วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

อาการอื่นๆของโรค VHL ... เช่น ความดันสูง

สวัสดีค่ำวันศุกร์ครับ

ใกล้ลอยกระทงกันแล้ว แต่อากาศก็ยังไม่เย็นลงเลย แถมช่วงนี้ยังแปลกๆ มีฝนบ้าง ร้อนบ้าง สลับกันไปเรื่อยๆเลยนะครับ หวังว่าวันลอยกระทงคงจะมีอากาศเย็นๆมาให้ชาวกรุงเทพฯและเกือบกรุงเทพฯได้ชื่นใจกันบ้างนะครับ

สำหรับวันนี้ มีเรื่องที่เกี่ยวกับโรคมาเล่ากันนิดหน่อย เกี่ยวกับอาการแสดงออกอื่นๆของผู้ป่วยที่ไม่ใช่พวกเนื้องอกโดยตรง แต่เป็นผลของมันที่แสดงออกมาทางด้านอื่นกันนะครับ เช่นสำหรับวันนี้เป็นเรื่องของความดันโลหิตสูงที่คนที่เป็นก็ไม่ทราบสาเหตุเหมือนกันเพราะไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นโรค VHL ครับ

ทอม... ได้รับความทุข์ทรมานจากโรคความดันโลหิตสูงมาเป็นเวลานานแล้ว และการรักษาก็ไม่ค่อยได้ผลนัก เขาเคยเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันมาแล้ว 3 ครั้ง ซึ่งก็ต้องเข้ารับการรักษาโรคหัวใจด้วยเหมือนกัน วันหนึ่งลูกชายวัยรุ่นของทอมมีภาวะความดันโลหิตสูง ซึ่งบางครั้งก็สูงมากจนน่าตกใจ ซึ่งแพทย์คนหนึ่งได้วินิจฉัยว่าสาเหตุของภาวะความดันโลหิตสูงของลูกชายทอมนั้นเกิดจากเนื้องอกในต่อมหมวกไต... ซึ่งเป็นอาการหนึ่งของโรค VHL นั่นเอง แพทย์จึงได้ทำการผ่าตัดเอาก้อนเนื้องอกนั้นออกไป อาการความดันโลหิตสูงก็หายไปและทำให้ลูกชายของทอมคนนั้นไม่ต้องมีความเสี่ยงกับโรคหัวใจเหมือนทอมอีกด้วย...

ทอมมีลูกทั้งหมด 6 คน มึคนที่เป็นโรค VHL ทั้งหมด 5 คน...

เห็นมั้ยครับ ว่ามีอาการที่เราอาจจะไม่ทราบเลยว่าอะไรคือสาเหตุ ดังนั้นเราต้องศึกษาหาความรู้ให้มากๆไว้นะครับ เพื่อที่จะดูแลตัวเองและคนที่เรารักได้อย่างดีสมกับความห่วงไยของเราครับ

คราวหน้าจะเอาอาการอื่นๆมาเล่าให้ฟังอีกนะครับ สวัสดีครับ

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ตา

สวัสดีครับ
ดวงตาเปรียบเสมือนหน้าต่างของหัวใจ และเนื้องอกในตาก็เหมือนคนนั่งอยู่ในหัวใจ... ฮ่าๆ แค่ขำๆครับ ไม่มีอะไรมาก หลังจากที่เมื่อวานเขียนเรื่องพาลูกสาวไปหาหมอตามาแล้ว วันนี้ก็เลยไปค้นเรื่องการรักษามาเขียนเพิ่มเติมครับ จริงๆแล้วอยากจะเปิดเข้าไปในอินเตอร์เน็ตแล้วเจอคำว่า "พบแล้ว พบวิธีการรักษาแล้ว" มากกว่า แต่ก็ไม่เจอครับ แล้วก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้เจอ...

เข้าเรื่องนะครับ สำหรับวิธีการรักษาเนื้องอก (angioma) ในตา (จอตาหรือจอประสาทตา - retina) นั้นหลักการก็คือทำอย่างไรก็ได้ให้มันมีขนาดที่เล็กจนไม่สามารถเป็นอุปสรรคต่อการมองเห็นครับ ซึ่งวิธีการมีอยู่สองอย่างคือ
  1. การผ่าตัดด้วยการฉายแสงเลเซอร์ (laser treatment)
  2. cryotherapy freezing ซึ่งไม่แน่ใจครับว่าทำอย่างไร
สำหรับตัวผมเองและครอบครัวจากที่ผ่านมาก็ได้รับการรักษาโดยการใช้เลเซอร์ครับ ซึ่งได้เล่ารายละเอียดเอาไว้แล้วในตอนก่อนๆที่ผ่านมา

สำหรับวันนี้คงพอเท่านี้ก่อนนะครับ แล้วพบกันใหม่ครับ ขอให้ผู้อ่านทุกท่านมีแต่ความสุขและสุขภาพแข็งแรงกันทุกๆท่านนะครับ

สวัสดีครับ

วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

พาลูกไปหาหมอตาที่ศิริราช

สวัสดีครับ

วันนี้หยุดงานพาลูกสาวคนโตที่เป็นโรค VHL และเคยผ่าเนื้องอกในสมองไปแล้วด้วยหนึ่งครั้ง ไปหาหมอตาตามนัดมาครับ ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้วที่หมอนัด ห่างจากครั้งแรกประมาณ 6 เดือนครับ ครั้งที่แล้วตรวจไม่พบเนื้องอกอะไร คราวนี้ก็เช่นกันตรวจไม่พบความผิดปกติใดๆครับ

เวลานัดคือ 10:30 ในใบนัดเขียนไว้ว่าให้ไปถึงโรงพยาบาลก่อนเวลา 9:30 ซึ่งก็ไปถึงและยื่นบัตรนัดตอน 8:00 พอดีครับ แต่กว่าจะผ่านขั้นตอนต่างๆ จนได้พบแพทย์ก็โน่นแหละครับ บ่ายโมงกว่าเข้าไปแล้ว เพราะคนไข้เยอะมากๆ จะเล่าให้ฟังคร่าวๆดังนี้นะครับ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับท่านที่อาจจะมีนัดในอนาคตจะได้เตรียมตัวได้ถูก

สำหรับเรื่องเวลานัดนั้นจากประสบการณ์ที่ผ่านมาไม่ทราบเหมือนกันว่ามีความสำคัญอะไรอย่างไรเพราะว่าใครไปยื่นบัตรนัดได้ก่อนก็จะได้รับการเรียกชื่อก่อนและเข้ารับการตรวจก่อนครับ ดังนั้นควรไปยื่นบัตรให้เช้าที่สุดเท่าที่จะเช้าได้ ไม่แน่ใจว่าเราสามารถยื่นได้เลยตอนหกโมงเช้าหรือเปล่านะครับ ขั้นตอนการตรวจก็มีคร่าวๆดังนี้นะครับ คือเจ้าหน้าที่จะเรียกเข้าไปรับแฟ้มประวัติคนไข้ และเข้าไปตรวจวัดสายตา ความดันตา ความดันโลหิตก่อนครับ จากนั้นถ้ามีรายการสายตาสั้น ตาเอียงหรือปัญหาสายตาอื่นๆ ก็อาจจะต้องไปที่ตู้แว่นเพื่อวัดสายตาประกอบแว่น (แต่การตัดแว่นขึ้นอยู่กับเราที่จะไปตัดตอนไหนก็ได้ครับ) จากนั้นก็จะไปรับการขยายม่านตา ซึ่งตรงนี้เจ้าหน้าที่จะให้นั่งและใช้ยาหยอดตาเพื่อขยายม่านตา ตรงนี้จะใช้เวลานานหน่อย อาจจะต้องนั่งหลับตาเพื่อให้ม่านตาขยายเป็นเวลานานถึงครึ่งชั่วโมงหรือมากกว่านั้นได้ครับ จากนั้นก็จะไปต่อที่ห้องถ่ายรูปเพื่อให้เจ้าหน้าที่ถ่ายรูปภายในตาหรือแถวๆจอประสาทตาครับ เสร็จแล้วจึงจะไปนั่งรอพบหมอต่อไป

สำหรับลูกสาวคราวนี้ได้พบหมอตอนบ่ายโมงกว่าๆครับ ใช้เวลาตรวจประมาณสามนาทีแล้วก็ไปรับใบนัด ชำระเงินแล้วก็กลับบ้านได้ ซึ่งผลการตรวจปรากฎว่าไม่มีอะไรผิดปกติครับ คุณหมอก็เลยนัดอีกทีอีกหนึ่งปีครับ สำหรับค่าใช้จ่ายทั้งหมด 350บาทครับ ก็จะเป็นค่าแพทย์และค่าถ่ายรูปเป็นหลัก

ทั้งหมดก็เป็นข้อมูลสำหรับท่านที่จะต้องไปพบแพทย์นะครับ ศิริราชเป็นโรงพยาบาลที่ผมเชื่อว่าดีที่สุดทั้งในเรื่องของการบริการและวิทยาการโดยรวมๆนะครับ ดังนั้นจึงมีผู้ป่วยจากทั่วประเทศเดินทางมาเข้ารับการรักษาอยู่ตลอดเวลา ทุกคนจึงต้องรอตามคิวครับ

สวัสดีครับ

วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ความสุขอันเกิดจากความสงบอันวิเวก

สวัสดีครับ

วันนี้ผมได้รับหนังสือที่ระลึกเนื่องในงานทอดกฐินสามัคคี วัดสบคือ อำเภอเถิน จังหวัดลำปางของปีนี้มาเล่มหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องทศชาติชาดกครับ ผมพลิกไปอ่านแบบไม่ได้เจาะจงว่าจะอ่านตอนใด ก็ไปเจอหน้าของตอนที่ว่าด้วยเรื่องพระเนมิราชครับ ผมยังอ่านไม่จบ แต่มีตอนหนึ่งที่เกิดความประทับใจและอยากเอามาเผยแพร่ต่อ ซึ่งมีดังต่อไปนี้ครับ

...ขณะที่ทรงปฏิบัติธรรมอยู่นั้นพระเจ้าเนมิราชทรงสงสัยว่า การให้ทานกับการประพฤติพรหมจรรย์ คือ การรักษาความบริสุทธิ์ ไม่ข้องเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวโลกนั้น อย่างไหนจะประเสริฐกว่ากัน พระอินทร์ได้ทรงทราบถึงความกังขาในพระทัยของพระเจ้าเนมิราช จึงเสด็จจากดาวดึงส์ลงมาปรากฎเฉพาะพระพักตร์พระราชา ตรัสกับพระราชาว่า "หม่อมฉันมาเพื่อแก้ข้อสงสัย ที่ทรงมีพระประสงค์จะทราบว่าระหว่างทานกับการประพฤติพรหมจรรย์ สิ่งใดจะเป็นกุศลยิ่งกว่ากัน หม่อมฉันขอทูลให้ทราบว่า บุคคลได้เกิดในตระกูลกษัตริย์นั้นก็เพราะประพฤติพรหมจรรย์ในขั้นต่ำ บุคคลได้เกิดในเทวโลกก็เพราะได้ประพฤติพรหมจรรย์ขั้นกลาง บุคคลจะถึงความบริสุทธิ์ ก็เพราะประพฤติพรหมจรรย์ขั้นสูงสุด การเป็นพรหมนั้น เป็นได้ยากลำบากยิ่ง ผู้จะประพฤติพรหมจรรย์จะต้องเว้นจากวิถีชีวิตอย่างมนุษย์ปุถุชน ต้องไม่มีเหย้าเรือน ต้องบำเพ็ญธรรมสม่ำเสมอ ดังนั้นการประพฤติพรหมจรรย์จึงทำได้ยากยิ่งกว่าการบริจาคทาน และได้กุศลมากยิ่งกว่าหลายเท่านัก บรรดากษัตริย์ทั้งหลายมักบริจาคทานกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่สามารถจะล่วงพ้นจากกิเลสไปได้ แม้จะได้ไปเกิดในที่อันมีแต่ความสนุก ความบันเทิงรื่นรมย์ แต่ก็เปรียบไม่ได้กับความสุขอันเกิดจาก ความสงบอันวิเวก อันจะได้มาก็ด้วยการประพฤติพรหมจรรย์เท่านั้น"...

ทั้งหมดนั้นเป็นตอนหนึ่งนะครับ สำหรับเรื่องราวแบบเต็มๆนั้นถ้าใครสนใจก็ลองไปหาอ่านเพิ่มเติมเอาเองนะครับ ที่ผมอยากเอามาเล่าสู่กันฟังก็ตรงที่กล่าวถึงความสุขอันเกิดจากความสงบนั่นเองครับ

คำพระท่านว่าไว้ดังนี้ครับ ...นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ... สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี

สวัสดีครับ

วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ไปเรื่อยๆ ถ้ายังไปได้

                   อาคารวัฒนธรรมของชนเผ่าเมารี (Maori) ที่เมือง Dunedin เกาะใต้ของนิวซีแลนด์

สวัสดีครับ

เพิ่งมีโอกาสกลับมาเขียนเรื่องราวเล่าสู่กันฟังกันอีกครั้งหลังจากที่เดินทางไปทำงานในสามประเทศในช่วงเวลาสิบวันที่ผ่านมาครับ ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องเดินทางจริงๆครับ งานเข้ามากองรวมๆ กันช่วงนี้พอดี ไม่มีปัญหาครับ ทำร่างกายให้แข็งแรงเท่านั้นเป็นพอ ซึ่งก็ไม่ใช่ง่ายๆหรอกนะครับ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังครับ เพื่อเป็นข้อคิดในเรื่องของการดูแลสุขภาพในช่วงที่ต้องเดินทางกันไกลๆ และมีเวลา (time zone) ที่ต่างกันครับ โดยเฉพาะสำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวานอย่างผมอยู่แล้วด้วย...

ผมมีโปรแกรมต้องเดินทางไปทำงานที่ประเทศเวียดนาม อินโดนีเซียและนิวซีแลนด์ในช่วงสิบวันที่ผ่านมานี้ครับ อย่างที่บอกครับว่างานมันเข้ามาพร้อมๆกันพอดีในช่วงนี้ สิ่งที่ผมกังวลเล็กน้อยสำหรับช่วงแห่งการเดินทางนี้ก็คือเรื่องของการทานยาและการคุมอาหารครับ ซึ่งสำหรับคนที่เป็นเบาหวานมานานอย่างผมแล้ว เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ เพราะว่าความยากลำบากในการควบคุมการกินยาให้ตรงเวลาและทานอาหารให้เป็นเวลาจะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอนครับ ทำไมน่ะหรือครับ ก็เพราะว่าเวลาต้องเดินทางโดยเครื่องบิน ทำให้เราไม่สามารถควบคุมการทานอาหารให้เป็นเวลาได้เหมือนที่เราทำตอนที่ไม่ต้องไปไหนน่ะสิครับ อย่างเช่น ถ้าต้องขึ้นเครื่องบินเที่ยวบิน 8 โมงเช้า เราก็ต้องไปถึงสนามบินเพื่อเช็คอินตอน 6 โมงเช้า ซึ่งกว่าจะได้ทานอาหารเช้าบนเครื่องบินก็เกือบ 9 โมงเช้าเข้าไปแล้ว ซึ่งผิดเวลาอาหารเช้าปกติของบางคน แล้วบางครั้งก็อาจจะไม่ใช่อาหารเช้าเต็มรูปแบบ แบบที่เราเคยทานตอนอยู่ที่บ้านอีก เช่น บางครั้งถ้าเป็นระยะทางบินสั้นๆ ก็ได้แค่อาหารว่างแค่นั้นเอง ซึ่งอย่างนี้ก็ทำให้การทานอาหารของเราเปลี่ยนแปลงไปแล้ว แล้วการทานยาล่ะ ก็ต้องมีผลใช่ไหมครับ รับประทานอาหารน้อยแต่ต้องกินยาลดน้ำตาลในเลือด อย่างนี้มีโอกาสเกิดอาการน้ำตาลต่ำได้ง่ายๆ ยิ่งอยู่ในช่วงเดินทางในต่างประเทศอีกต่างหาก เห็นมั้ยครับว่าไม่ง่ายเลย

อีกตัวอย่าง ก็อย่างเช่น ช่วงเวลาที่ต่างกันครับ ในประเทศที่พระอาทิตย์ขึ้นก่อนเมืองไทย เราก็ต้องตื่นเร็วขึ้น นอนเร็วขึ้น ทานอาหารเร็วขึ้น งั้นก็ต้องทานยาเร็วขึ้นด้วย และเวลาก็เปลี่ยนไปด้วย ใช่ไหมครับ อย่างนี้นี่เองที่ทำให้การทานอาหารและการกินยาของเราไม่ตรงกับเวลาเดิมและสร้างปัญหาให้ผมไม่ใช่น้อยเลยเช่นกันครับ ในภาวะอย่างนี้เราต้องเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลาเรื่องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดี เพราะจากที่เราเคยทานข้าวเย็นตอนหนึ่งทุ่ม เราก็อาจจะต้องทานข้าวเย็นตอนบ่ายโมง (เพราะมันเป็นตอนเย็นของประเทศนั้นแล้ว) เป็นต้น แล้วเราก็เข้านอนตอนห้าโมงเย็น แล้วก็ตื่นตอนเที่ยงคืนเพื่อจะไปทำงานตอนตีสอง... เห็นมั้ยครับว่ามันเปลี่ยนไปหมดจริงๆ

อย่างไรก็ตามอย่างที่บอกตอนแรกครับ ว่าเราต้องเตรียมพร้อมเรื่องการทานอาหาร การทานยาให้ดี ผมก็พยายามครับ แต่ทุกครั้งที่กลับจากต่างประเทศ น้ำตาลเช้าขึ้นทุกทีเลยครับ...

สวัสดีครับ

วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

โรคซึมเศร้าที่เกิดจากโรค VHL

                               โบสถ์ที่วัดพระธาตุม่อนพระเจ้าหลาย แม่ขะจาน อ. เวียงป่าเป้า เชียงราย

สวัสดีครับ

วันเสาร์ตอนบ่ายๆ ครับ วันนี้อยู่บ้านหลังจากที่เดินทางไปต่างประเทศมาหลายวันครับ วันนี้ผมไปค้นข้อมูลวิชาการมาเล่าให้ฟังกันนิดหน่อยครับ เข้าเรื่องเลยนะครับ คือเป็นเรื่องเกี่ยวกับโรคหรืออาการซึมเศร้าที่เกิดจากการที่เราเป็นโรค VHL นี้ครับ ทำไมต้องซึมเศร้าล่ะครับ มันเกี่ยวกันอย่างไรกับโรคนี้?

เกี่ยวกันครับ เกี่ยวมากด้วยสิครับ สาเหตุคือการที่เรามีความเจ็บป่วยทางร่างกายนานๆ เนื่องจากเป็นโรคนี้ไงครับ เมื่อเรารู้ว่าเราจะไม่มีทางหายจากโรคนี้เนื่องจากว่าในปัจจุบันนี้ยังไม่มีการค้นพบวิธีการรักษา มันก็จะทำให้เรารู้สึกหดหู่ หมดหวัง กดดัน และอื่นๆ อีกมากมากที่จะตามมา ไม่ว่าจะเป็นความกลัวต่อความเจ็บปวด กลัวต้องนอนโรงพยาบาล กังวลเรื่องค่าใช้จ่าย กังวลเรื่องที่จะทำให้เป็นภาระกับญาติพี่น้องต่อไป และอีกหลายอย่างครับ ที่จะเกิดขึ้นได้ เรื่องเหล่านี้แหละครับ ที่จะเกิดขึ้นและอยู่กับเราผู้ป่วยไปอย่างยาวนาน หรือตลอดชีวิต ซึ่งก็จะทำให้เกิดเป็นโรคซึมเศร้าตามมาได้ครับ

แต่ว่าจากข้างต้นเราจะเห็นว่า อาการดังกล่าวอาจมีสาเหตุมาจากความเจ็บป่วยทางกายเนื่องจากโรคอื่นๆ ก็ได้นะครับ เช่น โรคหัวใจ มะเร็ง เบาหวาน เป็นต้นครับ ไม่ใช่เฉพาะโรค VHL อย่างเดียว คือโรคอะไรก็ตามที่ทำให้มีความเจ็บป่วยทางกายที่ต้องใช้เวลาในการรักษานานๆ นั่นแหละครับ เป็นสาเหตุได้ทั้งนั้น

ต่อไปนี้คืออาการที่บ่งชี้ของคนที่อาจจะเป็นโรคซึมเศร้านะครับ คือ
  1. มีอาการซึมเศร้า หรือความรู้สึกโศรกเศร้าแทบจะทั้งวัน และแทบทุกวัน
  2. ขาดความสนใจ หรือพอใจกับสิ่งต่างๆ อยู่ตลอดเวลา
  3. น้ำหนักเพิ่มหรือลดลงอย่างฮวบฮาบ ถ้าไม่ได้ควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัด หรือความรู้สึกอยากอาหารหรือเบื่ออาหารเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
  4. นอนไม่ค่อยหลับ หรือหลับยากแทบทุกวัน
  5. อ่อนเพลียอยู่ตลอดเวลา
  6. รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า หรือรู้สึกผิดอยู่ตลอดเวลา
  7. ขาดสมาธิ
  8. คิดฆ่าตัวตายซ้ำซาก
ที่จริงอาการข้างต้นเหล่านั้นบางอย่างอาจเกิดจากสาเหตุของการเจ็บป่วยทางกายได้นะครับ อย่างเช่นมะเร็ง ที่อาจทำให้น้ำหนักลด นอนหลับไม่สนิท อ่อนเพลีย เป็นต้น ซึ่งเมื่อรักษาโรคเหล่านั้นจนหายไปแล้ว อาการที่ว่านั้นก็จะหายไปด้วยเช่นกัน

ทีนี้เมื่อไรที่เราจะต้องไปพบแพทย์เพื่อให้รักษาล่ะครับ จริงๆ แล้วอาการซึมเศร้านี้อาจหายไปได้เมื่อเวลาผ่านไป แต่ถ้าหากจะพิจารณาดูว่าเมื่อไรที่เราควรไปพบจิตแพทย์เพื่อรับการรักษาล่ะก็ ลองดูจากอาการที่เขียนไว้ดังต่อไปนี้นะครับ ว่าเราเป็นอย่างนี้หรือเปล่า
  1. อาการโศรกเศร้านั้นมากจนเรารู้สึกว่าต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่งกับมันแล้ว
  2. รู้สึกว่าเราต้องการความช่วยเหลือแล้ว
  3. อาการโศรกเศร้านั้นเริ่มมีผลกับการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น มีผลต่อการทำงาน มีผลต่อความสัมพันธ์กับผู้อื่น เป็นต้น
  4. คิดฆ่าตัวตาย
เป็นอย่างไรบ้างครับ มีบ้างไหมครับ ถ้ามีข้อใดข้อหนึ่งข้างต้นเกิดขึ้นกับเราแล้ว ก็คงหมายความว่าถึงเวลาต้องหาตัวช่วยแล้วสิครับ

คราวนี้ลองมาดูวิธีการรักษาบ้างนะครับ ว่ามีอะไรบ้าง
  • ข้อแรก คือการใช้ยาครับ
  • ข้อสองคือการรักษาทางจิตบำบัด
  • ข้อสามคือใช้ทั้งสองอย่างร่วมกัน คือทั้งยาและจิตบำบัดครับ
ซึ่งวิธีการรักษาในแต่ละคนก็คงจะไม่เหมือนกันครับ ผู้ป่วยคงต้องลองดูหลายๆ อย่าง แต่ผมว่าทางที่ดีถ้าเราไปพบจิตแพทย์ก่อนก็น่าจะดีนะครับ เพราะการซื้อยากินเองก่อนเลยก็อาจจะมีอันตรายได้ ถ้าใช้ไม่ถูกวิธีอันนี้ผมไม่ทราบจริงๆ ว่าควรทำอย่างไร เพราะยังไม่เคยไปพบจิตแพทย์หรือเข้ารับการรักษาโดยจิตบำบัดเหมือนกัน เคยคิดเหมือนกันครับว่าจะไปหาจิตแพทย์ โดยเฉพาะตอนที่รู้สึกแย่มากๆ มองไปทางไหนก็มีแต่ความมืดมนอะไรอย่างนั้น คือแค่อยากลองดูครับ ว่ามันจะเป็นอย่างไร แต่ก็ไม่ได้ทำครับ

อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเราจะเจ็บป่วยทางกายอย่างนี้ ยังไงก็ขอให้เข้มแข็งและอย่าเสียเวลาไปคิดถึงมันมากนะครับ เสียทั้งสุขภาพกายและจิต เอาเวลาที่มีอยู่ไปทำอะไรที่มีประโยชน์กับผู้คนรอบข้างดีกว่านะครับ

สวัสดีครับ

วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

หิวตลอดเวลาแม้ตอนกำลังทานข้าวอยู่...

สวัสดีครับ

วันนี้มีหัวข้อเรื่องแปลกๆ มาพูดคุยกันครับ คืออาการหิวอยู่ตลอดเวลาเหมือนชื่อหัวข้อเรื่องนั่นแหละครับ ผมสังเกตุตัวเองมาหลายวันแล้วถึงอาการหิวแปลกๆที่ว่านี้ คือหิวตลอดเวลาแม้ว่าจะกำลังทานอาหารอยู่ก็ตาม... หรือแม้กระทั่งหลังทานอาหารเสร็จใหม่ๆ ก็ด้วยครับ มันเป็นความรู้สึกที่แปลกมาก ผมหาสาเหตุไม่ได้มาเป็นเวลานานแล้ว คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจสักที จนกระทั่งวันนี้เองที่ผมคิดว่าผมน่าจะพอทราบสาเหตุแล้ว นั่นก็คือเพราะเจ้าเนื้องอกหรือซีสต์ในตับอ่อนนั่นเองครับ เจ้าเนื้องอกที่ว่านี้ทราบมาก่อนแล้วว่ามันเป็นตัวการที่ทำให้การผลิตน้ำย่อยจากตับอ่อนเป็นไปได้ไม่ปรกติ ผลก็คือน้ำย่อยออกมาน้อยกว่าปกติและก็เลยทำให้อาหารไม่ค่อยจะย่อย ซึ่งผลก็คือทำให้ท้องเสีย และอะไรอีกหลายๆ อย่าง ซึ่งผมเคยเขียนไปในตอนก่อนๆ แล้วครับ ก็เลยไม่อยากเอามาเขียนซ้ำอีก และเนื่องจากน้ำย่อยที่ออกมาไม่พอนี่แหละครับที่เป็นสาเหตุหลักของอาการหิวอยู่ตลอดเวลาแม้ขณะที่กำลังทานอาหาร...

ผมเข้าใจอย่างนี้ครับ (รวมๆกับหลักวิชาการที่อ่านมาจากหนังสือด้วย) ว่าเนื่องจากน้ำย่อยออกมาไม่พอและหลังๆนี้ผมก็ไม่ได้ทานยาช่วยย่อย (ซึ่งเป็นเอนไซม์ช่วยย่อยอาหาร ทานหลังอาหารเช้า เย็น) เลย ก็เลยทำให้อาหารไม่ค่อยย่อย อาหารส่วนใหญ่ที่กินเข้าไปก็จะไหลผ่านระบบทางเดินอาหารออกไปตรงที่ปลายระบบซึ่งก็คือที่ลำใส้ใหญ่หรือไปสู่ระบบขับถ่ายครับ และจากการที่อาหารไม่ค่อยจะย่อยนี่แหละครับที่ทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร คือเมื่อไม่มีสารอาหารเข้าสู่เซลล์ แน่นอนครับ ก็ทำให้เราหิวอยู่ตลอดเวลานั่นเอง

ผมอาจจะผิดก็ได้นะครับ แต่ไม่คิดว่าจะผิดทั้งหมด อันนี้สังเกตุจากตัวเองนะครับ จากนิสัยการรับประทานอาหารและการทานยาด้วย ช่วงหลังๆ นี้ผมไม่ค่อยทานยาช่วยย่อยครับ เพราะไม่อยากทานยาเยอะ คือท้องเสียก็ทนเอา อะไรอย่างนั้น ในเมื่อเป็นอย่างนี้ต่อไปก็คงต้องทานยาอย่างมีระเบียบวินัยตามที่แพทย์สั่งแล้วล่ะครับ แฮ่ะๆ

สวัสดีครับ

วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

น้ำตาลต่ำตอนกลางคืน


สวัสดีครับ

เย็นวันจันทร์ที่อากาศไม่ค่อยเย็นเท่าไร วันนี้มีเรื่องมาเล่าจากประสบการณ์น้ำตาลต่ำของตัวเองครับ อย่างที่เคยบอกว่าผมเป็นเบาหวานมาหลายปีแล้ว กินยามาตลอด และก็จากยานี่แหละครับที่ทำให้เรามีภาวะน้ำตาลต่ำได้บ่อยๆ ถ้าหากรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา หรือใช้พลังงานมากเกินไป เช่นจากการออกกำลังกาย หรือทำงานหนักเกินไปครับ สำหรับผมแล้วไม่ค่อยมีโอกาสได้ทำงานหนักเกินไป ส่วนใหญ่ภาวะน้ำตาลต่ำจะเกิดจากการออกกำลังกายมากกว่าครับ ซึ่งที่ผ่านมาก็เกิดขึ้นบ่อยๆครับ หลายครั้งเกิดตอนกลางวัน โดยเฉพาะตอนที่ทานอาหารไม่ตรงเวลา ก่อนจะได้ทานอาหารนี่แหละครับ ที่บางครั้งก็แทบจะเป็นลมไปเลยทีเดียว เหงื่อแตกพรั่กเลยนะครับ แต่หลายครั้งเหมือนกันที่เกิดตอนกลางคืนครับ กลางดึกเลยครับ ตีสองตีสามก็มี สาเหตุหลักของผมก็เนื่องมาจากว่าชอบออกกำลังกายตอนกลางคืนครับ เช่นหลังอาหารเย็นไปแล้วชั่วโมงสองชั่วโมง เป็นต้น ที่ต้องไปออกกำลังกายเวลานั้นก็เพราะว่าตอนกลางวันหาเวลาไม่ได้ครับ ที่จริงก็ไม่เห็นว่าน่าจะมีปัญหาตรงไหนใช่ไหมครับ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วครับ ส่วนใหญ่จะเป็นตอนที่ผมทานอาหารเย็นเร็วไปหน่อย เช่นหกโมงกว่าหรือหนึ่งทุ่มอะไรประมาณนั้น แล้วก็ไปออกกำลังกาย ออกอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานๆครับ เช่นสามสิบนาทีหรือบางครั้งก็เป็นชั่วโมง ไม่ได้ทำอะไรมากหรอกครับ ก็แค่เดินเร็วบวกกับวิ่งเหยาะๆ บ้าง พอให้เหงื่อมันออก และมีความต่อเนื่อง แต่ก็นั่นแหละครับ บางวันเล่นเอาแทบแย่เหมือนกัน บางคืนนะครับ ตื่นขึ้นมากลางดึก รู้ตัวเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรา มันหมดแรงครับ หมดแบบหมดจริงๆ และรู้สึกใจหวิวๆ ด้วย ตาก็มองไม่ค่อยชัด เหมือนมันมีอะไรมาบังตาไว้ตรงกลางๆ ภาพ ทันทีเลยครับ รีบไปหาอะไรหวานๆ กินทันทีเลย มันรู้ตัวเองครับ ขนมหวานทุกอย่างที่คว้าได้เอาหมดครับ เมื่อคืนนี้ทั้งขนมลูกเต๋า ป๊อกกี้เคลือบช็อกโกแลต และไอศกรีม จัดการเรียบครับ ระหว่างที่นั่งทานอยู่นั้นก็ใจหวิวๆ ครับ เหมือนร่างกายจะทรุดลงไปกองกับพื้นยังไงยังงั้นเลย ... เป็นความรู้สึกที่แย่มากๆ ครับ เรียกว่าเหมือนใกล้ตายก็ว่าได้ครับ เหงื่อก็ไหลออกมาอย่างกับเพิ่งไปวิ่งมาสักสิบกิโลประมาณนั้น พอกินเสร็จ เริ่มมีแรงพอจะพยุงตัวเองไปนอนต่อได้ก็รีบไปนอนต่อเอาแรงทันที...

ผมไม่อยากนึกว่าถ้าเราไม่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมามันจะเป็นอย่างไร... ไม่อยากจะนึกครับ นี่ขนาดรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาทันนะครับเนี่ย ลองเข้าไปค้นข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องภาวะน้ำตาลต่ำแล้วก็รู้สึกกลัวขึ้นมาอีกเยอะเลยครับ คือภาวะน้ำตาลต่ำมากๆ อาจจะทำให้ไม่รู้สึกตัวได้ และก็มีผลโดยตรงต่อสมองที่ในระยะยาว ถ้าเป็นบ่อยๆ อาจจะทำให้สมองพิการได้ หรือถ้าโชคร้ายหน่อยก็วิกลจริตได้เลยเชียวครับ

ดังนั้นสำหรับทุกท่านที่ยังมีสุขภาพที่แข็งแรง ก็ขอให้รักษามันไว้นะครับ อย่าปล่อยให้ท่านเองต้องเป็นเบาหวานหรือโรคอื่นๆเลยครับ แต่ก่อนผมทราบแต่เพียงว่าเบาหวานอาจทำให้ต้องถูกตัดมือตัดเท้า แต่ตอนนี้รู้เยอะขึ้นว่ามันมีอะไรที่แย่ๆมากกว่านั้นอีกมหาศาลเลยครับ

แล้วคุยกันใหม่ครับ ไม่ว่าจะอย่างไรเราก็คงต้องสู้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่อาจจะมาเป็นอุปสรรคในชีวิตครับ เดี๋ยวอีกสักครู่ผมก็จะไปวิ่งออกกำลังกายอีกเช่นเคย ขอให้ทุกคนมีสุขภาพที่แข็งแรงๆ นะครับ สวัสดีครับ

วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

เที่ยวหน้าหนาว

สวัสดีครับ

ช่วงนี้อากาศร้อนๆ เย็นๆ ถึงแม้ว่าจะเริ่มเข้าหน้าหนาวแล้ว ที่ผ่านมามีอยู่วันสองวันที่อากาศเย็นสัมผัสได้ที่ชานเมืองกรุงเทพ ก็ที่รังสิตนี่แหละครับ หลังจากนั้นก็ร้อนๆ มาตลอด ทำให้ไม่มีความรู้สึกของบรรยากาศปลายฝนต้นหนาวเลย แต่ที่ต่างจังหวัดมีแน่ครับ ช่วงสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมาผมมีโอกาสไปทั้งเพชรบูรณ์ และเวียงป่าเป้า เชียงราย อากาศหนาวตอนเช้าๆ ใช้ได้เลยนะครับ เรียกได้ว่าสัมผัสได้ถึงความหนาวเลยทีเดียว โดยเฉพาะทีแม่ขะจาน เวียงป่าเป้าด้วยแล้ว ได้ไปนั่งจิบกาแฟที่ร้านบนเนินริมถนน มองลงไปในที่ลุ่มเป็นทุ่งนาที่มีต้นข้าวอ่อนๆ สีเขียวอมเหลืองอยู่เต็มผืนนา และยังมีแม่น้ำลาวสายเล็กๆ ไหลผ่านยาวไปตลอดจนสุดสายตา จากแม่น้ำขึ้นไปก็เป็นภูเขาสูงเป็นแนวยาว มียอดสูงไปจนบางช่วงเรียกว่าอยู่ติดกับก้อนเมฆจนน่าจะเรียกได้ว่าเป็นสวรรค์เลยเชียวครับ บรรยากาศอย่างนั้นหาไม่ได้ในเมือง ต้องออกไปข้างนอกครับ ยังมีที่แบบนั้นอีกมากในประเทศไทยของเราที่ต้องไปเยือนกันนะครับ ภาพวันนี้ที่เอามาลงเป็นที่เขาค้อครับ ช่วงที่ไปไม่ใช่หน้าหนาว แต่เพราะว่าเป็นที่สูงและเป็นตอนเย็นๆ ด้วย ก็เลยได้บรรยากาศของหน้าหนาวมาเต็มๆ เย็นสบายมากครับ ไปยืนชมแสงอาทิตย์ยามเย็น ตอนที่พระอาทิตย์กำลังค่อยๆ ตกลับก้อนเมฆลงไป แค่นี้ก็มีความสุขแบบง่ายๆ ได้แล้ว

ใกล้ปีใหม่แล้ว กำลังคิดจะไปหาที่สัมผัสกับบรรยากาศเย็นๆ หนาวๆ อีกสักครั้ง มีให้เลือกเยอะครับ แต่คงต้องวางแผนกันดีๆ เพราะบางที่อาจจะมีคนไปเที่ยวพร้อมๆ กันเยอะมากจนกลายเป็นความวุ่นวายได้ครับ แล้วพบกันใหม่ครับ สวัสดีครับ

เนื้อคู่

สวัสดีอีกครั้งครับ

หายไปนานเลยถ้านับจากบทความตอนที่แล้ว ผมหายไปนานเพราะช่วงที่ผ่านมามีการปรับตัวนิดหน่อยครับ ปรับตัวเพื่อรับมือกับน้ำตาลในเลือดที่ยังคงสูงอยู่ครับ อันที่จริงก็ไม่ได้สูงเกินไปมากมายอะไรจากที่ผ่านๆมา แต่ที่เป็นปัญหาเพราะว่ามันสูงอยู่อย่างนั้นมาเป็นเวลานานพอสมควรแล้วครับ ซึ่งล่าสุดที่ไปพบแพทย์และเจาะเลือดตรวจน้ำตาลปัจจุบันกับน้ำตาลสะสมก็พบว่าน้ำตาลปัจจุบันของวันนั้นอยู่ที่ 130 แต่น้ำตาลสะสมนี่สิครับ วัดได้ 8.4 ซึ่งอยู่ในระดับนี้มาระยะหนึ่งแล้ว หมอบอกว่าคุณอายุยังน้อย (41) ระดับน้ำตาลสูงอย่างนี้ไม่ดี ใช่แล้วครับ ผมทราบดีว่าระดับน้ำตาลที่สูงเป็นเวลานานๆ อย่างนี้จะทำให้มีโอกาสเป็นโรคอย่างอื่นตามมาได้อีกมากมาย ที่น่ากลัวมากๆ ก็คือโรคไตวายครับ ยิ่งตอนนี้ผมมีไตเหลืออยู่แค่ข้างเดียวด้วย ก็เลยต้องมีการปรับตัวกันหน่อย เลิกนิสัยขี้เกียจได้แล้ว ว่าแล้วผมก็ทำตัวใหม่ เดินออกกำลังกายและวิ่งเหยาะๆ ทุกคืนครับ ใช่แล้วทุกคืน ที่ออกกลางคืนก็เพราะว่าเลิกงานกลับบ้านค่ำครับ ก็เลยต้องหาเวลาออกกำลังกายหลังอาหารเย็น ก็ได้ผลบ้างแล้วนะครับ เพราะระดับน้ำตาลในเลือดตอนเช้าเดี๋ยวนี้วัดได้ที่ระดับร้อยต้นๆครับ ต่ำกว่า 120 ตลอด แถมบางวันก็ไม่ถึงร้อยด้วยซ้ำ

เอาละครับ มาเข้าเรื่องเนื้อคู่กันดีกว่าครับ พอดีไปเจอโพสต์บนเฟสบุ้คของฝรั่งคนหนึ่งที่เป็นโรค VHL บอกว่าแฟนของเธอรับไม่ได้ที่เธอเป็นโรคนี้และจะไม่ยอมทนอยู่กับเธอต่อไป... จากโพสต์ตรงนั้น ทุกคนที่เข้ามาแสดงความเห็นก็เห็นตรงกันว่า อย่าไปแคร์คนอย่างนั้นเลย เขาจะไม่ใช่คนที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเธอหรอก บางคนก็บอกว่าถ้าเขาจะอยู่กับเธอ เขาก็ต้องยอมรับในส่วนที่ไม่ค่อยจะดีของเธอด้วย คือต้องร่วมทุกข์ด้วย ไม่ใช่ร่วมแต่สุขอย่างเดียว บ้างก็บอกว่าเดี๋ยวเธอก็เจอคนที่ใช่ในอนาคตแน่นอน ไม่ต้องกลัว... หลากหลายความเห็นครับ

ตรงนี้ที่อยากเอามาบอกเล่ากันก็เพราะผมรู้สึกว่าคนไทยเราหลายคนอาจจะไม่คิดอย่างนั้น ก็อาจจะมีบ้างนะครับที่อาจจะคิดอย่างนั้น แต่ส่วนใหญ่แล้วผมเห็นว่าเรามักจะเห็นอกเห็นใจกันมากกว่า และโรคนี้ก็ไม่ได้มีอะไรที่แสดงอาการที่น่ากลัวมากนัก ส่วนใหญ่เราจะกลัวคำว่า มะเร็ง มากกว่าใช่ไหมครับ หลายๆคู่ก็ไม่ทราบหรอกครับว่าคู่ครองของตนเป็นโรคนี้ พอทราบทีหลังก็ร่วมกันสู้ต่อไป ฝรั่งหลายๆ คู่ก็เป็นอย่างนี้ครับ เค้าก็ร่วมทุกข์และร่วมสุขกันต่อไป เรื่องอย่างนี้มันก็คงแล้วแต่ความคิดของแต่ละคนครับ แต่ผมว่าชีวิตมันก็เป็นอย่างนี้แหละ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรถ้าเรายอมรับมันและเรียนรู้มันด้วยจิตใจที่เข้มแข็งและมีสติ เราก็คงจะมีความสุขได้ตลอดเวลาครับ

สวัสดีครับ