วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ก็คนมีความสุข ถึงจะเป็นอะไรก็มีความสุข ขนาดเป็น VHL ก็เป็นอย่างมีความสุขได้เลย

ผมเพิ่งกลับจากเชียงใหม่มาถึงกรุงเทพเมื่อคืนนี้เองครับ ไปทำงานของบริษัทครับ คราวนี้ได้กลับไปที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สถาบันที่ได้ให้ความรู้และทุกๆอย่างกับผมในช่วงที่ศึกษาปริญญาตรีเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วครับ ความรู้สึกที่ได้กลับไปมหาวิทยาลัยอีกครั้งเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ อบอุ่นและรู้สึกอยากจะทำอะไรเพื่อตอบแทนกลับคืนสู่สถาบันที่ได้อบรมสั่งสอนเรามา จนทำให้เรามีวันนี้ครับ ซึ่งนอกจากจะได้พบเจอเพื่อนเก่าที่เป็นอาจารย์ พี่ๆ และอาจารย์ท่านอื่นๆแล้ว ผมยังรู้สึกมีความสุขสงบเล็กๆ ขึ้นในใจที่ได้ไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพด้วย การได้ไหว้พระและอยู่กับความสงบเงียบแม้เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก็ช่วยทำให้จิตใจสงบและเป็นพลังกับชีวิตได้อย่างน่าอัศจรรย์เหมือนกันนะครับ

ที่จริงแม้ขณะนี้ตัวผมเองก็ยังไม่หายดีจากแผลผ่าตัดที่หน้าท้องที่เป็นรอยยาวสองรอยเฉียงๆจากกลางลำตัวใต้หน้าอกยาวออกไปด้านข้างถึงขอบเอวเหมือนโดนดาบสองมือฟันทีละดาบ (น่าหวาดเสียว อย่าจินตนาการตามมากนะครับ) จากการผ่าตัดต่อมหมวกไตขวาและไตซ้ายเลยครับ ยังเจ็บและรู้สึกตึงๆที่แผลทั้งภายนอกและภายในอยู่ตลอดเวลา แต่ผมคงไม่เสียเวลากับการมัวเพ่งดูมันหรอกครับ ผมไปทำงานหลังออกจากโรงพยาบาลครั้งที่สองได้เดือนกว่าๆ ซึ่งที่จริงแผลจากการผ่าตัดครั้งแรกยังไม่หายดีเลย แม้จนตอนนี้ซึ่งผ่านมาแล้วกว่าหกเดือนก็ตาม ซึ่งผมก็ได้เดินทางไปทำงานยังต่างประเทศด้วยมาหลายครั้งแล้ว ผมไม่ได้รู้สึกกลัวอะไรครับ เพราะคิดว่าถ้าเกิดอะไรฉุกเฉินผมคงทนได้ในระหว่างการดิ้นรนมาให้ถึงโรงพยาบาลศิริราช ถ้าเรามัวแต่กลัวก็คงไม่ได้ทำอะไร จริงไหมครับ แล้วในความเป็นจริงเราก็ต้องทำงานหาเงินมาเลี้ยงดูตัวเอง ครอบครัว และอาจเผื่อแผ่ไปยังคนอื่นๆตามความสามารถเหมือนๆกันกับคนอื่นๆทุกคน ตราบใดที่ยังทำได้ก็ทำครับ ผมเชื่อว่าผมยังโชคดีกว่าอีกหลายๆคนที่อาจจะมีสภาพที่แย่กว่าผมแต่ก็ยังต่อสู้อย่างทรหดและไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาอะไรทุกอย่าง ยอมแพ้ทำไมครับ ไม่มีประโยชน์... จริงไหมครับ

วันนี้ผมมีบทความสั้นๆ ที่เขียนโดย Jon Kabat-Zinn จากสหรัฐอเมริกา มาฝากครับ อ่านแล้วน่าสนใจมาก สร้างพลังได้อย่างดี ถอดความได้ประมาณนี้ครับ

          "เราสามารถใช้ศักยภาพภายในที่เรามีอยู่ในการเรียนรู้ที่จะแปรอุปสรรคทั้งหลายให้เป็นพลังผลักดันให้เราต่อสู้ฝ่าฟันจนผ่านพ้นอุปสรรคนั้นๆได้ อุปมาดั่งกลาสีเรือที่ใช้แรงลมเป็นตัวขับเคลื่อนให้เรือแล่นไปในทิศทางที่ต้องการได้ดั่งใจ"
          "เราอาจจะไม่สามารถแล่นเรือฝ่ากระแสลมเข้าไปได้ และถ้าเรารู้จักแค่การใช้แรงลมที่พัดมาจากด้านหลัง เราก็จะได้แต่แล่นไปในทิศทางที่ลมพัดไป แต่ถ้าเราฉลาดและเรียนรู้ที่จะใช้พลังจากแรงลมที่พัดพารวมทั้งมีความอดทนเพียงพอ เราก็จะสามารถบังคับเรือให้แล่นไปในทิศทางที่ต้องการได้ เราควบคุมมันได้!"
          "ถึงแม้เราจะไม่สามารถควบคุมลมฟ้าอากาศได้ แต่นักเดินเรือที่ดีก็จะต้องเรียนรู้และยอมรับในพลังของมัน หลีกเลี่ยงที่จะต้องตกอยู่ในท่ามกลางพายุ แต่บางทีถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราก็จะต้องรู้ว่าเมื่อใดที่จะต้องลดใบเรือลง เมื่อไรที่จะต้องปิดดาดฟ้าเรือ ทิ้งสมอ หรือจะต้องสละทิ้งสิ่งของทรัพย์สมบัติต่างๆที่ไม่จำเป็นออกไปเสีย ทำเท่าที่จะทำได้ พร้อมกันนั้นก็ต้องยอมรับ ปล่อยวางในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ซะ"
          "ศิลปะของการใช้ชีวิตอย่างมีสติรู้ทันก็คือการพัฒนาความรู้ความสามารถให้พร้อมในการที่จะเผชิญหน้าและจัดการกับทุกๆสถานการณ์ในชีวิต"

อ่านแล้วรู้สึกถึงพลังฮึกเหิมเกิดขึ้นภายในบ้างไหมครับ? ถ้าไม่รู้สึกก็แสดงว่าฝีมือการถอดความของผมยังละอ่อนไปหน่อยนะครับ คือผมพยายามที่จะไม่แปลตรงๆตามตัวอักษรเพราะแปลออกมาแล้วมันอ่านไม่รู้เรื่องครับ ก็เลยแปลออกมาตามความหมายดีกว่าครับ ที่จริงถ้าจะให้มันขึ้นไปอีกก็อาจจะต้องยืมสำนวนจากนิยายกำลังภายในใส่เข้าไปอีก ซึ่งก็จะเพี้ยนไปครับ

ผมเชื่อว่าทุกท่าน ทั้งที่เป็นโรคและไม่เป็น ต่างก็มีปัญหาอุปสรรคด้วยกันทั้งนั้น ต่างกันก็ตรงรายละเอียดของปัญหา และผมก็เชื่อว่าหลายๆท่านก็สามารถรับมือกับเรื่องราวต่างๆเหล่านั้นได้อย่างดีครับ สำหรับตัวผมเองก็กำลังพยายามที่จะเรียนรู้และต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆอยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็ท้อแต่ก็บอกกับตัวเองว่าอย่าท้อนานครับ เสียเวลา

ได้เวลาต้องสนุกกับชีวิตอันสั้นๆ น้อยๆนี้แล้วครับ... สวัสดีครับ...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น