้อ (โรค) หรืออะไรประมาณนั้น อย่างคราวที่แล้วที่ผมเป็น ก็ปวดมากครับ ปวดแบบยาวนานต่อเนื่องหลายวันเลย

ก็เป็นอันว่าเข้าใจง่ายๆครับ ว่าถ้าเป็นแค่ซีสต์หรือถุงน้ำ ไม่จำเป็นต้องไปทำอะไรกับมัน ยกเว้นว่ามันปวด แต่ถ้ามีเนื้องอกเกิดร่วมด้วย อันนี้คุณหมอคงต้องเอาออกล่ะครับ แต่ถ้ามันยังเล็กอยู่ก็ยังไม่จำเป็นเช่นกันครับ หมอจะทำการผ่าตัดเอาออกให้ก็ต่อเมื่อมันมีขนาดประมาณ 3 เซนติเมตรครับ อันนี้ผมเอามาจากของต่างประเทศที่เค้าแชร์ๆกันมา ผมก็ไม่เคยถามคุณหมอที่เมืองไทยเหมือนกัน คือทุกครั้งที่ไปหาหมอก็จะเกร็งๆและไม่กล้าพูดมาก กลัวหมอดุเอา... ก็ไม่รู้สิครับ ก็มันกลัว ยิ่งเห็นคนไข้เยอะ รอคิวกันนานๆเราก็ไม่อยากจะใช้เวลาหมอเยอะ ก็เลยแล้วแต่ละกัน ถ้าคุณหมอบอกก็ดีไป ถ้าไม่บอกก็ถามเฉพาะที่จำเป็น อย่างเช่น เป็นมะเร็งมั้ยครับ ต้องผ่ามั้ยครับ ต้องทำอะไรมั้ยครับ.. อะไรพวกนี้

วันนี้รูปที่ผมเอามา ผมเอามาจากเว็บไซต์หนึ่ง เป็นรูปจาก CT ครับ ซึ่งแสดงก้อนเนื้องอกที่ไตซ้าย ตรงที่ลูกศรสีเหลืองๆชี้อยู่นั่นแหละครับ เรียกว่า Hypernephroma หรือ Renal Cell Carcioma ขอรับ ซึ่งสำหรับอาการนี้สำหรับผมคุณหมอก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าจะเป็นหรือเปล่าเมื่อเดือนที่แล้ว แต่พอทำ CT ออกมาแล้วก็ปรากฎว่าไม่เป็นครับ ก็โล่งใจกันไป...

สำหรับวันนี้ก็ขอให้ทุกท่านมีความสุขกาย สบายอารมณ์กันไปนะครับ แล้วพบกันใหม่ครับ

สวัสดีครับ

วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2557

น้ำตาลสะสม เอาไม่อยู่... ลงยากมาก

สวัสดีครับ


วันนี้อยากจะมาอัพเดทเรื่องสุขภาพกันสักหน่อยครับ ห่างหายไปนานจากเรื่องธรรมดาๆ แต่มีความหมายมากอย่างนี้นะครับ ถ้านับตั้งแต่รู้ตัวว่าเป็นเบาหวานครั้งแรก ถึงตอนนี้ก็เกือบแปดปีเข้าไปแล้ว ทานยาทุกวันครับ มีแต่เพิ่มไม่มีลดเลย เพราะว่าผลของน้ำตาลสะสมไม่เคยลดลงเลย ไปตรวจทีไรก็มีแต่คงที่กับเพิ่มขึ้น เคยลดเหมือนกันอยู่นะครับ แต่น้อยมาก สุดท้ายก็ต้องเพิ่มยา ผมเคยพยายามลดอาหารและออกกำลังกาย แต่ก็ทำได้ยาก คือทำให้สม่ำเสมอนี่เป็นอะไรที่ยากมาก ทำได้อย่างมากก็อาทิตย์สองอาทิตย์แล้วก็กลับไปทำตัวนุ่มนิ่มอีก... ฮ่าๆ ก็ประมาณว่าพอมันเพลียๆเหนื่อยๆ เราก็ตามใจตัวเองเหมือนเดิมนั่นแหละครับ ไม่ค่อยออกกำลังกาย บางครั้งก็หาข้ออ้างในการกินขนมหวาน อย่างเช่น เอานะ นิดหน่อย นานๆ ครั้ง อะไรพวกนี้เป็นต้น พอมันนานๆครั้งบ่อยๆเข้ามันก็เอาไม่อยู่นั่นแหละ ไปหาหมอทีไรก็ตั้งใจใหม่ทุกครั้งว่าคราวหน้าเจอหมอต้องทำให้หมอประหลาดใจให้ได้ โดยการเห็นน้ำตาลลดลงยอะๆ แต่ก็ทุกครั้งแหละครับ คุณหมอคงไม่ประหลาดใจเพราะว่ามันไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงสักเท่าไร...

บางครั้งรูปแบบการใช้ชีวิตที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมันก็ทำให้คุณภาพชีวิตเราไม่เปลี่ยนเหมือนกัน ผมว่านะ... อยากหายจากโรคก็คงต้องทำอะไรที่มันต่างออกไปให้ได้ ก็เราเป็นอย่างนี้เพราะเรามีการใช้ชีวิตอย่างนี้ ดังนั้นถ้าจะให้มันหายมันก็คงต้องทำอะไรที่มันแตกต่างออกไปใช่ไหมครับ เอาไว้วันไหนที่ผมเอาชนะน้ำตาลได้แล้วจะมาเล่าสู่กันฟังนะครับ ว่าทำอย่างไร ตอนนี้ยังไม่กล้าเล่าเพราะว่ายังทำไม่สำเร็จ ไม่แค่นั้นยังทำท่าว่าจะแพ้อีกต่างหาก

แล้วพบกันใหม่ สวัสดีครับ

วันอังคารที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2557

รอดแล้ว วินิจฉัยว่าไม่มีก้อนเนื้อครับ

สวัสดีครับ

เมื่อวานไปพบคุณหมอเพื่อตรวจผลทำซีทีมาเรียบร้อยแล้ว ผลปรกฎว่า "ไม่มีก้อนเนื้อ" ครับ ... เย้ ข่าวดีมากเลยครับ ต่อไปก็ไม่ต้องกังวลแล้ว คุณหมอบอกว่าไม่มีก้อนเนื้อ ก็เลยโล่งใจครับ เหมือนยกภูเขาออกจากอกเลย คุณหมอนัดอีกทีเก้าเดือนข้างหน้าครับ ให้มาทำอัลตร้าซาวนด์ นี่แสดงว่าสบายใจได้ครับว่าต่อไปก็คงแค่มาตรวจตามปกติ

ผมไปค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Cystic RCC ก็ได้ข้อมูลเพิ่มเติมอยู่พอสมควรแต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจมากหรอกครับ โดยเฉพาะสาเหตุที่ทำให้มันเกิด เพราะว่าเรื่องที่เขียนเห็นมีแต่ภาษาอังกฤษและเป็นเรื่องของการวิจัยทางการแพทย์ซึ่งผมเองก็ไม่เข้าใจความหมายของคำศัพท์หลายๆอย่างด้วย รู้แต่ว่ามันอาจจะเกิดจากถุงน้ำได้ด้วย อะไรประมาณนั้น โดยที่ลักษณะของมันจะมีลักษณะเป็นช่องๆ (Septation) และผนังไม่เรียบ ซึ่งไม่เหมือนกับถุงน้ำ (cyst) ที่มักจะกลมๆหรือรีๆและมีผนังเรียบครับ ประมาณนี้ครับ

เอาเป็นว่าก็สบายใจขึ้นมาเยอะเลย และต่อไปก็จะได้ระมัดระวังเรื่องสุขภาพให้ดี ทำสมาธิเพิ่มขึ้นครับ

สวัสดีครับ

วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2557

CT scan ช่องท้องอีกครั้งเพื่อตรวจไตอย่างละเอียด

สวัสดีครับ
ขอบคุณภาพจาก thaigoodview.com ครับ

เมื่อสองวันที่แล้วผมไปตรวจไตอย่างละเอียดโดยใช้เครื่องซีที (CT scan) มาครับ วันนี้เลยจะเอามาเล่าสู่กันฟัง เผื่อพี่น้องท่านใดจะไปตรวจหรืออยากทราบรายละเอียดจะได้ใช้เป็นข้อมูลกันนะครับ ผมมีนัดที่หน่วยตรวจที่โรงพยาบาลศิริราชตอนหนึ่งทุ่มครับ เจ้าหน้าที่โทรมาก่อนเวลานัดประมาณสามชั่วโมงได้ครับ ถามว่าจะไปตามนัดได้หรือไม่ ก็คงจะได้เตรียมเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์ไว้ให้พร้อมเวลาเราไปทำกระมังครับ ซึ่งผมรู้สึกว่าดีมากที่เจ้าหน้าที่โทรมาเพื่อยืนยันการนัดหมายของเราไว้ก่อน เพราะที่แน่ๆเราก็จะได้คิวตามที่นัด ไม่ต้องไปรอนานเกินไปนั่นเองครับ

เมื่อไปถึงก็ยื่นใบนัด เจ้าหน้าที่ก็ให้ไปรอตรงห้องตรวจ วันที่ผมไปไม่มีคนรอก่อนหน้าเลยครับ สงสัยเป็นเพราะว่าค่ำแล้ว ใกล้ๆหนึ่งทุ่มแล้วนั่นเองครับ นั่งรอได้นิดเดียวเจ้าหน้าที่ที่ห้องตรวจก็เรียกชื่อเข้าไปเตรียมตัวก่อนตรวจครับ ไม่มีอะไรมาก สำหรับการเตรียมตัวก็เปลี่ยนเสื้อผ้า ถอดทุกอย่างที่เราใส่ไปทั้งหมด เสื้อผ้า นาฬิกา กางเกงใน ยกเว้นถุงเท้ากับรองเท้าครับ เพราะต้องเดินไปอีกห้องหนึ่ง ใส่ชุดตรวจสีชมพูซึ่งเป็นชุดยาวถึงหน้าแข้ง ไม่มีกางเกงนะครับ ผูกเชือกรอบเอวแล้วก็เดินไปนั่งรอ เจ้าหน้าที่ก็จะให้ดื่มน้ำหวานครับ เป็นน้ำหวานเฮลส์บลูบอยผสมสารทึบแสงไส่ไว้ในขวดพลาสติกเหมือนขวดน้ำดื่มขนาดครึ่งลิตรประมาณนั้น เจ้าหน้าที่บอกให้ดื่มให้หมดเลย ซึ่งดีมากครับ ผมกำลังหิวพอดีเพราะต้องอดอาหารมาตั้งแต่เที่ยง (ก่อนตรวจหกชั่วโมง) ก็เลยดีใจมากได้น้ำหวานช่วยชีวิตไว้พอดี.. ฮ่าๆ ดีจริงๆนะครับ เพราะผมเป็นเบาหวานด้วย กลัวน้ำตาลจะต่ำเกินแล้วเป็นลมในห้องตรวจแล้วคงแย่เหมือนกัน ก่อนเข้าห้องเกือบจะแอบกินลูกอมที่พกมาด้วยแล้วครับ แต่กลัวว่าเวลาพูดแก้มมันจะบวมๆเค้าจะว่าเอา (ไม่รู้ว่าจะว่าหรือเปล่า กลัวไว้ก่อน..) หลังจากกินน้ำหวานหมดขวดก็ไปทำการเปิดเส้นที่แขน ซึ่งก็คือการเจาะต่อเข็มและสายเอาไว้สำหรับตอนฉีดสารเข้าเส้นอีกครั้งตอนตรวจในห้องตรวจครับ แล้วก็ต้องดื่มน้ำเปล่าอีกสองแก้วตามไป พอหมดก็เข้าไปในห้องตรวจซีทีครับ

ในห้องมีเจ้าหน้าที่อยู่สองคน ลุงผู้ชายคนหนึ่งกับน้องพยาบาลผู้หญิงอีกคน ที่เรียกลุงก็เพราะว่าเรียกตามที่พยาบาลเรียกนะครับ ตอนไปจ่ายเงินพยาบาลเค้าบอกว่าให้ตามคุณลุงคนนั้นไป ผมก็เลยเรียกลุงตามไปด้วย ฮ่าๆ.. ในห้องเจ้าหน้าที่จัดให้นอนแล้วก็บอกว่าใช้เวลาตรวจประมาณ 10 นาที แต่ก่อนที่จะเริ่มทำการตรวจด้วยเครื่อง ซีที เจ้าหน้าที่พยาบาลก็บอกว่าต้องฉีดน้ำเข้าไปทางก้นก่อนนะ แล้วก็เปิดผ้าขึ้นเอาอุปกรณ์เป็นท่อเล็กๆใส่เข้าไปแล้วก็จัดการกรอกน้ำเข้าไปประมาณหนึ่งหลอด ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่ากี่ซีซีกันแน่นะครับ แต่เหลือบไปดูหลอดที่ใส่น้ำแล้วก็น่าจะประมาณค่อนขวดนมเด็กนั่นแหละครับ อาจจะไม่ถึงหรอกครับ เจ้าหน้าที่บอกว่าเพื่อให้อวัยวะมันเห็นแยกกันเป็นส่วนๆ (ผมเดาว่าเราดื่มสารทึบแสงเข้าไปทางปากมันก็คงเข้าไปในกระเพาะอาหารแล้วก็ลำใส้เล็ก แล้วก็ลำใส้ใหญ่ รวมทั้งอวัยวะต่างๆที่อยู่ข้างในด้วย ในขณะที่น้ำเปล่ามันเข้าไปอยู่ในปลายลำใส้ใหญ่ทางรูทวารเท่านั้น) เมื่อเรียบร้อยแล้วก็เข้าเครื่องตรวจครับ เราก็นอนราบลงกับที่นอนแล้วเครื่องก็จะเลื่อนเข้าไปในอุโมงค์ให้ตำแหน่งท้องเราไปอยู่ตรงอุปกรณ์ที่ต้องการครับ เจ้าหน้าที่จะสั่งการว่าหายใจเข้าลึกๆ-กลั้นใจไว้ แล้วเตียงก็จะเลื่อนออกมา-หายใจได้ค่ะ ทำอย่างนี้อยู่ประมาณสี่ห้าครั้งก็เรียบร้อยสำหรับขั้นแรกครับ รู้สึกว่าเร็วมาก

แล้วเจ้าหน้าที่ก็เข้ามาฉีดสารอะไรสักอย่างเข้าทางเส้นเลือดที่เปิดไว้ รู้สึกอุ่นๆจากแขนเข้ามาที่ลำคอแล้วก็หน้าอกแล้วก็ช่องท้องด้านที่ใกล้กับแขนที่ฉีดครับ ก็อุ่นๆดี ไม่แพ้ไม่มีอาการคันอะไรเลยครับ จากนั้นก็ให้รอประมาณห้านาทีเพื่อให้สารที่ฉีดนั้นเข้าไปถึงกะเพาะปัสสาวะ ผมนอนนับลมหายใจแบบหายใจเร็วๆกว่าปกตินิดหน่อยได้ 55 ครั้งครับ เจ้าหน้าที่ก็เลื่อนเข้าไปตรวจในอุโมงค์ต่อ ซึ่งขั้นนี้นั้นเร็วมากก็เสร็จ ลุกออกไปเข้าห้องน้ำได้ เพราะน้ำที่ฉีดเข้าทางก้นนั้นมันทำให้รู้สึกมวนๆในท้องเหมือนเวลาเราปวดอุจจาระนั่นแหละครับ อีกอย่างน้ำที่ดื่มเข้าไปตั้งเยอะก่อนหน้าก็ทำให้รู้สึกปวดฉี่เหมือนกัน ก็เลยไปเข้าห้องน้ำ แล้วมานั่งรอเพื่อสังเกตุอาการต่ออีกพักเล็กๆครับ ก็เป็นอันเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ก็มาถอดสายที่แขน เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วตามคุณลุงคนหล่อไปจ่ายสตางค์ก็กลับบ้านได้ รวมแล้วใช้เวลาประมาณ 40นาทีครับ รวดเร็วครับ ผมประทับใจเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลศิริราชทุกท่าน ตั้งแต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย แม่บ้าน พยาบาล ไปจนถึงแพทย์ทุกท่านเลยครับ ทุกคนทำงานเพื่อบริการคนไข้ให้ดีที่สุด รู้สึกดีและอบอุ่นมากครับถึงแม้บางครั้งเจ้าหน้าที่อาจจะดุบ้างเวลาบอกคนไข้ไห้ทำตัวให้เป็นระเบียบหรือให้ไปยืนรอตรงนั้นตรงนี้เพื่อให้การให้บริการและการใช้บริการเป็นไปอย่างเรียบร้อย รวดเร็วต่อทุกคนที่สุด แต่บอกด้วยเสียงอันดังก็ตาม แต่ก็ลงท้ายด้วยค่ะทุกครั้ง... ฮ่าๆ เห็นมั้ยครับ ไม่เห็นโหดเลย...

ค่าใช้จ่ายรวม 14,000 บาทครับ พรุ่งนี้จะไปพบแพทย์เพื่อฟังผล แล้วจะมาเล่าต่อนะครับ โชคดีครับทุกคน สวัสดีครับ

วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เมื่อเราต้องเลือก

สวัสดีครับ
File:White Flower Closeup.jpg
ขอบคุณภาพสวยๆนี้จาก http://commons.wikimedia.org

ผมกำลังมีคิวต้องไปทำซีทีสแกน (CT scan) เพื่อตรวจดูเนื้องอกที่ไตในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ครับ ตรวจไตคราวที่แล้วก็วันที่เขียนบล็อกครั้งสุดท้ายก่อนครั้งนี้ครับ เมื่อวันที่ 9 ก.ย. ปีที่แล้ว นับถึงวันนี้ก็ห้าเดือนกว่าเข้าไปแล้วนะครับ ที่มาเขียนวันนี้ก็มีเรื่องราวจะมาเล่าสู่กันฟังนิดหน่อยหลังจากที่ไปตรวจไตด้วยอัลตร้าซาวด์มาล่าสุดเมื่อวันเสาร์ที่ 22 ก.พ. ที่ผ่านมานี่เอง ที่โรงพยาบาลศิริราช ค่าทำอัลตร้าซาวด์ 1,300บาทครับ สำหรับใครที่อยากทราบว่าค่าใช้จ่ายเท่าไร... หลังทำอัลตร้าซาวด์และพบหมอแล้วก็มีอะไรให้ลุ้นกันนิดหน่อยครับ คุณหมอหนุ่มแพทย์ประจำบ้านทางด้านศัลยศาสตร์ทางเดินปัสสะวะบอกว่าก้อนเนื้อ (หรือถุงน้ำนี่แหละ)ที่ไตมีอะไรน่าสนใจอยู่ ต้องส่งไปตรวจเพิ่ม แล้วก็เขียนใบสั่งให้ไปทำซีทีสแกนตามที่บอกนั่นแหละครับ คุณหมอไม่ได้บอกว่าพบอะไรอย่างไรหรอกนะครับ แต่ผมแอบอ่านใบสั่งของคุณหมอที่เขียนไปให้กับห้องตรวจเห็นเขียนว่าลักษณะของถุงน้ำมีช่องๆและผนังขรุขระๆ สงสัยว่าจะเป็น Cystic RCC ซึ่งผมหาอ่านเพิ่มเติมจากอินเตอร์เน็ตแล้วน่าจะหมายถึง Renal Cell Carcioma ซึ่งหมายถึงมะเร็งที่ไต ซึ่งน่าจะเกิดจากการที่ถุงน้ำในไตได้พัฒนาตัวเองกลายไปเป็นมะเร็งนั่นแหละครับ ผมไม่แน่ใจหรอกครับแต่คิดว่าคงจะไม่ผิดเท่าไหร่หรอกเพราะเมื่อคราวที่ต้องตัดมะเร็งและไตซ้ายออกไปมันก็เกิดลักษณะเดียวกันนี้แหละครับ ถุงน้ำพัฒนากลายไปเป็นมะเร็ง! ฟังดูน่ากลัวนะครับ ผมเหลือไตอยู่อีกข้างเดียว ถ้าตัดออกไปแล้วก็ไม่มีไตเหลือนะสิครับ... ตอนนี้ก็เลยได้แต่ภาวนาว่าถ้าโชคดียังไม่ใช่มะเร็งก็เยี่ยมไปเลย ผมจะได้มาตั้งใจทำสมาธิอย่างจริงจังเสียที (ที่จริงก็เริ่มๆแล้วนะครับ) หรือถ้าโชคดีรองลงมาอีกหน่อยก็อาจจะแค่ตัดไตส่วนที่มีมะเร็งแล้วเหลือไว้อีกครึ่งนึงไว้ให้ทำงานได้บ้างก็ยังดีนะครับ แต่ถ้าโชคดีน้อยสุดก็คงจะตัดไตออกหมด คราวนี้ก็คงต้องมาตัดสินใจกันอีกแล้วล่ะว่าจะเอาไงต่อ... เปลี่ยนไต (ถ้ามีให้เปลี่ยนและเข้ากันได้) หรือฟอกเลือด หรือ... โอย ไม่รู้แล้วล่ะครับ...

สำหรับค่าใช้จ่ายในการทำ CT ก็ประมาณ 13,000 บาทครับ ต่างสถานที่ราคาอาจจะต่างกันนะครับ ให้ไว้เป็นข้อมูลเผื่อใครจะต้องไปทำครับ

ที่เขียนไปว่าโชคดีถึงแม้จะเป็นมะเร็ง (ซึ่งตอนนี้ยังไม่รู้) ก็ในกรณีที่ว่าถ้ามันยังไม่แพร่กระจายนะครับ ถ้ามันแพร่กระจายแล้วก็เสร็จเลย แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ จะว่าไปก็โชคดีอยู่นะครับที่รู้ตัวเร็ว เพราะไปตรวจอย่างต่อเนื่องไม่เคยขี้เกียจบิดพริ้วเลยแม้แต่ครั้งเดียวครับ ผมไปตรวจตามที่คุณหมอแนะนำมาตลอดทุกครั้งไม่เคยขาดถึงแม้บางครั้งจะนึกเถียงอยู่ในใจว่าทำไมให้ทำอัลตร้าซาวด์บ่อยจัง ทำแล้วทำอีก แต่มาถึงวันนี้ทราบแล้วล่ะครับว่าทำไม และรู้สึกขอบคุณคุณหมอทุกท่านมากๆที่เอาใจใส่อย่างเต็มที่

สำหรับวันนี้ก็จะบอกว่าสุดท้ายเราก็ต้องเลือกครับ บางครั้งอาจจะไม่ชอบใจหรือดูว่าไม่มีทางเลือก แต่ผมว่าที่จริงแล้วเราเลือกได้นะครับ ไม่ใช่ว่าเลือกจะเป็นอะไร เพราะมันทำไม่ค่อยได้หรอกครับไอ้อย่างนั่นน่ะ แต่เราเลือกที่จะทำอะไรในสถานการณ์นั้นๆได้ต่างหากล่ะครับ อย่างแรกเลยต้องเลือกที่จะไม่โทษโชคชะตานะครับ ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็ดับไป บางครั้งเราก็ทำได้แค่มองๆมัน ปล่อยให้มันแสดงไป ไม่เอามาเป็นตัวเรา เราก็ไม่ทุกข์นะครับ ขอให้ทุกคนโชคดี มีความสุขกับการใช้ชีวิตไม่ว่าชีวิตจะน่าสนุกหรือเปล่านะครับ... ลุยไปเลยครับ สวัสดีครับ