วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555

ผ่าตัดครั้งแรก รอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์

ผมเข้ารับการผ่าตัดสมองครั้งแรกตอนอายุ 19 ปีครับ ตอนนี้ผมอายุ 40 ปีแล้ว นับเวลาก็ผ่านมา 21 ปีแล้ว การผ่าตัดครั้งนั้นเป็นการผ่าตัดที่บอบช้ำที่สุดในชีวิต และต้องเรียกว่ารอดตายมาได้อย่างปาฏิหาริย์ ตอนนั้นยังไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไรหรอกครับ จำได้ว่าช่วงนั้นเพิ่งเรียนจบเทอมที่สองของชั้นปีที่ 1 ของมหาวิทยาลัยรัฐบาลแห่งหนึ่งในภาคเหนือ ผมกลับบ้านมาอยู่กับพ่อแม่ที่เพชรบูรณ์ในช่วงปิดภาคเรียนครับ อาการปวดหัวเริ่มตั้งแต่ประมาณหนึ่งเดือนก่อนปิดเทอมแล้ว ตอนแรกๆ ปวดไม่มากนักตรงท้ายทอย แต่ก็ปวดมากขึ้นมานิดหน่อยทุกวัน ๆ ซึ่งผมก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรผิดปกติ ปวดอย่างนั้นอยู่เป็นเดือนจนสอบเสร็จกลับมาอยู่บ้าน อาการปวดก็ไม่หายไป แต่กลับเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังทนได้อยู่ ตอนนั้นก็ยังไม่ทราบว่าเป็นอะไรอยู่ดี และไม่ได้ไปหาหมอที่ใดๆ เพราะความที่ปกติร่างกายก็แข็งแรงดี และเคยปวดหัวธรรมดาๆ มาก่อนซึ่งไม่นานก็หายไปได้เอง ผมกินยาแก้ปวดพวกพาราเซตามอลแล้ว แต่ก็ยังไม่หาย ยาแก้ปวดอื่นๆ ก็ทานแต่ก็ยังเอาไม่อยู่อยู่ดี จนวันหนึ่งร่างกายผมเริ่มทนไม่ได้ ต้องนอนซม ขดตัวอยู่กับที่นอนอยู่ตลอดเวลา ผมนอนซมอยู่อย่างนั้นติดต่อกันสองสามวัน จะลุกขึ้นมาก็ตอนทานข้าว เข้าห้องน้ำเท่านั้น แต่ทุกคนทางบ้านก็ไม่ทราบว่าเป็นอะไรและจะทำอย่างไรดี ตอนนั้นผมก็แทบไม่ได้สติอะไรแล้ว ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร และต้องทำอย่างไรต่อไป แต่เหมือนกับยังไม่ถึงเวลาต้องจากไปก่อนวัยอันควรครับ จู่ๆ ขณะที่นอนซมอยู่อย่างนั้นสมองก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า พี่ชายผมคนหนึ่งเพิ่งไปผ่าตัดสมองมาไม่นาน ผมคิดว่าจะลองไปปรึกษาพี่ชายดู เผื่อจะมีอะไรที่คล้ายๆ กันหรือเปล่า ผมบอกพ่อว่าจะไปหาพี่ชายที่ในเมือง พ่ออนุญาต แล้วผมก็นั่งรถสองแถวไปหาพี่ชาย ด้วยสภาพที่อิดโรยเต็มที พี่ชายเห็นสภาพผมและอาการที่ผมเล่าก็รีบจัดแจงขับรถพาไปตรวจสมองที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก ระหว่างการเดินทางซึ่งต้องผ่านเทือกเขาสูงของเขาค้อไปนั้น บางช่วงผมแทบจะสิ้นสติ เพราะความเจ็บปวด ทั้งปวด ทั้งมึน และอยากจะอาเจียนไปตลอดทาง ผมต้องมีถุงพลาสติกถือไว้ในมือตลอด ภาวนาให้ถึงโรงพยาบาลเร็วๆ ด้วย พี่ชายและพี่สะใภ้ ที่นั่งไปด้วย ได้แต่ปลอบผมไปตลอดทาง ในที่สุดก็มาถึงโรงพยาบาลซึ่งผมจำเหตุการณ์อะไรไม่ได้มากนัก รู้แต่ว่าหลังจากเอ็กซเรย์สมองด้วยเครื่องมือ CT scan หมอก็บอกว่าต้องได้รับการผ่าตัดทันที อาการที่หมอพบก็คือ สมองบวม น้ำไขสันหลังคั่งในสมอง เป็นแผลในสมอง และมีเนื้องอกในสมองส่วนหลัง เท่านั้นเองหลังจากที่ทุกอย่างชัดเจน ผมรู้สึกดีขึ้นอย่างประหลาด ที่รู้สึกดีขึ้นแทบจะทันทีเพราะรู้ว่าตัวเองเป็นหลังจากที่เหมือนหมดหวังแล้วมาตลอดเวลาเป็นเวลานานนั่นเองครับ คือรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป แต่อาการทางร่างกายก็ยังแย่เหมือนเดิม พี่ชายแจ้งให้พ่อทราบเรื่องผลการตรวจแล้วขับรถพาผมมาส่งที่โรงพยาบาลราชวิถีในกรุงเทพฯทันที ตอนนั้นผมแทบทรงตัวไม่อยู่แล้ว แข็งใจเดินตามพี่ชายตามทางเดินในโรงพยาบาลไปอย่างอดทนที่สุดเท่าที่ร่างกายจะทำได้ บางช่วงผมจำได้ว่าตาลาย และต้องกระพริบตาหลายๆ ครั้งเพื่อให้ภาพพี่ชายที่เดินอยู่ข้างหน้าชัดขึ้น และแข็งใจเดินต่อไป เมื่อติดต่อเจ้าหน้าที่เรียบร้อย ผมต้องนอนเตียงผ้าใบที่เจ้าหน้าที่เอามาเสริมไว้ระหว่างเตียงผู้ป่วยคนอื่นๆ เนื่องจากมีผู้ป่วยเป็นจำนวนมากจนเตียงไม่มีว่างนั่นเอง ช่วงที่นอนเตียงผ้าใบเพื่อคอยคิวเข้ารับการผ่าตัดอยู่นั้น ผมรู้สึกเหมือนจะอาเจียนอยู่ตลอดเวลา แต่ก็อาเจียนออกมานิดหน่อยเท่านั้นเอง บางช่วงเป็นตะคริวที่ท้อง เพราะเกร็งตอนอาเจียนด้วย ทรมานมากๆ จนในที่สุดก็ได้คิวเข้าห้องผ่าตัดจนได้ ที่จริงสภาพผมก่อนผ่าตัดนี่แทบจะไม่รอดอยู่แล้วครับ แต่หลังผ่าตัดยิ่งกว่านั้นอีก ผมฟื้นขึ้นมาในห้องไอซียูซึ่งตอนนั้นผมไม่มีสติพอที่จะรู้ว่าผมอยู่ที่ไหนและเกิดอะไรขึ้นกับตัวผมเลย จำได้ว่าตรงกลางห้องมีหิ้งพระแขวนอยู่ ซึ่งหลังจากที่ลืมตารู้สึกตัวได้ไม่นานผมได้แต่สวดภาวนาให้หายเจ็บปวดที่ศีรษะ ผมเฝ้าภาวนาอย่างนั้นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมาเลย ผมปวดหัวและรู้สึกอยากจะอาเจียนจนแทบทนไม่ได้ แต่ในที่สุด แพทย์ก็ได้ย้ายผมออกจากห้องไอซียูนั้น ผมเข้าใจว่าอาจเป็นเพราะว่าผมรู้สึกตัวดีขึ้นแล้วกระมัง แพทย์ก็เลยให้ออกจากห้องไอซียูได้ ที่จริงอาการผมก็ควรจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่องนะครับ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผมไม่น่าจะมีชีวิตรอดมาเขียนให้ทุกท่านได้อ่านกันด้วยซ้ำ ผมหยุดหายใจครับ ผมหยุดหายใจหลังจากออกจากห้องไอซียูได้ไม่กี่วัน ตอนนั้นทุกคนคิดว่าผมนอนหลับไป เพราะสภาพผมตอนนั้นก็ได้แต่นอนซมอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วครับ แต่เหมือนผมจะยังชดใช้กรรมไม่หมด ท่านเลยยังไม่ให้ตาย พยาบาลมาพบเข้าครับ ว่าผมหยุดหายใจแล้ว ก็เลยรีบพาเข้าไปผ่าตัดซ้ำอีกครั้ง ผมรอดออกมาได้อีกครั้งครับ คราวนี้ในสภาพที่ยิ่งกว่าเดิมอีก จำได้ว่าผมทรมานมากๆ ปวดหัวและเวียนหัวอย่างที่สุด หลับตาลงทีไรรู้สึกเหมือนโลกหมุนและตัวจะหลุดออกจากเตียงอยู่ตลอดเวลาจนผมต้องเอามือจับเหล็กกั้นที่เตียงไว้ พร้อมกับรีบลืมตาขึ้นมาทุกครั้งที่รู้สึกว่าโลกหมุน มันเป็นอยู่อย่างนั้นนานมาก นานหลายวันจนผมแทบจะรับไม่ได้กับความทรมานที่เกิดขึ้น ผมพยายามดิ้นรน และแกะสายทุกอย่างที่พันและเข็มที่เจาะอยู่กับตัวผมจนเจ้าหน้าที่ต้องเอาผ้ามามัดมือมัดเท้าผมติดกับเตียงไว้ จำได้ว่าตอนนั้นผมอยากตายมาก ผมอยากมีปืนและอยากจะฆ่าตัวตายที่สุด ผมไม่ต้องการจะทนทรมานอย่างนั้นต่อไปแล้ว พ่อแม่พี่น้องทุกคนตอนนั้นทำใจไว้แล้ว หลายคนร้องให้เพราะรับไม่ได้กับสภาพที่เห็น อย่างที่เขียนไว้ก่อนหน้านี้ว่ากรรมคงยังไม่หมด ผ่านไปเป็นเดือน ผมเริ่มดีขึ้น ทรมานน้อยลง แต่ก็ยังไม่สามารถลุกนั่งได้ ผมนอนอยู่อย่างนั้นจนผิวหนังข้างๆ ศีรษะ และหูทั้งสองข้างไหม้ คือผิวหนังลอกเนื่องจากการนอนกดทับอยู่ตลอดเวลา ทั้งซ้ายและขวา เพราะว่านอนหงายตรงๆ ไม่ได้นั่นเอง หมอผ่าทางด้านท้ายทอยครับ นอกจากจะมีแผลยาวแล้ว ยังมีสายที่สวมระบายเลือดออกจากสมองอีก ก็เลยทำให้นอนหงายไม่ได้ครับ แพทย์ยังได้ใส่สายระบายน้ำในสมองต่อลงมาที่ทรวงอกด้านขวาของผมด้วย ทุกวันนี้ถ้าไปเอ็กซเรย์ดูก็จะพบสายที่ว่านี้ปรากฏอยู่ในฟิล์มทุกครั้ง เมื่ออาการเริ่มดีขึ้นผมก็เริ่มหัดเดินใหม่ ผมยังเดินไม่ได้เพราะกล้ามเนื้อลีบและฝ่อหมดแล้วจากการนอนอยู่บนเตียงเป็นเวลานานกว่าเดือน ผมไม่แน่ใจว่าผมนอนในโรงพยาบาลนานเท่าไร สุดท้ายผมก็ได้กลับบ้าน ผมมาพักต่อที่บ้านได้ประมาณเดือนกว่าก็กลับไปเรียนต่อในเทอมแรกของปีที่สอง ที่จริงผมยังไม่พร้อมหรอกครับ เพราะนอกจากจะเดินเซแล้ว ผมยังผอมมากๆ อีกด้วย แต่พ่อก็ไม่อยากให้เสียการเรียน และคงมองเห็นว่าผมคงจะต่อสู้กับสภาพอย่างนี้ได้ ซึ่งก็ถูกของพ่อครับ ผมนั่งรถไฟขึ้นเหนือไปเรียนต่อโดยมีพ่อกับแม่นั่งไปด้วย ผมไปเรียนช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันหนึ่งเดือน แต่สุดท้ายผมก็เรียนทันและจบได้ตามกำหนดเวลาของหลักสูตรครับ ผมต้องขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ที่ให้กำลังใจผม รวมทั้งพี่ๆ และน้องๆทุกคน ที่เอาใจใส่และดูแลผมเป็นอย่างดีในช่วงที่ลำบากที่สุดในชีวิตจนผมสามารถผ่านเหตุการณ์ครั้งนั้นมาได้

ตอนนั้นผมไม่ทราบหรอกครับว่าที่ผมผ่านตรงนั้นมาได้ก็เพื่อที่จะเจอกับอะไรอีกมากมาย ผมผ่านการผ่าตัดใหญ่อีกถึง 5 ครั้ง และผ่าตัดเล็ก รวมทั้งการรักษาด้วยแสงเลเซอร์ที่ตาอีกกว่า 3 ครั้ง ตอนนั้นผมยังไม่ทราบเลยว่าโรคที่เกิดขึ้นกับผมคือโรคอะไร และผมจะต้องเจอกับอะไรบ้างในอนาคต ผมไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลยครับ นอกจากการออกกำลังกายที่ผมชอบส่วนตัวอยู่แล้ว แล้วผมจะมาเล่าให้ฟังในตอนต่อไปครับ ทุกวันนี้ผมสบายดี แต่ผมก็ต้องมีชีวิตอยู่กับไตแค่ข้างเดียว และผมยังเป็นเบาหวานด้วย แต่ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจชีวิตดีว่าการมีโรคเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต สำหรับตอนนี้ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพกายที่แข็งแรง มีความสุขกันทุกคนครับ สวัสดีครับ...

2 ความคิดเห็น:

  1. คนที่ป่วยอยู่ถ้าได้อ่านคงมีกำลังใจขึ้นมากเลยครับ เพราะผมรู้สึกดีขึ้นจริง ๆ จากที่กำลังท้ออยู่
    ผมอายุ 27 ครับ ผ่าตัดกระดูกคอซึ่งมีเนื้องอกไปกดทับเส้นประสาท ทำให้ขยับร่างกายไม่ได้ คล้ายคนเป็นอัมพาต และเพิ่งผ่าตัดไตข้างขวาออกเนื่องจากพบก้อนเนื้อขนาดประมาณ 13 cm แล้วนำไปตรวจก็พบว่าเป็นมะะเร็ง ตลอดเวลาที่นอนโรงพยาบาลนั้น ทรมานจริง ๆ ครับ หยุดหายใจหลังจากผ่าตัดที่คอ ได้เข้า ICU ฯลฯ...แล้วผมก็ผ่านมันมาได้
    ตอนนี้กำลังหัดนั่ง-เดินครับ เพราะนอนมาร่วม 2 เดือน และจะต้องหัดใช้นิ้วมือ เพราะผมควบคุมนิ้วมือไม่ได้ (ที่พิมพ์ได้นี้จากหน้าจอทัชสกรีนของ Tablet ครับ) ผลจากเส้นประสาทที่ถูกกดทับ

    ต้องขอบคุณพี่จริง ๆ ครัับที่ได้เขียน blog นี้ขึ้นมา

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. สวัสดีครับ... โทษทีครับที่ตอบช้าไปหน่อย ช้าไปเกือบสองปีแน่ะ เดาว่าถึงตอนนี้คุณ hEAvEn_Corp คงจะดีขึ้นแล้ว ยังไงก็ขอเป็นกำลังให้ด้วยคนนะครับ ผมเชื่อว่าทุกอย่างมันอยู่ที่ใจจริงๆ ความสุขและความทุกข์ของเรามันอยู่ตรงที่เราคิดและเราเชื่อนั่นเองแหละ ผมยังมั่นใจอยู่นะครับว่าถ้าเราตัดกระบวนการของการปรุงแต่งที่ทำให้เกิดทุกข์ขึ้นมาได้ เราก็จะมีความสุขที่แท้จริงได้ตลอดไป วงจรมันเริ่มจากผัสสะ แล้วไปเวทนา แล้วไปต่อที่ตัณหา อุปาทาน ภพ แล้วก็ชาติ ผมก็กำลังศึกษาอยู่ครับ พยายามจะปล่อยมันไป ไม่เอามันมาเป็นของเรา... ขอเป็นกำลังใจให้อีกครั้งนะครับ

      ลบ