วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เปลี่ยนพฤติกรรม เปลี่ยนชีวิต

สวัสดีครับ

วันนี้มีข่าวดีที่สุดข่าวหนึ่งในชีวิตเมื่อไปพบหมอเพื่อตรวจน้ำตาลในเลือดตามนัดหลังจากที่ตรวจไปล่าสุดเมื่อ 4 เดือนที่แล้ว คุณหมอบอกว่า "ดีขึ้นทุกอย่างเลย" .. เย้ๆ ผมแสดงอาการดีใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ไม่ถึงกับกระโดดหรอกครับ ก็ดีใจแบบเล็กๆและไม่ให้เสียมารยาทต่อหน้าคุณหมอแค่นั้นแหละครับ นี่นับเป็นครั้งที่สองถ้าจำไม่ผิดว่าน้ำตาลลงเมื่อเทียบกับการตรวจก่อนหน้า ที่ผ่านมาผมเครียดมาตลอดเมื่อต้องไปพบหมอตามนัด คือนอกจากจะต้องรอนานแล้วยังต้องมาลุ้นกับผลเลือดอีก แล้วที่ผ่านมามันก็มีแต่คงที่กับสูงขึ้นตลอด พอตรวจเสร็จออกจากห้องหมอก็จะมีความตั้งใจขึ้นมาทีหนึ่งครับ ว่าจะเอาใหม่ ต่อไปจะตั้งใจให้มากขึ้นละ คราวหน้ามาตรวจ น้ำตาลต้องลง ต้องเป็นเท่านั้นเท่านี้ ก็ตั้งใจได้ไม่นานหรอกครับ พอผ่านไปสักระยะก็กลับมาเป็นอีกเหมือนเดิม คือก็ยังกินเหมือนเดิม ออกกำลังกายเท่าเดิม นอนเท่าเดิม ใช้ชีวิตแบบเดิม... อย่างนี้มันก็คงมีแต่แย่ลงสิครับ ก็ตัวเราเองก็คงแก่ลงไปทุกวันด้วย ร่างกายมันคงไม่แข็งแรงเหมือนตอนที่ยังเป็นละอ่อนอยู่แน่นอน ทีนี้การกำจัดน้ำตาลมันก็คงจะไม่ค่อยดีเหมือนตอนอายุยังน้อยหรอกมั้งครับ อันนี้ผมคิดเอาเองนะ ไม่รู้เหมือนกันว่าพออายุมากแล้ว ร่างกายมันจะมีโอกาสจัดการกับสิ่งที่ร่างกายไม่ต้องการได้ดีขึ้นในบางเรื่องได้หรือเปล่า แต่คิดว่าโดยทั่วไปก็คงจะไม่..

ผมไปหาหมอพร้อมกับได้ยาเพิ่มมาตลอด จนกระทั่งล่าสุดผมทานยามากขึ้นจนกระทั่งมีอาการน้ำตาลต่ำตอนกลางคืนช่วงประมาณตีสองถึงตีสามอยู่สองสามครั้ง ซึ่งมันเป็นตอนที่เรากำลังหลับสนิทเลยครับ โชคดีที่ยังตื่นมาหาอะไรหวานๆทานได้ทันเวลา ผมกลัวว่าถ้าวันหนึ่งผมนอนจนไม่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมามันจะเป็นยังไง กลัวจะหลับยาวแบบไม่ตื่นนะสิครับ หรืออาจจะตื่นมาแล้วเจอคนมีเขาอะไรประมาณนี้.. หลังจากนั้นผมตัดสินใจเลยว่า เอาละ จะไม่กินยามากเท่าเดิมอีกแล้ว ผมลองเปลี่ยนการกินยาไปมาสองสามแบบ จนสุดท้ายผมคิดว่าจะกินแค่ยา Glipezide ก่อนอาหารเช้า และยา Miformin หลังอาหารเช้า-กลางวัน-เย็น เท่านั้น ผมทดลองทำอย่างนี้มาตลอด 4 เดือนก่อนไปพบหมอและได้ผลตามที่รายงานไปนั่นแหละครับ แต่เดี๋ยวก่อนครับ นอกจากการกินยาแล้ว ในช่วงที่ผ่านมามันมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมากอันหนึ่งร่วมด้วย นั่นก็คือผมได้หยุดงานในออฟฟิศที่กรุงเทพฯ แบบระยะยาวไป 3 เดือน เพื่อพักผ่อนและดูและสุขภาพด้วยครับ ผมมีเวลาอยู่กับต้นไม้มากขึ้น มีเวลาอยู่กับธรรมชาติมากขึ้น เรื่องอาหารการกินก็พอจะควบคุมได้ดีขึ้นอีกนิดหน่อย คือเลือกกินได้บ้าง ไม่จำเป็นต้องไปซื้อกินทุกมื้อเหมือนเดิม ทำให้ลดการทานอาหารพวกไขมัน และแป้งลงไปได้เหมือนกัน ผมว่านี่น่าจะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้นนะครับ

วันนี้ตอนเข้าห้องไปพบคุณหมอผมก็ถามท่านว่าสบายดีไหม คุณหมอก็บอกก็ตามสภาพ สบายดี ชีวิตมันก็อย่างนี้แหละ อย่าไปอะไรมากเลยคุณ... อืม ดูเหมือนจะเป็นการตอบแบบคุยกันธรรมดา แต่พอมาคิดอีกทีผมว่านี่เป็นเรื่องของคนที่เข้าใจในชีวิต และเข้าถึงธรรมะในระดับหนึ่งเลยทีเดียวนะครับ ใช่ครับ ผมคิดว่าท่านพูดถูกเลยทีเดียว ผมค่อนข้างมั่นใจว่าการใช้ชีวิตแบบปล่อยวางและพอใจในความเป็นไปของมันจะทำให้มีความสุขที่แท้จริงได้ ที่ผ่านมาผมไม่ได้เข้มงวดกับการกินอาหารและเรื่องอื่นๆ เช่น การนอน หรือการทำงานเท่าใดนัก ผมค่อนข้างปล่อยสบายๆ แต่ก็ไม่หลวมเกินไปนะครับ ทานหวานได้บ้างถ้าในช่วงนั้นไม่ค่อยได้ทานอะไรนัก หรืออาจจะมีหมูกรอบที่มันๆบ้าง แต่ก็ไม่มาก ที่สำคัญคือผมปล่อยวางได้เยอะขึ้น ผมว่าเรื่องนี้สำคัญ หลายครั้งผมพิสูจน์และเห็นกับตัวเองว่า อารมณ์มีส่วนสำคัญอย่างมากกับเรื่องของระดับน้ำตาลในเลือด อย่าเครียดครับ ผมว่าความเครียดไม่มีประโยชน์อะไรเลยครับ เรื่องอื่นๆที่สำคัญต่อร่างกายก็อย่างเช่น อาหาร อากาศ การออกกำลังกายเป็นต้น ยังไงก็ลองดูนะครับ เรื่องนี้ต้องใช้ทั้งทางกายและทางใจ ต้องลองหัดเชื่อในสิ่งใหม่ๆดูบ้าง เชื่อแบบมีเหตุผลนะครับ แล้วลองดูนะครับ ผมว่าชีวิตมันก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีๆได้เหมือนกัน สวัสดีครับ

9 ความคิดเห็น:

  1. สวัสดีค่ะคุณ ChanwichaiS

    ดิฉันอาจินต์ ภิรมย์รักษ์ จากการได้อ่านหลายๆบทความของคุณเกี่ยวกับโรค VHL ที่ทำให้คุณต้องผ่าตัดเนื้องอกและซีสที่โจมตีตามอวัยะต่างๆด้วยความรู้สึกที่เห็นใจ และเข้าใจในความทุกข์ทรมานเจ็บปวดเป็นอย่างมาก รวมทั้งเห็นใจ และอยากช่วยพี่น้องชาวไทยหลายๆคนอื่นๆ ที่ไม่รู้จัก แต่แน่ใจว่าพวกเขาก็กำลังมีความทุกข์ทรมานคล้ายๆคุณ ณ ห้วงเวลานี้ คำแนะนำเดียวที่ดีที่สุดที่จะช่วยคุณได้ให้คลี่คลายจากความทุกข์ทั้งหมดทั้งมวลที่เผชิญมาทั้งชีวิตแบบฉับพลันทันที และแบบฟรีๆ ก็คืออยากให้คุณพาตัวเองมางานธรรมะบำบัดสัญจร มาพบท่านอ.อุบล ศุภาเดชาภรณ์ ให้ด่วนที่สุด งานจะจัดในวันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม 2557 เวลา 12.30 - 15.00 น.ที่ ชั้น 10 โรงเแรม The Traveller ที่รัชดาภิเศก; สอบถามเส้นทางที่ ดร. ชัชวลี กะลัมพะเหติ (ดร.จิ๋ม) 089 883 7768 ดิฉันพยายาม upload ใบปลิว แต่ทำไม่ได้ค่ะ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถาม
    ได้ที่ดิฉัน อาจินต์ ภิรมย์รักษ์ 083 274 7778 งานนี้เพื่อช่วยเพื่อร่วมโลกด้วยความบริสุทธิ์ใจค่ะ ไม่ได้มีนัยยะแฝงเร้นใดใดทั้งสิ้น หวังว่าจะลองพิจารณาอย่างทันท่วงที ถ้าคุณมีบุญสัมพันธ์กับท่านอ.อุบล เราว่าคุณน่าจะไม่พลาดนะคะ

    ด้วยความนับถือ

    อาจินต์ ภิรมย์รักษ์

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. สวัสดีครับคุณอาจินต์ ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณมากในความปรารถนาดีที่มอบให้ผมนะครับ ผมต้องขออภัยที่ไม่สามารถไปร่วมงานได้เนื่องจากติดภาระกิจสำคัญในต่างจังหวัดครับ ที่จริงผมเห็นข้อความของคุณตั้งแต่สองวันที่แล้วแต่เตรียมตัวไม่ทันจริงๆ อย่างไรก็ตามผมมก็มีความเชื่อเช่นกันครับว่าธรรมะเท่านั้นที่จะทำให้ผมพ้นจากความทุกข์ต่างๆได้ ขอบคุณครับ

      ลบ
  2. สวัสดีค่ะ คุณเจ้าของ บล๊อค อยากรบกวนขอ ID line ได้มั้ยค่ะ อยากสอบถามเกี่ยวกับโรคนี้เพิ่มเติม

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ยินดีครับ chanwichai ครับ เพิ่มได้เลยครับ

      ลบ
  3. ขอบคุณสำหรับบทความดี ๆ นะครับ
    ตอนนี้ผมเพิ่งทราบว่าตัวเองเป็นโรคนี้เช่นกัน
    เพิ่งผ่าตัดครั้งแรก ขออณุญาตแอด ID Line ด้วยนะครับ

    ตอบลบ
  4. มาเปิดอ่านข้อความก็หลายรอบแล้ว แต่ยัไม่เคยได้แสดงความคิดเห็นสักที ต้องขอขอบคุณเจ้าของบล๊อคนะค่ะ ที่ลงข้อมูลเกี่ยวกับ โรคนี่ได้น่าสนใจดีมากๆค่ะ แล้วถ้าอยากจะรบกวนขอ ID Line เพื่อสอบถามเพื่มเติมจะได้ไหมค่ะ

    ตอบลบ
  5. เรียบเรียงบล็อกได้สนุกอ่านเพลินมากๆเลยครับ
    ผมเพิ่งพบบล็อกนี้ อ่านวันเดียวรวดจบเลย ขณะเดียวกันก็มีสาระมากๆครับ
    เป็นวิทยาธานอย่างมากสำหรับโรคที่พบได้ยากแบบนี้ ประสบการณ์ที่พี่เจ้าของบล็อกถ่ายถอดมามีคุณค่าจริงๆครับ

    ต่เห็นว่าบล็อกสิ้นสุดที่ปี 2014 และไม่ได้อัพเดตต่อไม่ทราบว่าพี่เจ้าของบล็อกยังสบายดีแข็งแรงอย่างเดิมอยู่ไหมครับ
    เป็นกำลังใจให้นะครับและขอให้พี่แข็งแรงโรคสงบครับ พี่เข้มแข็งมากสำหรับคนที่ผ่านเรื่องราวมาขนาดนี้
    รออ่านอัพเดตตอนใหม่ๆนะครับ ขอบคุณครับ

    ตอบลบ
  6. ขออนุญาต​ add​ line​ ด้วยนะคะ

    ตอบลบ