วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554

ธรรมะสำหรับคนเจ็บไข้ จากท่านพุทธทาสภิกขุ

สวัสดีครับ วันนี้วันหยุด เช้านี้ที่นี่อากาศดีมากครับ ฝนตกเปาะแปะๆ อากาศเย็นสบาย มีลมพัดมาเบาๆ บรรยากาศน่าพักผ่อนมากๆ ครับ สำหรับคนที่ไม่ต้องทำงานวันเสาร์อย่างนี้ก็คงหยุดสบายและมีความสุขแต่สำหรับท่านที่ยังต้องทำงานกันก็ขอให้สนุกกับงานนะครับ วันหยุดสบายๆ อย่างนี้ผมตั้งใจจะไปวัดครับ จะไปวัดหลวงพ่อปัญญาที่รังสิตคลองหกนี่เอง ใกล้ๆบ้าน อยากจะไปทำบุญและหาที่สงบๆ ทำใจให้สบายหลังจากที่ผ่านเรื่องยุ่งๆ วุ่นวายมาระยะหนึ่งครับ โดยเฉพาะอาทิตย์ที่แล้วที่ญาติๆพากันป่วยเข้าโรงพยาบาลไปตามๆกัน

เมื่อวานหาหนังสือจากชั้นหนังสือที่บ้านอ่าน เจอพ็อกเก็ตบุคเล่มเล็กๆ เล่มหนึ่งพอดีชื่อ ธรรมะสำหรับคนเจ็บไข้ โดยท่านหลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ ครับ อ่านแล้วอยากจะเอาบางส่วนมาเล่าให้ฟังและแลกเปลี่ยนหากท่านใดอยากคุยด้วยนะครับ ที่จริงช่วงที่ตัวผมเองป่วยต้องเข้ารับการผ่าตัดก็ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ไปแล้ว แต่คราวนี้พอหยิบมาอ่านก็ได้อะไรๆ เพิ่มพูนปัญญามากขึ้นไปอีกครับ หนังสือหลายๆ เล่มเรามักจะได้อะไรเพิ่มเติมเสมอเมื่ออ่านซ้ำนะครับ

ที่จริงพออ่านไปแล้ว ไม่เฉพาะคนป่วยเท่านั้นหรอกครับที่จะได้ประโยชน์ คนที่ไม่ป่วยก็ได้มากเช่นกันครับ หลักธรรมของพุธศาสนาใช้ได้กับทุกคนครับ ชีวิตเป็นทุกข์ตั้งแต่เกิดมาแล้วครับ มีเกิดแล้วก็มีแก่ มีเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วก็ตาย เป็นเรื่องธรรมดามาก เราก็ล้วนทราบกันดีว่าชีวิตต้องเป็นเช่นนี้แต่พอเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นกับตัวเราแล้ว เราก็มักจะตั้งสติไม่ทัน เป็นทุกข์ไปกับมันทันทีนะครับ นี่แหละครับเราจึงควรจะมีธรรมะติดตัวไว้เสมอ มีสติพร้อมกับทุกๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับร่างกายและจิตใจนี้ครับ

เรื่องธรรมะสำหรับคนเจ็บไข้ในพระไตรปิฏกได้สรุปว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง เรียกว่า ตถตา-เป็นเช่นนั้นเอง มันมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งกันแล้ว เป็นเช่นนั้นเอง เรียกว่าอิทัปปัจยตา ทุกอย่างมันมีเหตุ มีปัจจัยที่ทำให้เกิดครับ ความเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนต้องมี เราต้องไม่เอาจิตใจไปสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของความเจ็บป่วยนั้นๆ ว่าเป็นตัวเรา เป็นของเรา แล้วทำให้เกิดเป็นความทุกข์ความร้อนใจขึ้นมาครับ เพื่อที่จะไม่เอาความยึดมั่นความมีตัวตนเข้าไปยึดกับอะไรต่างๆเราต้องสร้างความดับไม่เหลือ ให้เกิดขึ้น ซึ่งมีสองอย่างได้แก่ร่างกายตายแล้วดับไม่เหลือ กับอีกอย่างคือความรู้สึกว่าตัวตน ว่าของตน อย่าให้ความรู้สึกว่าตัวตน - ของตนเกิดมาอีก เราควรจะมีสติ ตั้งใจว่าเมื่อร่างกายนี้ดับไปแล้ว เราไม่อยากจะเกิดอีก ซึ่งการเกิดมาอีกก็จะมีแต่ความทุกข์ตามมาเหมือนเดิมครับ คือแก่ เจ็บ แล้วก็ตาย เราคงไม่อยากจะเจออะไรที่มันซ้ำๆ อย่างเดิมอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่านะครับ ทีนี้วิธีการที่จะใช้เพื่อให้เราเข้าถึงความเข้าใจ เข้าถึงความมีสติ รู้ทันสภาพร่างกายและจิตใจ สังขารที่เปลี่ยนแปลงไปก็คือ การทำสมาธิ ครับ การทำสมาธิเป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ เป็นสิ่งที่ทำได้ ไม่เกินวิสัย คือการกำหนดจิตไว้ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ทำสมาธิเพื่อหยุดหรือว่างจากความนึกคิด ปรุงแต่งอันวุ่นวายเหล่านั้น

การทำสมาธิอย่างง่ายที่สุดคือเอาจิตกำหนดที่ลมหายใจ จิตเป็นผู้วิ่งตามลมหายใจเข้าอยู่ ออกอยู่ อย่าไปเครียด ให้ทำอย่างเบาๆ สบายๆ จิตเท่านั้นทำ แล้วจิตก็จะตั้งมั่น จิตก็จะไม่ฟุ้งซ่าน ความทุกข์ก็จะไม่แทรกแซงเข้ามาได้ เพราะจิตตั้งมั่นเสียในสมาธิ

ท่านยังได้กล่าวอีกว่าการบังคับลมหายใจนี้ มันมีผลทั้งต่อร่างกายและจิตใจครับ เราไม่สามารถบังคับร่างกายได้โดยตรง แต่เราบังคับผ่านสมาธิครับ นี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์ของสมาธินะครับ อยากให้ทุกท่านลองดู เพื่อความสุข และสงบที่หาได้ทันทีครับ เป็นความสุขที่ยั่งยืนตามหลักศาสนาโดยตรงด้วยนะครับ

สำหรับวันนี้คงขอลากันไปก่อนตรงนี้ละครับ ขอให้ทุกท่านมีความสุข มีสติรู้ทันสังขารในยามที่เจ็บป่วยกันทุกคนนะครับ สวัสดีครับ...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น