วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

ผ่าสมองครั้งที่ 4 ที่โรงพยาบาลวิภาวดี ปี 2548

สวัสดีครับ วันนี้เอาเรื่องการผ่าตัดสมองครั้งที่ 4 มาเล่าให้ฟังกันครับ เข้าเรื่องเลยนะครับ

ผมเข้ารับการผ่าสมองครั้งที่สี่ หลังจากผ่าครั้งที่สาม 1 ปีครับ ที่จริงถึงตรงนี้แล้ว (คือหลังจากผ่าตัดสมองครั้งที่สาม) ผมก็ยอมรับและเริ่มเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันได้ถึงระดับหนึ่งแล้วครับ ดังนั้นการผ่าตัดครั้งที่สี่จึงไม่ทำให้ผมกังวลใจมากนัก นอกจากจะกลัวว่ามันจะปลอดภัยไหม และผมจะกลับมาปกติเหมือนเดิมเหมือนก่อนผ่าตัดหรือไม่ เพราะผมทราบว่าการที่ต้องได้รับการผ่าตัดสมองหลายครั้งย่อมมีผลกระทบต่อสมองแน่นอน อย่างแรกเลยที่ผมทราบจากคุณหมอคือ ในระยะยาวความจำอาจจะไม่ดีเหมือนเก่า แต่ผมก็เลือกไม่ได้นี่ครับ ถึงแม้จะเลือกไม่ได้แต่ผมก็ทำใจได้ครับ การผ่าตัดสมองครั้งที่สี่ เกิดขึ้นขณะที่ผมได้ไปปฏิบัติงานอยู่ต่างประเทศที่เวียดนามครับ ระยะทางไม่ไกลมาก นั่งเครื่องบินประมาณชั่วโมงนิดๆ ก็ถึงแล้วครับ ดังนั้นจึงไม่น่ากังวลใจมากนักในกรณีที่ต้องเข้าโรงพยาบาลด่วน และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆครับ เมื่อวันหนึ่งผมรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับตัวผม มันเจ็บแปลกๆ ที่บริเวณหน้าท้องใต้ชายโครงขวาครับ ตอนแรกผมนึกว่าคงไม่มีอะไรเพราะมันแค่เจ็บนิดเดียว แล้วก็หายไป แต่พอมันเป็นอย่างนี้อยู่สี่ห้าวันผมก็เริ่มไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวผมกันแน่ แล้วยิ่งพอวันที่ห้าที่หกผมเริ่มมีอาการปวดและมึนศีรษะร่วมด้วย ก็ยิ่งทำให้ผมคิดหนักว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมมาแน่ใจว่าต้องมีอะไรผิดปกติที่ไม่ธรรมดาแน่นอนก็ประมาณวันที่หกครับ คืออาการมึนที่เพิ่มมากขึ้นและจากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้ผมรู้ตัวว่าถึงเวลาต้องไปหาหมอแล้ว ผมรีบไปคอนเฟิร์มเที่ยวบินกลับเมืองไทยทันทีเลยสำหรับวันรุ่งขึ้นซึ่งก็นับว่าโชคดีมากที่ไหวตัวทัน เพราะบ่ายๆ ของวันนั้นเองผมก็ต้องรีบออกจากที่ทำงานกลับมาที่พักและนอนพักอย่างหมดเรี่ยวแรงอยู่นานหลายชั่วโมง มันมีอาการปวดและมึนศีรษะเพิ่มขึ้นครับ และอยากจะอาเจียนร่วมด้วย ผมรู้สึกเหมือนกับว่าจะไม่มีโอกาสลุกจากที่นอนอีกแล้วตั้งแต่ตอนนั้นหลังจากที่ล้มตัวลงนอน มันรู้สึกเหมือนกับตัวจะจมหายเข้าไปในที่นอนเลยครับ ผมบอกกับพี่คนไทยที่ทำงานด้วยกันก่อนจะกลับมานอนพักด้วยว่าถ้าถึงห้าโมงเย็นของวันนั้นให้โทรหาผมด้วย เพราะผมไม่แน่ใจว่าถึงตอนนั้นผมจะเป็นอย่างไรบ้าง คือถ้าผมอาการแย่จริงๆ อย่างน้อยก็ยังจะมีคนทราบครับ ลืมบอกไปว่าผมไปทำงานที่นั่นโดยไม่มีครอบครัวหรือญาติไปด้วยครับ ผมไปคนเดียวเพราะเห็นว่าคงอยู่ไม่นานเท่าไหร่ พอใกล้ห้าโมงเย็นอาการผมก็เริ่มดีขึ้น เริ่มมีเรี่ยวแรง และไม่มึนมากเหมือนเดิม ตอนนั้นถึงแม้จะมึนศีรษะมาก แต่ผมกลับคิดว่าซีสต์ในท้องคงแตกเลยทำให้ปวดท้องและมีอาการลามไปที่ศีรษะด้วยเพราะมันเกิดจากโรคเดียวกัน (ผมทราบมาก่อนแล้วว่าโรค VHL ที่ผมเป็นนั้น สามารถสร้างเนื้องอกและซีสต์ในหลายๆที่ได้ ซึ่งจากการตรวจอัลตราซาวด์ที่ผ่านมาทำให้ผมทราบว่าผมมีซีสต์ก้อนโต (ตอนนั้น เส้นผ่านศูนย์กลาง 9 เซนติเมตร) ที่ตับด้วย ซึ่งผมจะเล่าถึงผลของมันในตอนต่อไปครับ) เพราะมันเจ็บที่ท้องมาก่อนหลายวันครับ คืนนั้นผมหลับสบายซึ่งนับว่าโชคดีมาก เพราะหากเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้นผมไม่แน่ใจว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรครับ ผมจะมีโอกาสได้มาเล่าประสบการณ์หรือเปล่าก็ยังไม่แน่ ผมนั่งเครื่องบินกลับเมืองไทยในวันรุ่งขึ้น ซึ่งผมก็ตรงไปโรงพยาบาลทันทีครับ เล่าอาการและประวัติให้หมอฟังแล้วก็ได้รับการตรวจอัลตราซาวด์เพื่อดูซีสต์ในท้องว่ายังปกติดีหรือไม่ ผลออกมาปกติดีครับ ซึ่งก็ทำให้ผมแปลกใจมากว่าแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ยังโชคดีที่คุณหมอท่านแนะนำให้ไปเอ็กซเรย์สมอง (CT scan) ดูอีกที ซึ่งผลที่ออกมาก็ชัดเลยครับ ผมมีเนื้องอกในสมอง (ส่วนหลัง) ใกล้ๆกับที่เดิมที่เคยผ่ามาแล้ว 3 ครั้งก่อนหน้า คุณหมอแนะนำให้ผ่าเลยทันที ซึ่งผมก็กลับบ้านไปเก็บเสื้อผ้ามานอนโรงพยาบาลเลยในเย็นวันนั้น การผ่าตัดผ่านพ้นไปด้วยดีครับ ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ผมฟื้นตัวดี และอาการทั่วไปก็ปกติดี พักต่อที่โรงพยาบาลอีกสองสามวันผมก็กลับมาพักฟื้นต่อที่บ้านได้ ซึ่งใช้เวลารวมทั้งหมดประมาณสามสี่อาทิตย์ในเมืองไทยผมก็กลับไปทำงานต่อที่ต่างประเทศได้เหมือนเดิม ผมคิดว่าที่ผมฟื้นตัวได้เร็วน่าจะเป็นเพราะว่าผมออกกำลังกายอยู่เสมอครับ ที่จริงไม่ใช่ว่าผมมีระเบียบวินัยอะไรมากหรอกครับ แต่ผมรู้ตัวดีว่าผมไม่มีทางเลือกมากกว่า โรคของผมซึ่งถ่ายทอดทางพันธุกรรม เป็นโรคที่ตอนนี้ยังไม่มียารักษา(ในต่างประเทศด้วย) ทางเดียวที่จะช่วยได้คือผมต้องเตรียมพร้อมอยู่เสมอครับ อาจฟังดูเหมือนผมจะเข้มแข็งแต่ที่จริงบางครั้ง (หลายครั้ง) ผมก็ต้องสารภาพว่าผมก็ร้องให้เหมือนกัน ผมไม่รู้ว่าผมจะต้องผ่าตัดสมอง หรืออวัยวะอื่นๆอีกมากน้อยแค่ไหน แล้วผลจะเป็นอย่างไร ร่างกายผมจะรับไหวได้มากแค่ไหน แล้วถ้าถึงวันที่มันไม่ไหวผมจะเป็นอย่างไร ครอบครัวจะอยู่อย่างไร ฯ คิดไปมากมายสารพัดครับ แต่สุดท้ายความคิดมันก็จบลงตรงที่ว่าเราจะท้อไปทำไม มันไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย ความเข้มแข็งต่างหากที่จะช่วยได้ แล้วผมก็เริ่มกลับมาออกกำลังอีกครั้งครับ อยู่กับมันต่อไป อย่างที่บอกผมผ่าตัดสมองครั้งที่สี่ห่างจากครั้งที่สามเป็นเวลา 1 ปีครับ ดูเหมือนระยะเวลาระหว่างการผ่าตัดแต่ละครั้งมันสั้นลง คือจากสิบปีเป็นสามปีและหนึ่งปีตามลำดับ แต่หลังจากครั้งที่สี่แล้วตอนนี้ก็หกปีเข้าไปแล้วยังไม่มีอะไรผิดปกติครับ ผมก็ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้มีอะไรอีกเลย
แต่มันยังไม่จบครับ คำภาวนาของผมยังคงไม่เป็นผล เมื่อต้นปี 2554 นี้เองที่ผมต้องนอนโรงพยาบาลอีกครั้งซึ่งคราวนี้ก็หนักเหมือนๆกันครับ ผมต้องเข้ารับการผ่าตัดต่อมหมวกไตขวาทิ้งเนื่องจากเป็นเนื้องอก และผ่าตัดไตซ้ายทิ้งเนื่องจากเป็นมะเร็งครับ แล้วผมจะมาเล่าให้ฟังอีกครับ ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านและให้กำลังใจครับ ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพที่ดี และมีความสุขครับ สวัสดีครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น