สวัสดีปีใหม่ครับ
เริ่มเช้าวันที่ 1 มกราคม 2556 ซึ่งเป็นวันแรกของปีใหม่นี้ผมก็ขอเอารูปพระพุทธรูปมาขึ้นเป็นหน้าแรกของปีเพื่อความเป็นสิริมงคลและเป็นเครื่องหมายของการเตือนสติให้ทำแต่สิ่งที่ดีๆ รวมทั้งได้รับแต่สิ่งที่ดีๆตอบแทนกลับมาด้วยครับ อย่างแรกเลยที่เราควรจะได้รับเมื่อเราได้ทำดีก็คือความสงบและความสุขใจครับ ซึ่งจริงๆแล้วนี่คือสิ่งที่น่าปรารถนาสูงสุดของชีวิตเราอย่างหนึ่งเหมือนกันนะครับ
สำหรับวันนี้ก็ได้ทำในสิ่งที่ตั้งใจครับสำหรับเว็บบล็อกนี้ นั่นก็คือการหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้ ไม่ว่าจะเป็นความก้าวหน้าทางการแพทย์ เรื่องการวิจัยที่เกี่ยวข้อง เรื่องการรักษา และเรื่องอื่นๆที่ผมเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านเอามาเขียนไว้ให้อ่านกันครับ ซึ่งต้องขอออกตัวกันอีกครั้งนะครับว่าผมไม่ใช่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์แต่อย่างใด อย่างเดียวที่มีที่เกี่ยวข้องกับโรคนี้ก็คือผมเป็นคนไข้เอง ดังนั้นเรื่องราวต่างๆ ส่วนใหญ่จึงมาจากประสบการณ์ตรงของตัวผมหรือญาติพี่น้องเองด้วย ถ้ามีผิดพลาดประการใดก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ และเพื่อความต่อเนื่องของข้อมูลที่จะนำมาเสนอในบล็อกนี้และไม่ให้มีการขาดความต่อเนื่องของการโพสต์บทความ เพราะจะทำให้ผู้อ่านเกิดความเบื่อหน่าย (เวลาที่เข้าบล็อกแล้วไม่เจอบทความใหม่ๆให้อ่านกัน) ผมจึงขอเอาเรื่องอื่นๆที่ผมอยากเขียนมารวมไว้ด้วยนะครับ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องส่วนตัว เช่น เรื่องไปเที่ยว หรือไปทำงานที่อื่นๆ แล้วเจออะไรที่น่าสนใจประมาณนั้น เอามาเล่าสู่กันฟังด้วยเช่นกัน คิดเห็นอย่างไรก็แสดงความเห็นกันได้นะครับ ตามสบายครับ
สำหรับเช้านี้ผมไปเจอข้อมูลที่น่าสนใจมากอันหนึ่งเอามาฝากกันครับ คือเข้าไปเจอเรื่องของบริษัทร่วมทุนไทย-ออสเตรเลีย บริษัทหนึ่งซึ่งได้เผยแพร่ข้อมูลไว้น่าสนใจมากเกี่ยวกับการป้องกันทารกแรกเกิดไม่ให้ได้รับยีน VHL ที่ผิดปกติมาจากบิดาหรือมารดาได้ โดยทำการคัดเลือกทารกที่ไม่มียีนนี้ตั้งแต่ยังเป็นตัวอ่อน (Embryo) อยู่ ซึ่งเค้าเรียกกระบวนการนี้ว่า PGD หรือ Pre-Implantation Genetic Diagnosis ครับ ดังนั้นพ่อแม่ก็จะมีบุตรที่ไม่เป็นโรคนี้ครับ ไม่เหมือนกับการตั้งครรภ์แบบธรรมชาติที่มีโอกาสที่โรคนี้จะถ่ายทอดผ่านยีนนี้ได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์หรือหนึ่งในสองนั่นเอง บริษัทที่กล่าวถึงนี้ชื่อว่า Superior A.R.T. ซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนวิทยุ กรุงเทพฯ ครับ ผมเพิ่งเจอบริษัทนี้จากการค้นข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตนะครับ ยังไม่มีข้อมูลมากนัก ถ้าหากมีอะไรเพิ่มเติมแล้วจะนำมาเล่าสู่กันฟังเพิ่มเติมนะครับ และขอออกตัวไว้ก่อนด้วยนะครับว่าผมไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับบริษัทนี้หรือบริษัทใดๆก็ตามที่ผมอาจจะเอาเรื่องราวมาลงไว้ในอนาคตด้วย ผมหาข้อมูลมาลงไว้เพื่อเป็นการศึกษาและเรียนรู้ไปด้วยกันเท่านั้นครับ
สำหรับวันนี้นอกจากข่าวดีของวิทยาการที่นำมาลงไว้ในวันนี้ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งของผู้ป่วยที่อาจจะทำให้สามารถป้องกันการถ่ายทอดของโรคนี้จากเราไปสู่ลูกหลานได้แล้ว ผมก็ยังขอถือโอกาสนี้กล่าวสวัสดีปีใหม่อีกครั้ง ยังไงก็ดูแลสุขภาพกันด้วยครับ นอกจากสุขภาพกายแล้ว สุขภาพใจก็เป็นเรื่องที่สำคัญด้วยเช่นกันนะครับ อย่าเครียดนะครับ ชีวิตนี้มันสั้นเกินกว่าที่จะมาเสียเวลาเครียดครับ สวัสดีครับ
วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2555
วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2555
โรงพยาบาลรามาธิบดี
สวัสดีวันสุดท้ายของปี 2555 ครับ
จากที่ได้ตั้งใจไว้ว่าจะไปค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสถาบันที่มีการตรวจรักษาหรือมีการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับโรคนี้มาให้อ่านกัน เมื่อวานได้ข้อมูลมาเพิ่มครับ พอดีไปเจอวารสารสุขภาพดีกับพรีมา ปีที่ 2 ฉบับที่ 5 กุมภาพันธ์-มีนาคม 2555 (www.prema.or.th) ซึ่งในคอลัมน์ นวัตกรรมวันนี้ ได้พูดถึงโรคมะเร็งไต...กับความหวังใหม่จากยานวัตกรรม โดย ผศ. พญ. ธิติยา สิริสิงห เดชเทวพร ซึ่งมีตอนหนึ่งที่ท่านได้กล่าวถึงสาเหตุของโรคมะเร็งไตว่านอกจากสาเหตุอื่นๆแล้ว ยังเกิดจากโรคทางกรรมพันธุ์ VHL ได้ด้วย
จากบทความนั้นแหละครับที่ทำให้ผมทราบว่าที่โรงพยาบาลรามาฯนั้นคงจะมีการตรวจรักษาโรค VHL นี้ด้วยแน่ๆเลย อ้อ สำหรับแพทย์หญิงธิติยานั้น ท่านอยู่หน่วยมะเร็งวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ นะครับ ผมไม่แน่ใจว่าถ้าหากต้องการไปตรวจโรคนี้โดยตรงจะติดต่อตรงส่วนไหนนะครับ แต่ที่แน่ๆ ผมว่าก็คงไปตรวจตามขั้นตอนปกติเหมือนโรงพยาบาลทั่วไปนั่นแหละครับ ถ้าอย่างไรก็ลองดูนะครับ ไม่น่าจะยากอะไรนัก และนี่ก็ทำให้ผมคิดว่าโรงเรียนแพทย์ทั่วประเทศไทยก็น่าจะรู้จักโรคนี้กันหมด คนที่ไม่รู้ก็คงจะมีแต่คนทั่วไปรวมทั้งผมด้วยที่ไม่ทราบว่ามีที่ใดในประเทศไทยที่ตรวจได้บ้าง เอาไว้ผมจะหาข้อมูลมาเพิ่มอีกนะครับ
สำหรับวันนี้ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของปีนี้แล้ว และเพื่อเป็นการต้อนรับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงในวันพรุ่งนี้แล้ว ผมขอถือโอกาสอวยพรปีใหม่กับทุกคนด้วยการอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกที่ท่านนับถืออยู่ ขอได้โปรดอำนวยพรให้ทุกท่านมีสุขภาพที่แข็งแรง มีกำลังใจที่ดี และมีความสุขในการดำเนินชีวิตตลอดไปนะครับ
สวัสดีครับ
วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2555
ทำใจ ... ให้สบาย ส่งท้ายปีเก่า 2555
สวัสดีครับ
พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันสุดท้ายของปีมะโรง 2555 นี้แล้วนะครับ วันนี้ทุกคนคงกำลังมีความสุขอยู่กับกิจกรรมหลายๆอย่างของตัวเองกันนะครับ หลายคนคงอยู่ที่บ้านต่างจังหวัดกันแล้ว ได้พบหน้าพ่อแม่พี่น้อง ปู่ย่าตายาย ลูกๆ หลานๆ เพื่อนฝูง บางคนก็คงจัดบ้าน ทำความสะอาดบ้าน ตกแต่งบ้านด้วยของประดับสำหรับวันปีใหม่กัน ก็เป็นช่วงที่ทุกคนคงจะมีความสุขกันนะครับ
วันนี้จริงๆแล้วผมตั้งใจจะหาข้อมูลเกี่ยวกับความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่เค้ากำลังหาวิธีการรักษาโรคนี้กันอยู่ แต่ค้นข้อมูลแล้วก็ยังไม่มีอะไรที่จะทำให้หัวใจพองโตได้ คือก็ยังไม่มีการค้นพบวิธีการรักษาครับ ก็เลยแค่อยากจะสรุปสั้นๆเกี่ยวกับเรื่องที่เค้ากำลังทำกันอยู่เพื่อหาแนวทางการรักษาที่ผ่านมาครับ คือส่วนใหญ่แล้วตอนนี้การศึกษาและทดลองทางการแพทย์ ทั้งจากของมหาวิทยาลัย จากห้องทดลอง จากบริษัทยาต่างๆนั้นก็เน้นไปที่การศึกษาในระดับเซลล์ครับ ศึกษากันถึงกระบวนการเกิดของโรคนี้ (ซึ่งอันที่จริงแล้วในปัจจุบันความรู้เกี่ยวกับการเกิดของโรคนี้มีมากพอสมควรแล้ว) ซึ่งนั่นก็จะนำไปสู่การหาทางป้องกันและรักษาต่อไปครับ เช่น อย่างที่ทราบกันแล้วว่าหลักการเกิดของโรคโดยทั่วไปแล้วเกิดจากการที่มีการส่งสัญญาณจากยีน VHL ไปยังเซลล์ต่างๆว่ามีการขาดอ็อกซิเจน ซึ่งนั่นก็จะทำให้มีการเร่งสร้างเส้นเลือดฝอยให้มากขึ้น (มากจนผิดปกติ) เพื่อนำอ็อกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์นั้นๆ จนทำให้เกิดเป็นเนื้องอกขึ้นมาครับ ดังนั้นเมื่อทราบดังนี้แล้ว แนวทางหนึ่งในการรักษาก็คือทำอย่างไรจึงจะไม่ให้มีกระบวนการส่งสัญญาณหลอกๆนี้ขึ้นมาอีก และยังมีแนวทางอื่นอีกมากมายครับ ที่เค้ากำลังศึกษากันอยู่ คราวหน้าผมจะพยายามหาข้อมูลมาเล่าสู่กันฟังนะครับ ทั้งหน่วยงานที่ศึกษา วิธีการ ความก้าวหน้าและเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้องครับ
สำหรับรูปที่เอามาลงวันนี้เป็นรูปถ่ายจากมือถือตอนที่ไปอังกฤษเมื่อปลายเดือนพฤศจิกาที่ผ่านมานี้เองครับ พอดีพักอยู่ใกล้ๆกับลอนดอนอาย (London Eye) ก็เลยถ่ายรูปเก็บเอาไว้ สวยดีครับ เลยเอามาลงให้ดูกันเล่นๆ
แล้วพบกันใหม่ครับ
สวัสดีครับ
พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันสุดท้ายของปีมะโรง 2555 นี้แล้วนะครับ วันนี้ทุกคนคงกำลังมีความสุขอยู่กับกิจกรรมหลายๆอย่างของตัวเองกันนะครับ หลายคนคงอยู่ที่บ้านต่างจังหวัดกันแล้ว ได้พบหน้าพ่อแม่พี่น้อง ปู่ย่าตายาย ลูกๆ หลานๆ เพื่อนฝูง บางคนก็คงจัดบ้าน ทำความสะอาดบ้าน ตกแต่งบ้านด้วยของประดับสำหรับวันปีใหม่กัน ก็เป็นช่วงที่ทุกคนคงจะมีความสุขกันนะครับ
วันนี้จริงๆแล้วผมตั้งใจจะหาข้อมูลเกี่ยวกับความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่เค้ากำลังหาวิธีการรักษาโรคนี้กันอยู่ แต่ค้นข้อมูลแล้วก็ยังไม่มีอะไรที่จะทำให้หัวใจพองโตได้ คือก็ยังไม่มีการค้นพบวิธีการรักษาครับ ก็เลยแค่อยากจะสรุปสั้นๆเกี่ยวกับเรื่องที่เค้ากำลังทำกันอยู่เพื่อหาแนวทางการรักษาที่ผ่านมาครับ คือส่วนใหญ่แล้วตอนนี้การศึกษาและทดลองทางการแพทย์ ทั้งจากของมหาวิทยาลัย จากห้องทดลอง จากบริษัทยาต่างๆนั้นก็เน้นไปที่การศึกษาในระดับเซลล์ครับ ศึกษากันถึงกระบวนการเกิดของโรคนี้ (ซึ่งอันที่จริงแล้วในปัจจุบันความรู้เกี่ยวกับการเกิดของโรคนี้มีมากพอสมควรแล้ว) ซึ่งนั่นก็จะนำไปสู่การหาทางป้องกันและรักษาต่อไปครับ เช่น อย่างที่ทราบกันแล้วว่าหลักการเกิดของโรคโดยทั่วไปแล้วเกิดจากการที่มีการส่งสัญญาณจากยีน VHL ไปยังเซลล์ต่างๆว่ามีการขาดอ็อกซิเจน ซึ่งนั่นก็จะทำให้มีการเร่งสร้างเส้นเลือดฝอยให้มากขึ้น (มากจนผิดปกติ) เพื่อนำอ็อกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์นั้นๆ จนทำให้เกิดเป็นเนื้องอกขึ้นมาครับ ดังนั้นเมื่อทราบดังนี้แล้ว แนวทางหนึ่งในการรักษาก็คือทำอย่างไรจึงจะไม่ให้มีกระบวนการส่งสัญญาณหลอกๆนี้ขึ้นมาอีก และยังมีแนวทางอื่นอีกมากมายครับ ที่เค้ากำลังศึกษากันอยู่ คราวหน้าผมจะพยายามหาข้อมูลมาเล่าสู่กันฟังนะครับ ทั้งหน่วยงานที่ศึกษา วิธีการ ความก้าวหน้าและเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้องครับ
สำหรับรูปที่เอามาลงวันนี้เป็นรูปถ่ายจากมือถือตอนที่ไปอังกฤษเมื่อปลายเดือนพฤศจิกาที่ผ่านมานี้เองครับ พอดีพักอยู่ใกล้ๆกับลอนดอนอาย (London Eye) ก็เลยถ่ายรูปเก็บเอาไว้ สวยดีครับ เลยเอามาลงให้ดูกันเล่นๆ
แล้วพบกันใหม่ครับ
สวัสดีครับ
วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2555
สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา...
สวัสดีครับ
วันนี้ไปหาหมอตามนัดมาครับ ก็เลยอยากจะมาเล่าให้ฟังถึงผลการตรวจครับ ก็เพื่อจะได้เป็นความรู้สำหรับผู้ป่วยท่านอื่นๆเป็นหลักครับ วันนี้ผมไปพบหมอศัลยศาสตร์ทางเดินปัสสาวะตามนัดเพื่อจะไปฟังผลการตรวจอัลตร้าซาวด์และเอ็กซ์เรย์ทรวงอกซึ่งได้ทำไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ที่ได้เล่าให้ฟังไปแล้วนั่นแหละครับ จริงๆ แล้วก็มีฟังผลของการตรวจเลือดเพื่อหาค่าการทำงานของไตด้วย สำหรับผลที่ออกมาก็ไม่ค่อยสวยเท่าไร คือเมื่ออาทิตย์ที่แล้วตอนที่คุณหมอห้องตรวจอัลตร้าซาวด์บอกมาดูแล้วไม่ค่อยมีอะไรมาก คือทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม และผลค่าไตเมื่อคราวที่พบคุณหมอเบาหวานก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนัก แต่สำหรับวันนี้แล้ว ทุกอย่างมันดูเหมือนจะไม่ได้สวยงามอย่างนั้นเลยครับ ตรงกันข้ามคุณหมอผู้ตรวจรีบนัดให้มาทำ MRI ภายในสามเดือนเลยทีเดียวครับ...
สภาพภายในช่องท้องของผมตอนนี้มีซีสต์อยู่ที่ด้านบนของไตขวา (ลูกใหญ่ประมาณ 6*6 เซนติเมตร) และมีซีสต์ที่ตับอ่อนเหมือนเดิม แต่ที่ผมแอบอ่านผลตรวจเองเจออีกอย่างหนึ่งก็คือมี polyp (เดาว่าเป็นพวกติ่งเนื้อเล็กๆ) อยู่ที่ถุงน้ำดีครับ! ซึ่งอันนี้เองที่ทำให้ผมไม่ค่อยสบายใจ เพราะเป็นอะไรที่ใหม่สำหรับความผิดปกติของร่างกายผมครับ ผมก็เลยไปหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับถุงน้ำดีว่ามันทำหน้าที่อะไรบ้าง และจำเป็นแค่ไหนสำหรับร่างกายของเรา พบว่ามันทำหน้าที่เก็บน้ำดีที่ผลิตจากตับครับ ซึ่งก่อนทานอาหารมันจะโป่งและหลังจากทานอาหารแล้วมันจะแฟ่บ คงจะเป็นเพราะมันปล่อยน้ำดีให้เข้าไปย่อยไขมันจากการทานอาหารของเรานั่นเองครับ ซึ่งเค้าบอกว่าถึงแม้เราจะไม่มีถุงน้ำดี (เช่นถูกผ่าตัดทิ้งไป) ก็ไม่เป็นอะไรมาก คืออาจจะมีผลบ้างเล็กน้อย เช่นท้องเสียอะไรพวกนี้ครับ อ่านเสร็จผมก็เบาใจขึ้นมาหน่อย แต่ก็ทำให้รำคาญใจอยู่เหมือนกันครับ ก็อย่างที่เคยบอกไว้ว่าตอนนี้ผมมีปัญหาที่ตับอ่อนที่มีซีสต์เกาะและทำให้การผลิตน้ำย่อยไม่ค่อยสมบูรณ์นัก และนั่นก็ทำให้มีปัญหาท้องเสียบ่อยๆอยู่แล้ว แล้วนี่ยังมาเจอเจ้าติ่งเนื้อนี้ที่ถุงน้ำดีอีก อย่างนี้ก็คงไปกันใหญ่ ท้องเสียกันเป็นอาชีพเลยมั้งครับเนี่ย... โอย เหนื่อย...
ต่ออีกหน่อยครับ เมื่อคุณหมออ่านผลต่างๆแล้วก็อย่างที่บอก คุณหมอสั่งให้ทำ MRI ภายในสามเดือนครับ และให้ไปพบอาจารย์หมอธวัชชัย ทวีมั่นคงทรัพย์ ซึ่งเป็นแพทย์ที่ผ่าตัดไตผมต่อเลยทันทีครับ คงมีอะไรที่น่าเป็นห่วงแน่ๆเลย มีช่วงหนึ่งในขณะที่ตรวจอยู่ที่คุณหมอพูดถึงขนาดของซีสต์ที่ไตขวาแล้วก็ให้ดูภาพจาก MRI ตอนปี 53 ซึ่งมันใหญ่มาก แล้วผมก็ถามว่าตัดออกได้มั้ย คุณหมอบอกว่าตัดแล้วมันก็คงโตขึ้นมาอีก ตอนนี้ที่น่าห่วงก็คือกลัวว่าจะกลายเป็นเนื้องอกซึ่งนั้นก็อาจจะทำให้ต้องตัดไตขวาทิ้งไปอีก ก็จะเหลืออะไรล่ะครับ ผมก็คงต้องเข้ารับการล้างไตน่ะซีครับ แย่เลย ดังนั้นตอนนี้หลังจากที่อึ้งไปพักใหญ่ ผมก็มาตั้งสติว่าจะทำอย่างไรกันต่อไปดีเพื่อจะให้มีชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุข (ตามอัตภาพ)
ความคิดอย่างแรกที่ผุดขึ้นมาก็คือถ้าต้องตัดไตทิ้งก็ต้องยึดหลักธรรมของพระพุทธเจ้าที่บอกว่า "ยอมเสียสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต" ครับ ผมต้องยึดหลักธรรมนี้ให้ได้ก่อนเลย และความคิดต่อมาก็คือคงต้องหาวิธีรักษาไตให้ทำงานน้อยๆ ไม่หนักเกินไปครับ ความคิดที่ตามมาอีกอย่างก็คือทำอย่างไรจะทำให้ซีสต์มันยุบหายไป หรือคงที่อย่างนี้ไม่โตกว่านี้อีกไปตลอดชีวิต... ครับ ไม่ง่ายเลย ซึ่งจากที่กล่าวมาผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำได้มากน้อยแค่ไหน ตอนนี้เริ่มเข้าใจด้วยหัวใจตัวเองจริงๆแล้วสำหรับคำกล่าวที่ว่า "สัพเพ ธรรมา นาลัง อภินิเวสายะ" สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น...
เริ่มจะปล่อยวางแล้วจริงๆ ครับ
สวัสดีครับ
วันนี้ไปหาหมอตามนัดมาครับ ก็เลยอยากจะมาเล่าให้ฟังถึงผลการตรวจครับ ก็เพื่อจะได้เป็นความรู้สำหรับผู้ป่วยท่านอื่นๆเป็นหลักครับ วันนี้ผมไปพบหมอศัลยศาสตร์ทางเดินปัสสาวะตามนัดเพื่อจะไปฟังผลการตรวจอัลตร้าซาวด์และเอ็กซ์เรย์ทรวงอกซึ่งได้ทำไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ที่ได้เล่าให้ฟังไปแล้วนั่นแหละครับ จริงๆ แล้วก็มีฟังผลของการตรวจเลือดเพื่อหาค่าการทำงานของไตด้วย สำหรับผลที่ออกมาก็ไม่ค่อยสวยเท่าไร คือเมื่ออาทิตย์ที่แล้วตอนที่คุณหมอห้องตรวจอัลตร้าซาวด์บอกมาดูแล้วไม่ค่อยมีอะไรมาก คือทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม และผลค่าไตเมื่อคราวที่พบคุณหมอเบาหวานก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนัก แต่สำหรับวันนี้แล้ว ทุกอย่างมันดูเหมือนจะไม่ได้สวยงามอย่างนั้นเลยครับ ตรงกันข้ามคุณหมอผู้ตรวจรีบนัดให้มาทำ MRI ภายในสามเดือนเลยทีเดียวครับ...
สภาพภายในช่องท้องของผมตอนนี้มีซีสต์อยู่ที่ด้านบนของไตขวา (ลูกใหญ่ประมาณ 6*6 เซนติเมตร) และมีซีสต์ที่ตับอ่อนเหมือนเดิม แต่ที่ผมแอบอ่านผลตรวจเองเจออีกอย่างหนึ่งก็คือมี polyp (เดาว่าเป็นพวกติ่งเนื้อเล็กๆ) อยู่ที่ถุงน้ำดีครับ! ซึ่งอันนี้เองที่ทำให้ผมไม่ค่อยสบายใจ เพราะเป็นอะไรที่ใหม่สำหรับความผิดปกติของร่างกายผมครับ ผมก็เลยไปหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับถุงน้ำดีว่ามันทำหน้าที่อะไรบ้าง และจำเป็นแค่ไหนสำหรับร่างกายของเรา พบว่ามันทำหน้าที่เก็บน้ำดีที่ผลิตจากตับครับ ซึ่งก่อนทานอาหารมันจะโป่งและหลังจากทานอาหารแล้วมันจะแฟ่บ คงจะเป็นเพราะมันปล่อยน้ำดีให้เข้าไปย่อยไขมันจากการทานอาหารของเรานั่นเองครับ ซึ่งเค้าบอกว่าถึงแม้เราจะไม่มีถุงน้ำดี (เช่นถูกผ่าตัดทิ้งไป) ก็ไม่เป็นอะไรมาก คืออาจจะมีผลบ้างเล็กน้อย เช่นท้องเสียอะไรพวกนี้ครับ อ่านเสร็จผมก็เบาใจขึ้นมาหน่อย แต่ก็ทำให้รำคาญใจอยู่เหมือนกันครับ ก็อย่างที่เคยบอกไว้ว่าตอนนี้ผมมีปัญหาที่ตับอ่อนที่มีซีสต์เกาะและทำให้การผลิตน้ำย่อยไม่ค่อยสมบูรณ์นัก และนั่นก็ทำให้มีปัญหาท้องเสียบ่อยๆอยู่แล้ว แล้วนี่ยังมาเจอเจ้าติ่งเนื้อนี้ที่ถุงน้ำดีอีก อย่างนี้ก็คงไปกันใหญ่ ท้องเสียกันเป็นอาชีพเลยมั้งครับเนี่ย... โอย เหนื่อย...
ต่ออีกหน่อยครับ เมื่อคุณหมออ่านผลต่างๆแล้วก็อย่างที่บอก คุณหมอสั่งให้ทำ MRI ภายในสามเดือนครับ และให้ไปพบอาจารย์หมอธวัชชัย ทวีมั่นคงทรัพย์ ซึ่งเป็นแพทย์ที่ผ่าตัดไตผมต่อเลยทันทีครับ คงมีอะไรที่น่าเป็นห่วงแน่ๆเลย มีช่วงหนึ่งในขณะที่ตรวจอยู่ที่คุณหมอพูดถึงขนาดของซีสต์ที่ไตขวาแล้วก็ให้ดูภาพจาก MRI ตอนปี 53 ซึ่งมันใหญ่มาก แล้วผมก็ถามว่าตัดออกได้มั้ย คุณหมอบอกว่าตัดแล้วมันก็คงโตขึ้นมาอีก ตอนนี้ที่น่าห่วงก็คือกลัวว่าจะกลายเป็นเนื้องอกซึ่งนั้นก็อาจจะทำให้ต้องตัดไตขวาทิ้งไปอีก ก็จะเหลืออะไรล่ะครับ ผมก็คงต้องเข้ารับการล้างไตน่ะซีครับ แย่เลย ดังนั้นตอนนี้หลังจากที่อึ้งไปพักใหญ่ ผมก็มาตั้งสติว่าจะทำอย่างไรกันต่อไปดีเพื่อจะให้มีชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุข (ตามอัตภาพ)
ความคิดอย่างแรกที่ผุดขึ้นมาก็คือถ้าต้องตัดไตทิ้งก็ต้องยึดหลักธรรมของพระพุทธเจ้าที่บอกว่า "ยอมเสียสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต" ครับ ผมต้องยึดหลักธรรมนี้ให้ได้ก่อนเลย และความคิดต่อมาก็คือคงต้องหาวิธีรักษาไตให้ทำงานน้อยๆ ไม่หนักเกินไปครับ ความคิดที่ตามมาอีกอย่างก็คือทำอย่างไรจะทำให้ซีสต์มันยุบหายไป หรือคงที่อย่างนี้ไม่โตกว่านี้อีกไปตลอดชีวิต... ครับ ไม่ง่ายเลย ซึ่งจากที่กล่าวมาผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำได้มากน้อยแค่ไหน ตอนนี้เริ่มเข้าใจด้วยหัวใจตัวเองจริงๆแล้วสำหรับคำกล่าวที่ว่า "สัพเพ ธรรมา นาลัง อภินิเวสายะ" สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น...
เริ่มจะปล่อยวางแล้วจริงๆ ครับ
สวัสดีครับ
วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2555
บริจาคสนับสนุนการวิจัยเพื่อหาแนวทางการรักษา
สวัสดีครับ
ใกล้สิ้นปีแล้ว ช่วงขึ้นปีใหม่เรามักจะนึกถึงการให้ของขวัญกันใช่ไหมครับ หลายๆคนคงกำลังเตรียมหาของขวัญสำหรับเอาไปให้ลูกๆหลานๆ หรือเอาไปจับฉลากในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กัน สำหรับปีใหม่ปีนี้ผมก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ จะมีนิดหน่อยก็คือบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนงานของมูลนิธิ VHL Family Alliance ครับ ซึ่งผมมองว่าความหวังของผมและผู้ป่วยโรคนี้ส่วนหนึ่งก็คงต้องมาจากองค์กรนี้แหละครับ ซึ่งเค้าได้ทำการสนับสนุนงานวิจัยกันอย่างจริงจัง ถ้าเงินของผมจะมีส่วนในการช่วยให้มีการค้นพบวิธีการรักษาโรคนี้ได้ ผมก็จะยินดีมากครับ ถึงแม้ว่าจะเป็นจำนวนเงินที่เล็กน้อยก็ตาม ซึ่งผมเชื่อว่าจำนวนเงินเล็กๆน้อยๆของคนหลายๆคนนี่แหละครับ ที่เมื่อรวมกันแล้วก็จะเป็นกำลังที่สำคัญได้เหมือนกัน
ขอให้มีสุขภาพแข็งแรงกันทุกคนครับ สวัสดีครับ
ใกล้สิ้นปีแล้ว ช่วงขึ้นปีใหม่เรามักจะนึกถึงการให้ของขวัญกันใช่ไหมครับ หลายๆคนคงกำลังเตรียมหาของขวัญสำหรับเอาไปให้ลูกๆหลานๆ หรือเอาไปจับฉลากในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กัน สำหรับปีใหม่ปีนี้ผมก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ จะมีนิดหน่อยก็คือบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนงานของมูลนิธิ VHL Family Alliance ครับ ซึ่งผมมองว่าความหวังของผมและผู้ป่วยโรคนี้ส่วนหนึ่งก็คงต้องมาจากองค์กรนี้แหละครับ ซึ่งเค้าได้ทำการสนับสนุนงานวิจัยกันอย่างจริงจัง ถ้าเงินของผมจะมีส่วนในการช่วยให้มีการค้นพบวิธีการรักษาโรคนี้ได้ ผมก็จะยินดีมากครับ ถึงแม้ว่าจะเป็นจำนวนเงินที่เล็กน้อยก็ตาม ซึ่งผมเชื่อว่าจำนวนเงินเล็กๆน้อยๆของคนหลายๆคนนี่แหละครับ ที่เมื่อรวมกันแล้วก็จะเป็นกำลังที่สำคัญได้เหมือนกัน
ขอให้มีสุขภาพแข็งแรงกันทุกคนครับ สวัสดีครับ
วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555
ปวดหัว ที่อาจจะไม่ใช่เพราะความเครียด
สวัสดีครับ
ไปเที่ยวเขาค้อมาครับ ภาพนี้เป็นภาพทะเลหมอกที่ถ่ายจากบ้านพัก "พรสวรรค์ รีสอร์ท" ครับ นั่งอยู่ที่ระเบียงบ้านก็ชมทะเลหมอกตอนเช้าได้เลยครับ ข้างล่างที่อยู่ใต้หมอกที่จริงแล้วเป็นหมู่บ้าน และรีสอร์ทครับ ซึ่งจากภาพเรามองไม่เห็นอะไรเลย เพราะว่าหมอกหนาปกคลุมอยู่ครับ ทะเลหมอกนี้จะหายไปตอนสายๆของวัน ช่วงเวลาประมาณเก้าโมงเช้าครับ พอแสงแดดส่องได้สักครู่ทะเลหมอกอันสวยงามนี้ก็จะหายไป ทำให้มองเห็นอ่างเก็บน้ำรัตนัยที่อยู่ข้างล่างและบ้านเรือนที่ตั้งเรียงรายอยู่ในบริเวณหุบเขานั้นครับ ถ้ามีโอกาสผมแนะนำให้ไปลองนอนพักที่เขาค้อสักคืนนะครับ ช่วงนี้อากาศเย็นสบายดีมาก เกือบหนาวครับ แต่ไม่ถึงกับหนาวมากนัก ใส่เสื้อไหมพรมหรือแจ็คเก็ตบางๆก็อยู่ได้แบบสบายๆ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าช่วงที่หนาวๆจัดๆ อุณหภูมิจะเป็นเท่าไรนะครับ ที่เขาค้อนี้เค้ารับประกันครับว่าอุณหภูมิไม่เกิน 26 องศาในช่วงเที่ยงคืนตลอดทั้งปีครับ ไม่ว่าจะหน้าร้อนหรือหน้าอะไรก็ตาม แน่นอนครับ หน้าหนาวก็ต้องเย็นกว่านี้แน่นอน อย่างช่วงสองสามวันที่ผมไปเที่ยวมานี้ ดึกๆ จะอยู่ที่ประมาณ 20-23 องศาครับ
สำหรับวันนี้ผมก็มีเรื่องของอาการอื่นๆของคนที่เป็นโรค VHL มาให้อ่านกันอีกนะครับ ก็คืออาการปวดหัวครับ ซึ่งคราวนี้เป็นเรื่องราวของนักศึกษาสาวชาวต่างประเทศคนหนึ่ง เธอได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นโรคเนื้องอกในตา ซึ่งเกิดจากโรค VHL ซึ่งก็ได้รับการรักษาและควบคุมเป็นอย่างดี ต่อมาเธอมีอาการปวดหัว และแพทย์ก็ได้สันนิษฐานว่าคงเป็นเพราะความเครียดซึ่งเกิดจากการเรียนหนักของเธอเองครับ และบอกว่าหากเรียนจบอาการเหล่านี้คงหายไป แต่ปรากฎว่าไม่ใช่ครับ เธอเป็นเนื้องอกในสมอง แต่สุดท้ายก็ผ่าตัดรักษาสำเร็จครับ อันนี้แหละครับที่เป็นสิ่งที่เราต้องระวังและต้องทราบว่าคนที่เป็นเนื้องอกในตาหรืออะไรก็ตาม (เช่นซีสต์ เนื้องอกที่ตับอ่อน ไต ฯ) ที่เกิดจากโรค VHL แล้ว เราก็ต้องรู้ว่ายังมีอาการอื่นๆอีกมากที่เกิดจากโรคนี้นะครับ และถ้ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นเราก็จะได้ไปพบแพทย์และบอกเล่าเรื่องราวและประวัติให้ฟังได้อย่างถูกต้อง ซึ่งสุดท้ายแล้วเราก็จะได้รับการรักษาที่ถูกต้องด้วยครับ
จริงๆ แล้วการที่จะไปบอกแพทย์ว่าเราเป็นโรคนี้แล้วมีโอกาสที่จะเกิดอาการอื่นๆ เช่นเนื้องอกหรือซีสต์ที่นั่นที่นี่ในอวัยวะส่วนอื่นๆของร่างกายนั้นมันไม่ง่ายหรอกครับ เพราะในเมืองไทยโรคนี้คงเป็นที่รู้จักกันน้อยมาก แม้แต่ในวงการแพทย์เอง ดังนั้นต้องอดทนครับ และดูแลตัวเองให้ดี ค่อยเป็นค่อยไปนะครับ ถ้าจำเป็นต้องบอกแพทย์ ผมแนะนำว่าให้บอกว่าเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมด้วยนะครับ ซึ่งอาจจะมีประวัติของคนในครอบครัวที่มีอาการเหล่านี้ด้วย อย่างผมนี้ชัดเจนครับ แม่เสียชีวิตจากอาการปวดหัวอย่างรุนแรงเนื่องจากเนื้องอกในสมอง เป็นต้นครับ
แล้วพบกันใหม่ครับ สวัสดีครับ
ไปเที่ยวเขาค้อมาครับ ภาพนี้เป็นภาพทะเลหมอกที่ถ่ายจากบ้านพัก "พรสวรรค์ รีสอร์ท" ครับ นั่งอยู่ที่ระเบียงบ้านก็ชมทะเลหมอกตอนเช้าได้เลยครับ ข้างล่างที่อยู่ใต้หมอกที่จริงแล้วเป็นหมู่บ้าน และรีสอร์ทครับ ซึ่งจากภาพเรามองไม่เห็นอะไรเลย เพราะว่าหมอกหนาปกคลุมอยู่ครับ ทะเลหมอกนี้จะหายไปตอนสายๆของวัน ช่วงเวลาประมาณเก้าโมงเช้าครับ พอแสงแดดส่องได้สักครู่ทะเลหมอกอันสวยงามนี้ก็จะหายไป ทำให้มองเห็นอ่างเก็บน้ำรัตนัยที่อยู่ข้างล่างและบ้านเรือนที่ตั้งเรียงรายอยู่ในบริเวณหุบเขานั้นครับ ถ้ามีโอกาสผมแนะนำให้ไปลองนอนพักที่เขาค้อสักคืนนะครับ ช่วงนี้อากาศเย็นสบายดีมาก เกือบหนาวครับ แต่ไม่ถึงกับหนาวมากนัก ใส่เสื้อไหมพรมหรือแจ็คเก็ตบางๆก็อยู่ได้แบบสบายๆ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าช่วงที่หนาวๆจัดๆ อุณหภูมิจะเป็นเท่าไรนะครับ ที่เขาค้อนี้เค้ารับประกันครับว่าอุณหภูมิไม่เกิน 26 องศาในช่วงเที่ยงคืนตลอดทั้งปีครับ ไม่ว่าจะหน้าร้อนหรือหน้าอะไรก็ตาม แน่นอนครับ หน้าหนาวก็ต้องเย็นกว่านี้แน่นอน อย่างช่วงสองสามวันที่ผมไปเที่ยวมานี้ ดึกๆ จะอยู่ที่ประมาณ 20-23 องศาครับ
สำหรับวันนี้ผมก็มีเรื่องของอาการอื่นๆของคนที่เป็นโรค VHL มาให้อ่านกันอีกนะครับ ก็คืออาการปวดหัวครับ ซึ่งคราวนี้เป็นเรื่องราวของนักศึกษาสาวชาวต่างประเทศคนหนึ่ง เธอได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นโรคเนื้องอกในตา ซึ่งเกิดจากโรค VHL ซึ่งก็ได้รับการรักษาและควบคุมเป็นอย่างดี ต่อมาเธอมีอาการปวดหัว และแพทย์ก็ได้สันนิษฐานว่าคงเป็นเพราะความเครียดซึ่งเกิดจากการเรียนหนักของเธอเองครับ และบอกว่าหากเรียนจบอาการเหล่านี้คงหายไป แต่ปรากฎว่าไม่ใช่ครับ เธอเป็นเนื้องอกในสมอง แต่สุดท้ายก็ผ่าตัดรักษาสำเร็จครับ อันนี้แหละครับที่เป็นสิ่งที่เราต้องระวังและต้องทราบว่าคนที่เป็นเนื้องอกในตาหรืออะไรก็ตาม (เช่นซีสต์ เนื้องอกที่ตับอ่อน ไต ฯ) ที่เกิดจากโรค VHL แล้ว เราก็ต้องรู้ว่ายังมีอาการอื่นๆอีกมากที่เกิดจากโรคนี้นะครับ และถ้ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นเราก็จะได้ไปพบแพทย์และบอกเล่าเรื่องราวและประวัติให้ฟังได้อย่างถูกต้อง ซึ่งสุดท้ายแล้วเราก็จะได้รับการรักษาที่ถูกต้องด้วยครับ
จริงๆ แล้วการที่จะไปบอกแพทย์ว่าเราเป็นโรคนี้แล้วมีโอกาสที่จะเกิดอาการอื่นๆ เช่นเนื้องอกหรือซีสต์ที่นั่นที่นี่ในอวัยวะส่วนอื่นๆของร่างกายนั้นมันไม่ง่ายหรอกครับ เพราะในเมืองไทยโรคนี้คงเป็นที่รู้จักกันน้อยมาก แม้แต่ในวงการแพทย์เอง ดังนั้นต้องอดทนครับ และดูแลตัวเองให้ดี ค่อยเป็นค่อยไปนะครับ ถ้าจำเป็นต้องบอกแพทย์ ผมแนะนำว่าให้บอกว่าเป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมด้วยนะครับ ซึ่งอาจจะมีประวัติของคนในครอบครัวที่มีอาการเหล่านี้ด้วย อย่างผมนี้ชัดเจนครับ แม่เสียชีวิตจากอาการปวดหัวอย่างรุนแรงเนื่องจากเนื้องอกในสมอง เป็นต้นครับ
แล้วพบกันใหม่ครับ สวัสดีครับ
วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555
โรคอื่นที่แสดงอาการเหมือนกับโรค VHL ... เนื้องอกในสมอง
สวัสดีตอนเช้าครับ
วันนี้ตื่นแต่เช้าเตรียมตัวไปเที่ยวครับ ผมลาพักร้อนยาวตั้งแต่วันนี้จนถึงปีใหม่โน่นเลย ถือโอกาสพักผ่อนหลังจากที่ลุยกับงานหนักมาหลายอาทิตย์ติดต่อกันในช่วงที่ผ่านมาครับ
สำหรับวันนี้จะมาเขียนต่อจากตอนก่อนๆที่พูดถึงอาการป่วยอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับโรค VHL แต่อาจจะไม่ใช่ ...ฟังดูไม่ค่อยเข้าใจใช่ไหมครับ งั้นเอาใหม่... ก็คือโรคบางอย่างแสดงอาการของโรคที่คนที่เป็นโรค VHL ก็มีโอกาสที่จะเป็นเหมือนกันไงครับ เช่นตอนที่ผ่านมาที่กล่าวถึงโรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น ซึ่งคนที่มีอาการอย่างนั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุ และแพทย์ไม่จำเป็นที่จะต้องวินิจฉัยในเบื้องต้นว่าคนไข้เป็นโรค VHL ครับ
สำหรับวันนี้ก็จะพูดถึงอาการปวดหัวครับ อาการปวดหัวเป็นโรคที่พบได้บ่อยและธรรมดามากๆ ในคนทั่วไป ผมว่าแทบทุกคนนะครับที่เคยปวดหัวกัน ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็คงจะไปซื้อยาแก้ปวดมาทานกันเอง ซึ่งก็มีขายอยู่ทั่วไปตามท้องตลาดครับ นี่แหละครับที่ทำให้เวลามีคนไข้ปวดศีรษะแพทย์ก็คงไม่นึกว่าจะเป็นโรค VHL ครับ คงวินิจฉัยเป็นอย่างอื่นไปก่อน (ถ้าในครอบครัวไม่มีประวัติของโรค VHL)
...ชายคนหนึ่งอายุ 20 ปีครับ พบว่าเป็นเนื้องอกในสมองซึ่งแพทย์ก็ได้ทำการผ่าตัดรักษาให้โดยที่ก็ไม่ได้สงสัยอะไรเป็นพิเศษ อีก 6 ปีต่อมา เขามีอาการปวดหลัง ซึ่งแพทย์ก็คิดว่าคงจะเกิดจากอาการหมอนรองกระดูกไขสันหลังเคลื่อน จึงได้ทำการผ่าตัด แต่ปรากฎว่าจริงๆแล้วเกิดจากเนื้องอกในไขสันหลัง ซึ่งเนื้องอกเกิดแตกหรือฉีกขาด และทำให้เขาเป็นอัมพาตช่วงล่างไปเลย และแพทย์ก็ได้ศึกษาจนพบว่าเขาเป็นโรค VHL ครับ และพบว่าลูกสาวทั้งสองคนก็เป็นโรคนี้ด้วย ลูกสาวโชคดีครับที่รู้เร็วว่าเป็นโรคนี้จึงได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
เห็นมั้ยครับว่าไม่ง่ายเลยสำหรับโรคนี้ เพราะว่าอาการของโรคก็เหมือนๆกับโรคอื่นๆอีกหลายๆโรคครับ ซึ่งสำหรับวันนี้เราก็ได้ทราบอาการเหล่านั้นสองอาการแล้วนะครับ คืออย่างแรกก็ความดันสูง อย่างที่สองก็เนื้องอกในสมองครับ (ซึ่งเนื้องอกในสมองเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่จำเป็นต้องเกิดจากโรค VHL เสมอไป)
สำหรับคราวหน้าก็มีต่อนะครับ ยังมีมาให้อ่านกันอีกหลายตอน แล้วพบกันครับ สำหรับวันนี้ขอตัวไปเที่ยวก่อนครับ อย่าลืมนะครับ มีเวลาก็ต้องพักผ่อนกันบ้าง เที่ยวกันบ้างครับ ขอให้มีความสุขส่งท้ายปีเก่ากันทุกคนครับ
สวัสดีครับ
วันนี้ตื่นแต่เช้าเตรียมตัวไปเที่ยวครับ ผมลาพักร้อนยาวตั้งแต่วันนี้จนถึงปีใหม่โน่นเลย ถือโอกาสพักผ่อนหลังจากที่ลุยกับงานหนักมาหลายอาทิตย์ติดต่อกันในช่วงที่ผ่านมาครับ
สำหรับวันนี้จะมาเขียนต่อจากตอนก่อนๆที่พูดถึงอาการป่วยอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับโรค VHL แต่อาจจะไม่ใช่ ...ฟังดูไม่ค่อยเข้าใจใช่ไหมครับ งั้นเอาใหม่... ก็คือโรคบางอย่างแสดงอาการของโรคที่คนที่เป็นโรค VHL ก็มีโอกาสที่จะเป็นเหมือนกันไงครับ เช่นตอนที่ผ่านมาที่กล่าวถึงโรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น ซึ่งคนที่มีอาการอย่างนั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุ และแพทย์ไม่จำเป็นที่จะต้องวินิจฉัยในเบื้องต้นว่าคนไข้เป็นโรค VHL ครับ
สำหรับวันนี้ก็จะพูดถึงอาการปวดหัวครับ อาการปวดหัวเป็นโรคที่พบได้บ่อยและธรรมดามากๆ ในคนทั่วไป ผมว่าแทบทุกคนนะครับที่เคยปวดหัวกัน ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็คงจะไปซื้อยาแก้ปวดมาทานกันเอง ซึ่งก็มีขายอยู่ทั่วไปตามท้องตลาดครับ นี่แหละครับที่ทำให้เวลามีคนไข้ปวดศีรษะแพทย์ก็คงไม่นึกว่าจะเป็นโรค VHL ครับ คงวินิจฉัยเป็นอย่างอื่นไปก่อน (ถ้าในครอบครัวไม่มีประวัติของโรค VHL)
...ชายคนหนึ่งอายุ 20 ปีครับ พบว่าเป็นเนื้องอกในสมองซึ่งแพทย์ก็ได้ทำการผ่าตัดรักษาให้โดยที่ก็ไม่ได้สงสัยอะไรเป็นพิเศษ อีก 6 ปีต่อมา เขามีอาการปวดหลัง ซึ่งแพทย์ก็คิดว่าคงจะเกิดจากอาการหมอนรองกระดูกไขสันหลังเคลื่อน จึงได้ทำการผ่าตัด แต่ปรากฎว่าจริงๆแล้วเกิดจากเนื้องอกในไขสันหลัง ซึ่งเนื้องอกเกิดแตกหรือฉีกขาด และทำให้เขาเป็นอัมพาตช่วงล่างไปเลย และแพทย์ก็ได้ศึกษาจนพบว่าเขาเป็นโรค VHL ครับ และพบว่าลูกสาวทั้งสองคนก็เป็นโรคนี้ด้วย ลูกสาวโชคดีครับที่รู้เร็วว่าเป็นโรคนี้จึงได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
เห็นมั้ยครับว่าไม่ง่ายเลยสำหรับโรคนี้ เพราะว่าอาการของโรคก็เหมือนๆกับโรคอื่นๆอีกหลายๆโรคครับ ซึ่งสำหรับวันนี้เราก็ได้ทราบอาการเหล่านั้นสองอาการแล้วนะครับ คืออย่างแรกก็ความดันสูง อย่างที่สองก็เนื้องอกในสมองครับ (ซึ่งเนื้องอกในสมองเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่จำเป็นต้องเกิดจากโรค VHL เสมอไป)
สำหรับคราวหน้าก็มีต่อนะครับ ยังมีมาให้อ่านกันอีกหลายตอน แล้วพบกันครับ สำหรับวันนี้ขอตัวไปเที่ยวก่อนครับ อย่าลืมนะครับ มีเวลาก็ต้องพักผ่อนกันบ้าง เที่ยวกันบ้างครับ ขอให้มีความสุขส่งท้ายปีเก่ากันทุกคนครับ
สวัสดีครับ
วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555
พักตรวจสุขภาพกันก่อน
ภาพจาก UCLA Health System
สวัสดีครับ
ผมหายไปเกือบเดือนเพราะว่าต้องเดินทางไปต่างประเทศครับ เวลาไปต่างประเทศก็จะไม่สะดวกที่จะเขียนบทความอะไรเพราะส่วนใหญ่ก็จะยุ่งอยู่กับการทำงานครับ วันนี้กลับมาแล้วก็เลยมีโอกาสมาเขียนกันอีกครั้ง ผมกลับมาตั้งแต่วันพุธที่ผ่านมาแล้วครับ แต่เพิ่งมีโอกาสมานั่งเขียนวันนี้เอง วันนี้ไปตรวจอัลตราซาวด์ที่ศิริราชมาครับ ตรวจซีสต์ทั้งหลายในช่องท้อง ว่ายังอยู่กันดีหรือเปล่า ความจริงผมแอบหวังเล็กๆว่ามันคงจะลดลงไปบ้าง แต่ก็เหมือนเดิมครับ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนัก ซึ่งถึงแม้ว่ามันจะไม่ลดแต่ถ้าไม่เพิ่มขึ้นมาอย่างนี้ก็นับว่าดีแล้วครับ แต่ก็คงต้องรอไปพบหมอก่อนครับ ถึงจะบอกได้แน่นอนว่าสถาพตอนนี้เป็นอย่างไรกันแน่ ผมจะไปพบหมออีกทีวันอังคารหน้าครับ ซึ่งเป็นคุณหมอเจ้าของไข้ วันนี้ไปตรวจทั้งอัลตร้าซาวด์และเอ็กซ์เรย์ทรวงอกครับ หวังว่าพบหมออาทิตย์หน้า หมอจะบอกว่าทุกอย่างโอเค .. ฮ่าๆ ยังไงก็ต้องหวังในแง่ดีไว้ก่อนล่ะครับ
วันนี้แพทย์ที่มาตรวจอัลตราซาวด์ผมเป็นแพทย์ฝึกใหม่ คือเห็นจากหน้าตาและการตรวจครับ และก็จากการได้พูดคุยอีกนิดหน่อยด้วย คุณหมอบอกว่าพอเห็นซีสต์จำนวนมหาศาลในช่องท้องผมแล้ว ก็น่าตกใจครับ บอกว่านี่ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าเป็นโรค VHL คงตกใจน่าดู หลังจากที่ตรวจไปได้ระยะหนึ่งแล้ว เห็นซีสต์ที่ตับอ่อน ที่ไตข้างขวาแล้ว คุณหมอก็ชมว่าสวยมาก... หมายถึงเห็นอาการของโรคได้ชัดเจนครับ เป็นกรณีที่ควรจะมาศึกษาด้วย ผมก็เลยเล่าให้ฟังว่าตอนที่ไปผ่าตัดไตและต่อมหมวกไตก็มีนักศึกษาแพทย์มาสอบถามอาการและประวัติอยู่เหมือนกัน คงเป็นตัวอย่างที่หาได้ไม่ง่ายหรอกครับ... ก็ดีใจครับที่ตัวเราเป็นประโยชน์กับวงการแพทย์บ้าง แต่ก็ไม่ได้ดีใจไปซะทั้งหมดหรอกครับ โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงว่าไม่รู้ว่ามันจะมีโอกาสหายหรือเปล่า
สำหรับค่าตรวจวันนี้ ค่าอัลตราซาวด์ 1,800 บาทครับ ค่าเอ็กซ์เรย์ 270 บาท คนคอยคิวไม่มากเท่าไหร่ สบายๆ ครับวันนี้ แต่ที่ยากก็คือที่จอดรถครับ ผมออกจากบ้านที่รังสิตก่อนหกโมงเช้า ไปถึงแปดโมงครึ่งที่จอดรถตรงพื้นที่รถไฟเก่าเต็มหมดแล้ว ก็เลยขับไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมายอะไร กะว่าจะลองวนกลับมาอีกสักรอบ ก็พอดีเหลือบไปเห็นหอพักนักศึกษาแพทย์ เห็นเขียนว่าที่จอดรถด้วย ก็เลยลองเลี้ยวเข้าไปดู ก็ปรากฎว่ามีครับ แต่ต้องวนขึ้นไปบนอาคารหลายชั้นอยู่เหมือนกัน คิดค่าจอดชั่วโมงละ 10 บาทครับ ก็สะดวกดี แล้วก็นั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปที่โรงพยาบาลอีก 15 บาทครับ จริงๆ แล้วเดินเองก็ได้ครับ ตอนกลับผมก็เดินกลับ แค่ห้านาทีเองครับ แต่ตอนไปนั้นรีบด้วยครับ เพราะใกล้เวลานัดแล้วก็เลยซ้อนท้ายพี่มอเตอร์ไซค์ ซึ่งพี่แกก็ซิ่งสุดยอด ผมเห็นทางแคบมากๆ พี่แกยังไปได้เลย กระจกมองข้างมอเตอร์ไซค์พี่แกก็เกือบจะชนกับกระจกมองข้างรถยนต์ที่จอดติดอยู่สองข้างทางแล้วครับ เหลือระยะห่างแค่จิ้งจกตัวผอมๆ ลอดผ่านได้แค่นั้นเอง แต่พี่แกก็ไปได้ครับ สุดยอดจริงๆ นั่งไปก็เกร็งไปครับ กลัวหัวเข่าจะชนกับรถยนต์ข้างๆ ด้วย... ก็มันดีไปอีกแบบครับ แต่ผมอยากมันแค่ครึ่งเดียว ขากลับก็เลยเดินดีกว่า ฮ่าๆ...
เอาไว้คราวหน้าจะมาเขียนกันใหม่ครับ ที่ติดไว้ก็คงจะเป็นเรื่องของอาการอื่นๆ ของโรค VHL นี้แหละครับ ตอนที่แล้วเพิ่งเขียนถึงอาการความดันโลหิตสูงไป คอยติดตามกันครับว่าคราวหน้าจะเป็นอะไร สำหรับวันนี้ขอให้สนุกกับงานกันทุกคนนะครับ สวัสดีครับ
สวัสดีครับ
ผมหายไปเกือบเดือนเพราะว่าต้องเดินทางไปต่างประเทศครับ เวลาไปต่างประเทศก็จะไม่สะดวกที่จะเขียนบทความอะไรเพราะส่วนใหญ่ก็จะยุ่งอยู่กับการทำงานครับ วันนี้กลับมาแล้วก็เลยมีโอกาสมาเขียนกันอีกครั้ง ผมกลับมาตั้งแต่วันพุธที่ผ่านมาแล้วครับ แต่เพิ่งมีโอกาสมานั่งเขียนวันนี้เอง วันนี้ไปตรวจอัลตราซาวด์ที่ศิริราชมาครับ ตรวจซีสต์ทั้งหลายในช่องท้อง ว่ายังอยู่กันดีหรือเปล่า ความจริงผมแอบหวังเล็กๆว่ามันคงจะลดลงไปบ้าง แต่ก็เหมือนเดิมครับ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนัก ซึ่งถึงแม้ว่ามันจะไม่ลดแต่ถ้าไม่เพิ่มขึ้นมาอย่างนี้ก็นับว่าดีแล้วครับ แต่ก็คงต้องรอไปพบหมอก่อนครับ ถึงจะบอกได้แน่นอนว่าสถาพตอนนี้เป็นอย่างไรกันแน่ ผมจะไปพบหมออีกทีวันอังคารหน้าครับ ซึ่งเป็นคุณหมอเจ้าของไข้ วันนี้ไปตรวจทั้งอัลตร้าซาวด์และเอ็กซ์เรย์ทรวงอกครับ หวังว่าพบหมออาทิตย์หน้า หมอจะบอกว่าทุกอย่างโอเค .. ฮ่าๆ ยังไงก็ต้องหวังในแง่ดีไว้ก่อนล่ะครับ
วันนี้แพทย์ที่มาตรวจอัลตราซาวด์ผมเป็นแพทย์ฝึกใหม่ คือเห็นจากหน้าตาและการตรวจครับ และก็จากการได้พูดคุยอีกนิดหน่อยด้วย คุณหมอบอกว่าพอเห็นซีสต์จำนวนมหาศาลในช่องท้องผมแล้ว ก็น่าตกใจครับ บอกว่านี่ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าเป็นโรค VHL คงตกใจน่าดู หลังจากที่ตรวจไปได้ระยะหนึ่งแล้ว เห็นซีสต์ที่ตับอ่อน ที่ไตข้างขวาแล้ว คุณหมอก็ชมว่าสวยมาก... หมายถึงเห็นอาการของโรคได้ชัดเจนครับ เป็นกรณีที่ควรจะมาศึกษาด้วย ผมก็เลยเล่าให้ฟังว่าตอนที่ไปผ่าตัดไตและต่อมหมวกไตก็มีนักศึกษาแพทย์มาสอบถามอาการและประวัติอยู่เหมือนกัน คงเป็นตัวอย่างที่หาได้ไม่ง่ายหรอกครับ... ก็ดีใจครับที่ตัวเราเป็นประโยชน์กับวงการแพทย์บ้าง แต่ก็ไม่ได้ดีใจไปซะทั้งหมดหรอกครับ โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงว่าไม่รู้ว่ามันจะมีโอกาสหายหรือเปล่า
สำหรับค่าตรวจวันนี้ ค่าอัลตราซาวด์ 1,800 บาทครับ ค่าเอ็กซ์เรย์ 270 บาท คนคอยคิวไม่มากเท่าไหร่ สบายๆ ครับวันนี้ แต่ที่ยากก็คือที่จอดรถครับ ผมออกจากบ้านที่รังสิตก่อนหกโมงเช้า ไปถึงแปดโมงครึ่งที่จอดรถตรงพื้นที่รถไฟเก่าเต็มหมดแล้ว ก็เลยขับไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมายอะไร กะว่าจะลองวนกลับมาอีกสักรอบ ก็พอดีเหลือบไปเห็นหอพักนักศึกษาแพทย์ เห็นเขียนว่าที่จอดรถด้วย ก็เลยลองเลี้ยวเข้าไปดู ก็ปรากฎว่ามีครับ แต่ต้องวนขึ้นไปบนอาคารหลายชั้นอยู่เหมือนกัน คิดค่าจอดชั่วโมงละ 10 บาทครับ ก็สะดวกดี แล้วก็นั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปที่โรงพยาบาลอีก 15 บาทครับ จริงๆ แล้วเดินเองก็ได้ครับ ตอนกลับผมก็เดินกลับ แค่ห้านาทีเองครับ แต่ตอนไปนั้นรีบด้วยครับ เพราะใกล้เวลานัดแล้วก็เลยซ้อนท้ายพี่มอเตอร์ไซค์ ซึ่งพี่แกก็ซิ่งสุดยอด ผมเห็นทางแคบมากๆ พี่แกยังไปได้เลย กระจกมองข้างมอเตอร์ไซค์พี่แกก็เกือบจะชนกับกระจกมองข้างรถยนต์ที่จอดติดอยู่สองข้างทางแล้วครับ เหลือระยะห่างแค่จิ้งจกตัวผอมๆ ลอดผ่านได้แค่นั้นเอง แต่พี่แกก็ไปได้ครับ สุดยอดจริงๆ นั่งไปก็เกร็งไปครับ กลัวหัวเข่าจะชนกับรถยนต์ข้างๆ ด้วย... ก็มันดีไปอีกแบบครับ แต่ผมอยากมันแค่ครึ่งเดียว ขากลับก็เลยเดินดีกว่า ฮ่าๆ...
เอาไว้คราวหน้าจะมาเขียนกันใหม่ครับ ที่ติดไว้ก็คงจะเป็นเรื่องของอาการอื่นๆ ของโรค VHL นี้แหละครับ ตอนที่แล้วเพิ่งเขียนถึงอาการความดันโลหิตสูงไป คอยติดตามกันครับว่าคราวหน้าจะเป็นอะไร สำหรับวันนี้ขอให้สนุกกับงานกันทุกคนนะครับ สวัสดีครับ
วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
อาการอื่นๆของโรค VHL ... เช่น ความดันสูง
สวัสดีค่ำวันศุกร์ครับ
ใกล้ลอยกระทงกันแล้ว แต่อากาศก็ยังไม่เย็นลงเลย แถมช่วงนี้ยังแปลกๆ มีฝนบ้าง ร้อนบ้าง สลับกันไปเรื่อยๆเลยนะครับ หวังว่าวันลอยกระทงคงจะมีอากาศเย็นๆมาให้ชาวกรุงเทพฯและเกือบกรุงเทพฯได้ชื่นใจกันบ้างนะครับ
สำหรับวันนี้ มีเรื่องที่เกี่ยวกับโรคมาเล่ากันนิดหน่อย เกี่ยวกับอาการแสดงออกอื่นๆของผู้ป่วยที่ไม่ใช่พวกเนื้องอกโดยตรง แต่เป็นผลของมันที่แสดงออกมาทางด้านอื่นกันนะครับ เช่นสำหรับวันนี้เป็นเรื่องของความดันโลหิตสูงที่คนที่เป็นก็ไม่ทราบสาเหตุเหมือนกันเพราะไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นโรค VHL ครับ
ทอม... ได้รับความทุข์ทรมานจากโรคความดันโลหิตสูงมาเป็นเวลานานแล้ว และการรักษาก็ไม่ค่อยได้ผลนัก เขาเคยเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันมาแล้ว 3 ครั้ง ซึ่งก็ต้องเข้ารับการรักษาโรคหัวใจด้วยเหมือนกัน วันหนึ่งลูกชายวัยรุ่นของทอมมีภาวะความดันโลหิตสูง ซึ่งบางครั้งก็สูงมากจนน่าตกใจ ซึ่งแพทย์คนหนึ่งได้วินิจฉัยว่าสาเหตุของภาวะความดันโลหิตสูงของลูกชายทอมนั้นเกิดจากเนื้องอกในต่อมหมวกไต... ซึ่งเป็นอาการหนึ่งของโรค VHL นั่นเอง แพทย์จึงได้ทำการผ่าตัดเอาก้อนเนื้องอกนั้นออกไป อาการความดันโลหิตสูงก็หายไปและทำให้ลูกชายของทอมคนนั้นไม่ต้องมีความเสี่ยงกับโรคหัวใจเหมือนทอมอีกด้วย...
ทอมมีลูกทั้งหมด 6 คน มึคนที่เป็นโรค VHL ทั้งหมด 5 คน...
เห็นมั้ยครับ ว่ามีอาการที่เราอาจจะไม่ทราบเลยว่าอะไรคือสาเหตุ ดังนั้นเราต้องศึกษาหาความรู้ให้มากๆไว้นะครับ เพื่อที่จะดูแลตัวเองและคนที่เรารักได้อย่างดีสมกับความห่วงไยของเราครับ
คราวหน้าจะเอาอาการอื่นๆมาเล่าให้ฟังอีกนะครับ สวัสดีครับ
ใกล้ลอยกระทงกันแล้ว แต่อากาศก็ยังไม่เย็นลงเลย แถมช่วงนี้ยังแปลกๆ มีฝนบ้าง ร้อนบ้าง สลับกันไปเรื่อยๆเลยนะครับ หวังว่าวันลอยกระทงคงจะมีอากาศเย็นๆมาให้ชาวกรุงเทพฯและเกือบกรุงเทพฯได้ชื่นใจกันบ้างนะครับ
สำหรับวันนี้ มีเรื่องที่เกี่ยวกับโรคมาเล่ากันนิดหน่อย เกี่ยวกับอาการแสดงออกอื่นๆของผู้ป่วยที่ไม่ใช่พวกเนื้องอกโดยตรง แต่เป็นผลของมันที่แสดงออกมาทางด้านอื่นกันนะครับ เช่นสำหรับวันนี้เป็นเรื่องของความดันโลหิตสูงที่คนที่เป็นก็ไม่ทราบสาเหตุเหมือนกันเพราะไม่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นโรค VHL ครับ
ทอม... ได้รับความทุข์ทรมานจากโรคความดันโลหิตสูงมาเป็นเวลานานแล้ว และการรักษาก็ไม่ค่อยได้ผลนัก เขาเคยเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันมาแล้ว 3 ครั้ง ซึ่งก็ต้องเข้ารับการรักษาโรคหัวใจด้วยเหมือนกัน วันหนึ่งลูกชายวัยรุ่นของทอมมีภาวะความดันโลหิตสูง ซึ่งบางครั้งก็สูงมากจนน่าตกใจ ซึ่งแพทย์คนหนึ่งได้วินิจฉัยว่าสาเหตุของภาวะความดันโลหิตสูงของลูกชายทอมนั้นเกิดจากเนื้องอกในต่อมหมวกไต... ซึ่งเป็นอาการหนึ่งของโรค VHL นั่นเอง แพทย์จึงได้ทำการผ่าตัดเอาก้อนเนื้องอกนั้นออกไป อาการความดันโลหิตสูงก็หายไปและทำให้ลูกชายของทอมคนนั้นไม่ต้องมีความเสี่ยงกับโรคหัวใจเหมือนทอมอีกด้วย...
ทอมมีลูกทั้งหมด 6 คน มึคนที่เป็นโรค VHL ทั้งหมด 5 คน...
เห็นมั้ยครับ ว่ามีอาการที่เราอาจจะไม่ทราบเลยว่าอะไรคือสาเหตุ ดังนั้นเราต้องศึกษาหาความรู้ให้มากๆไว้นะครับ เพื่อที่จะดูแลตัวเองและคนที่เรารักได้อย่างดีสมกับความห่วงไยของเราครับ
คราวหน้าจะเอาอาการอื่นๆมาเล่าให้ฟังอีกนะครับ สวัสดีครับ
วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
ตา
สวัสดีครับ
ดวงตาเปรียบเสมือนหน้าต่างของหัวใจ และเนื้องอกในตาก็เหมือนคนนั่งอยู่ในหัวใจ... ฮ่าๆ แค่ขำๆครับ ไม่มีอะไรมาก หลังจากที่เมื่อวานเขียนเรื่องพาลูกสาวไปหาหมอตามาแล้ว วันนี้ก็เลยไปค้นเรื่องการรักษามาเขียนเพิ่มเติมครับ จริงๆแล้วอยากจะเปิดเข้าไปในอินเตอร์เน็ตแล้วเจอคำว่า "พบแล้ว พบวิธีการรักษาแล้ว" มากกว่า แต่ก็ไม่เจอครับ แล้วก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้เจอ...
เข้าเรื่องนะครับ สำหรับวิธีการรักษาเนื้องอก (angioma) ในตา (จอตาหรือจอประสาทตา - retina) นั้นหลักการก็คือทำอย่างไรก็ได้ให้มันมีขนาดที่เล็กจนไม่สามารถเป็นอุปสรรคต่อการมองเห็นครับ ซึ่งวิธีการมีอยู่สองอย่างคือ
สำหรับวันนี้คงพอเท่านี้ก่อนนะครับ แล้วพบกันใหม่ครับ ขอให้ผู้อ่านทุกท่านมีแต่ความสุขและสุขภาพแข็งแรงกันทุกๆท่านนะครับ
สวัสดีครับ
ดวงตาเปรียบเสมือนหน้าต่างของหัวใจ และเนื้องอกในตาก็เหมือนคนนั่งอยู่ในหัวใจ... ฮ่าๆ แค่ขำๆครับ ไม่มีอะไรมาก หลังจากที่เมื่อวานเขียนเรื่องพาลูกสาวไปหาหมอตามาแล้ว วันนี้ก็เลยไปค้นเรื่องการรักษามาเขียนเพิ่มเติมครับ จริงๆแล้วอยากจะเปิดเข้าไปในอินเตอร์เน็ตแล้วเจอคำว่า "พบแล้ว พบวิธีการรักษาแล้ว" มากกว่า แต่ก็ไม่เจอครับ แล้วก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้เจอ...
เข้าเรื่องนะครับ สำหรับวิธีการรักษาเนื้องอก (angioma) ในตา (จอตาหรือจอประสาทตา - retina) นั้นหลักการก็คือทำอย่างไรก็ได้ให้มันมีขนาดที่เล็กจนไม่สามารถเป็นอุปสรรคต่อการมองเห็นครับ ซึ่งวิธีการมีอยู่สองอย่างคือ
- การผ่าตัดด้วยการฉายแสงเลเซอร์ (laser treatment)
- cryotherapy freezing ซึ่งไม่แน่ใจครับว่าทำอย่างไร
สำหรับวันนี้คงพอเท่านี้ก่อนนะครับ แล้วพบกันใหม่ครับ ขอให้ผู้อ่านทุกท่านมีแต่ความสุขและสุขภาพแข็งแรงกันทุกๆท่านนะครับ
สวัสดีครับ
วันพุธที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
พาลูกไปหาหมอตาที่ศิริราช
สวัสดีครับ
วันนี้หยุดงานพาลูกสาวคนโตที่เป็นโรค VHL และเคยผ่าเนื้องอกในสมองไปแล้วด้วยหนึ่งครั้ง ไปหาหมอตาตามนัดมาครับ ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้วที่หมอนัด ห่างจากครั้งแรกประมาณ 6 เดือนครับ ครั้งที่แล้วตรวจไม่พบเนื้องอกอะไร คราวนี้ก็เช่นกันตรวจไม่พบความผิดปกติใดๆครับ
เวลานัดคือ 10:30 ในใบนัดเขียนไว้ว่าให้ไปถึงโรงพยาบาลก่อนเวลา 9:30 ซึ่งก็ไปถึงและยื่นบัตรนัดตอน 8:00 พอดีครับ แต่กว่าจะผ่านขั้นตอนต่างๆ จนได้พบแพทย์ก็โน่นแหละครับ บ่ายโมงกว่าเข้าไปแล้ว เพราะคนไข้เยอะมากๆ จะเล่าให้ฟังคร่าวๆดังนี้นะครับ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับท่านที่อาจจะมีนัดในอนาคตจะได้เตรียมตัวได้ถูก
สำหรับเรื่องเวลานัดนั้นจากประสบการณ์ที่ผ่านมาไม่ทราบเหมือนกันว่ามีความสำคัญอะไรอย่างไรเพราะว่าใครไปยื่นบัตรนัดได้ก่อนก็จะได้รับการเรียกชื่อก่อนและเข้ารับการตรวจก่อนครับ ดังนั้นควรไปยื่นบัตรให้เช้าที่สุดเท่าที่จะเช้าได้ ไม่แน่ใจว่าเราสามารถยื่นได้เลยตอนหกโมงเช้าหรือเปล่านะครับ ขั้นตอนการตรวจก็มีคร่าวๆดังนี้นะครับ คือเจ้าหน้าที่จะเรียกเข้าไปรับแฟ้มประวัติคนไข้ และเข้าไปตรวจวัดสายตา ความดันตา ความดันโลหิตก่อนครับ จากนั้นถ้ามีรายการสายตาสั้น ตาเอียงหรือปัญหาสายตาอื่นๆ ก็อาจจะต้องไปที่ตู้แว่นเพื่อวัดสายตาประกอบแว่น (แต่การตัดแว่นขึ้นอยู่กับเราที่จะไปตัดตอนไหนก็ได้ครับ) จากนั้นก็จะไปรับการขยายม่านตา ซึ่งตรงนี้เจ้าหน้าที่จะให้นั่งและใช้ยาหยอดตาเพื่อขยายม่านตา ตรงนี้จะใช้เวลานานหน่อย อาจจะต้องนั่งหลับตาเพื่อให้ม่านตาขยายเป็นเวลานานถึงครึ่งชั่วโมงหรือมากกว่านั้นได้ครับ จากนั้นก็จะไปต่อที่ห้องถ่ายรูปเพื่อให้เจ้าหน้าที่ถ่ายรูปภายในตาหรือแถวๆจอประสาทตาครับ เสร็จแล้วจึงจะไปนั่งรอพบหมอต่อไป
สำหรับลูกสาวคราวนี้ได้พบหมอตอนบ่ายโมงกว่าๆครับ ใช้เวลาตรวจประมาณสามนาทีแล้วก็ไปรับใบนัด ชำระเงินแล้วก็กลับบ้านได้ ซึ่งผลการตรวจปรากฎว่าไม่มีอะไรผิดปกติครับ คุณหมอก็เลยนัดอีกทีอีกหนึ่งปีครับ สำหรับค่าใช้จ่ายทั้งหมด 350บาทครับ ก็จะเป็นค่าแพทย์และค่าถ่ายรูปเป็นหลัก
ทั้งหมดก็เป็นข้อมูลสำหรับท่านที่จะต้องไปพบแพทย์นะครับ ศิริราชเป็นโรงพยาบาลที่ผมเชื่อว่าดีที่สุดทั้งในเรื่องของการบริการและวิทยาการโดยรวมๆนะครับ ดังนั้นจึงมีผู้ป่วยจากทั่วประเทศเดินทางมาเข้ารับการรักษาอยู่ตลอดเวลา ทุกคนจึงต้องรอตามคิวครับ
สวัสดีครับ
วันนี้หยุดงานพาลูกสาวคนโตที่เป็นโรค VHL และเคยผ่าเนื้องอกในสมองไปแล้วด้วยหนึ่งครั้ง ไปหาหมอตาตามนัดมาครับ ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองแล้วที่หมอนัด ห่างจากครั้งแรกประมาณ 6 เดือนครับ ครั้งที่แล้วตรวจไม่พบเนื้องอกอะไร คราวนี้ก็เช่นกันตรวจไม่พบความผิดปกติใดๆครับ
เวลานัดคือ 10:30 ในใบนัดเขียนไว้ว่าให้ไปถึงโรงพยาบาลก่อนเวลา 9:30 ซึ่งก็ไปถึงและยื่นบัตรนัดตอน 8:00 พอดีครับ แต่กว่าจะผ่านขั้นตอนต่างๆ จนได้พบแพทย์ก็โน่นแหละครับ บ่ายโมงกว่าเข้าไปแล้ว เพราะคนไข้เยอะมากๆ จะเล่าให้ฟังคร่าวๆดังนี้นะครับ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับท่านที่อาจจะมีนัดในอนาคตจะได้เตรียมตัวได้ถูก
สำหรับเรื่องเวลานัดนั้นจากประสบการณ์ที่ผ่านมาไม่ทราบเหมือนกันว่ามีความสำคัญอะไรอย่างไรเพราะว่าใครไปยื่นบัตรนัดได้ก่อนก็จะได้รับการเรียกชื่อก่อนและเข้ารับการตรวจก่อนครับ ดังนั้นควรไปยื่นบัตรให้เช้าที่สุดเท่าที่จะเช้าได้ ไม่แน่ใจว่าเราสามารถยื่นได้เลยตอนหกโมงเช้าหรือเปล่านะครับ ขั้นตอนการตรวจก็มีคร่าวๆดังนี้นะครับ คือเจ้าหน้าที่จะเรียกเข้าไปรับแฟ้มประวัติคนไข้ และเข้าไปตรวจวัดสายตา ความดันตา ความดันโลหิตก่อนครับ จากนั้นถ้ามีรายการสายตาสั้น ตาเอียงหรือปัญหาสายตาอื่นๆ ก็อาจจะต้องไปที่ตู้แว่นเพื่อวัดสายตาประกอบแว่น (แต่การตัดแว่นขึ้นอยู่กับเราที่จะไปตัดตอนไหนก็ได้ครับ) จากนั้นก็จะไปรับการขยายม่านตา ซึ่งตรงนี้เจ้าหน้าที่จะให้นั่งและใช้ยาหยอดตาเพื่อขยายม่านตา ตรงนี้จะใช้เวลานานหน่อย อาจจะต้องนั่งหลับตาเพื่อให้ม่านตาขยายเป็นเวลานานถึงครึ่งชั่วโมงหรือมากกว่านั้นได้ครับ จากนั้นก็จะไปต่อที่ห้องถ่ายรูปเพื่อให้เจ้าหน้าที่ถ่ายรูปภายในตาหรือแถวๆจอประสาทตาครับ เสร็จแล้วจึงจะไปนั่งรอพบหมอต่อไป
สำหรับลูกสาวคราวนี้ได้พบหมอตอนบ่ายโมงกว่าๆครับ ใช้เวลาตรวจประมาณสามนาทีแล้วก็ไปรับใบนัด ชำระเงินแล้วก็กลับบ้านได้ ซึ่งผลการตรวจปรากฎว่าไม่มีอะไรผิดปกติครับ คุณหมอก็เลยนัดอีกทีอีกหนึ่งปีครับ สำหรับค่าใช้จ่ายทั้งหมด 350บาทครับ ก็จะเป็นค่าแพทย์และค่าถ่ายรูปเป็นหลัก
ทั้งหมดก็เป็นข้อมูลสำหรับท่านที่จะต้องไปพบแพทย์นะครับ ศิริราชเป็นโรงพยาบาลที่ผมเชื่อว่าดีที่สุดทั้งในเรื่องของการบริการและวิทยาการโดยรวมๆนะครับ ดังนั้นจึงมีผู้ป่วยจากทั่วประเทศเดินทางมาเข้ารับการรักษาอยู่ตลอดเวลา ทุกคนจึงต้องรอตามคิวครับ
สวัสดีครับ
วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
ความสุขอันเกิดจากความสงบอันวิเวก
สวัสดีครับ
วันนี้ผมได้รับหนังสือที่ระลึกเนื่องในงานทอดกฐินสามัคคี วัดสบคือ อำเภอเถิน จังหวัดลำปางของปีนี้มาเล่มหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องทศชาติชาดกครับ ผมพลิกไปอ่านแบบไม่ได้เจาะจงว่าจะอ่านตอนใด ก็ไปเจอหน้าของตอนที่ว่าด้วยเรื่องพระเนมิราชครับ ผมยังอ่านไม่จบ แต่มีตอนหนึ่งที่เกิดความประทับใจและอยากเอามาเผยแพร่ต่อ ซึ่งมีดังต่อไปนี้ครับ
...ขณะที่ทรงปฏิบัติธรรมอยู่นั้นพระเจ้าเนมิราชทรงสงสัยว่า การให้ทานกับการประพฤติพรหมจรรย์ คือ การรักษาความบริสุทธิ์ ไม่ข้องเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวโลกนั้น อย่างไหนจะประเสริฐกว่ากัน พระอินทร์ได้ทรงทราบถึงความกังขาในพระทัยของพระเจ้าเนมิราช จึงเสด็จจากดาวดึงส์ลงมาปรากฎเฉพาะพระพักตร์พระราชา ตรัสกับพระราชาว่า "หม่อมฉันมาเพื่อแก้ข้อสงสัย ที่ทรงมีพระประสงค์จะทราบว่าระหว่างทานกับการประพฤติพรหมจรรย์ สิ่งใดจะเป็นกุศลยิ่งกว่ากัน หม่อมฉันขอทูลให้ทราบว่า บุคคลได้เกิดในตระกูลกษัตริย์นั้นก็เพราะประพฤติพรหมจรรย์ในขั้นต่ำ บุคคลได้เกิดในเทวโลกก็เพราะได้ประพฤติพรหมจรรย์ขั้นกลาง บุคคลจะถึงความบริสุทธิ์ ก็เพราะประพฤติพรหมจรรย์ขั้นสูงสุด การเป็นพรหมนั้น เป็นได้ยากลำบากยิ่ง ผู้จะประพฤติพรหมจรรย์จะต้องเว้นจากวิถีชีวิตอย่างมนุษย์ปุถุชน ต้องไม่มีเหย้าเรือน ต้องบำเพ็ญธรรมสม่ำเสมอ ดังนั้นการประพฤติพรหมจรรย์จึงทำได้ยากยิ่งกว่าการบริจาคทาน และได้กุศลมากยิ่งกว่าหลายเท่านัก บรรดากษัตริย์ทั้งหลายมักบริจาคทานกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่สามารถจะล่วงพ้นจากกิเลสไปได้ แม้จะได้ไปเกิดในที่อันมีแต่ความสนุก ความบันเทิงรื่นรมย์ แต่ก็เปรียบไม่ได้กับความสุขอันเกิดจาก ความสงบอันวิเวก อันจะได้มาก็ด้วยการประพฤติพรหมจรรย์เท่านั้น"...
ทั้งหมดนั้นเป็นตอนหนึ่งนะครับ สำหรับเรื่องราวแบบเต็มๆนั้นถ้าใครสนใจก็ลองไปหาอ่านเพิ่มเติมเอาเองนะครับ ที่ผมอยากเอามาเล่าสู่กันฟังก็ตรงที่กล่าวถึงความสุขอันเกิดจากความสงบนั่นเองครับ
คำพระท่านว่าไว้ดังนี้ครับ ...นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ... สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี
สวัสดีครับ
วันนี้ผมได้รับหนังสือที่ระลึกเนื่องในงานทอดกฐินสามัคคี วัดสบคือ อำเภอเถิน จังหวัดลำปางของปีนี้มาเล่มหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องทศชาติชาดกครับ ผมพลิกไปอ่านแบบไม่ได้เจาะจงว่าจะอ่านตอนใด ก็ไปเจอหน้าของตอนที่ว่าด้วยเรื่องพระเนมิราชครับ ผมยังอ่านไม่จบ แต่มีตอนหนึ่งที่เกิดความประทับใจและอยากเอามาเผยแพร่ต่อ ซึ่งมีดังต่อไปนี้ครับ
...ขณะที่ทรงปฏิบัติธรรมอยู่นั้นพระเจ้าเนมิราชทรงสงสัยว่า การให้ทานกับการประพฤติพรหมจรรย์ คือ การรักษาความบริสุทธิ์ ไม่ข้องเกี่ยวกับวิถีชีวิตของชาวโลกนั้น อย่างไหนจะประเสริฐกว่ากัน พระอินทร์ได้ทรงทราบถึงความกังขาในพระทัยของพระเจ้าเนมิราช จึงเสด็จจากดาวดึงส์ลงมาปรากฎเฉพาะพระพักตร์พระราชา ตรัสกับพระราชาว่า "หม่อมฉันมาเพื่อแก้ข้อสงสัย ที่ทรงมีพระประสงค์จะทราบว่าระหว่างทานกับการประพฤติพรหมจรรย์ สิ่งใดจะเป็นกุศลยิ่งกว่ากัน หม่อมฉันขอทูลให้ทราบว่า บุคคลได้เกิดในตระกูลกษัตริย์นั้นก็เพราะประพฤติพรหมจรรย์ในขั้นต่ำ บุคคลได้เกิดในเทวโลกก็เพราะได้ประพฤติพรหมจรรย์ขั้นกลาง บุคคลจะถึงความบริสุทธิ์ ก็เพราะประพฤติพรหมจรรย์ขั้นสูงสุด การเป็นพรหมนั้น เป็นได้ยากลำบากยิ่ง ผู้จะประพฤติพรหมจรรย์จะต้องเว้นจากวิถีชีวิตอย่างมนุษย์ปุถุชน ต้องไม่มีเหย้าเรือน ต้องบำเพ็ญธรรมสม่ำเสมอ ดังนั้นการประพฤติพรหมจรรย์จึงทำได้ยากยิ่งกว่าการบริจาคทาน และได้กุศลมากยิ่งกว่าหลายเท่านัก บรรดากษัตริย์ทั้งหลายมักบริจาคทานกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่สามารถจะล่วงพ้นจากกิเลสไปได้ แม้จะได้ไปเกิดในที่อันมีแต่ความสนุก ความบันเทิงรื่นรมย์ แต่ก็เปรียบไม่ได้กับความสุขอันเกิดจาก ความสงบอันวิเวก อันจะได้มาก็ด้วยการประพฤติพรหมจรรย์เท่านั้น"...
ทั้งหมดนั้นเป็นตอนหนึ่งนะครับ สำหรับเรื่องราวแบบเต็มๆนั้นถ้าใครสนใจก็ลองไปหาอ่านเพิ่มเติมเอาเองนะครับ ที่ผมอยากเอามาเล่าสู่กันฟังก็ตรงที่กล่าวถึงความสุขอันเกิดจากความสงบนั่นเองครับ
คำพระท่านว่าไว้ดังนี้ครับ ...นตฺถิ สนฺติ ปรํ สุขํ... สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี
สวัสดีครับ
วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
ไปเรื่อยๆ ถ้ายังไปได้
อาคารวัฒนธรรมของชนเผ่าเมารี (Maori) ที่เมือง Dunedin เกาะใต้ของนิวซีแลนด์
สวัสดีครับ
เพิ่งมีโอกาสกลับมาเขียนเรื่องราวเล่าสู่กันฟังกันอีกครั้งหลังจากที่เดินทางไปทำงานในสามประเทศในช่วงเวลาสิบวันที่ผ่านมาครับ ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องเดินทางจริงๆครับ งานเข้ามากองรวมๆ กันช่วงนี้พอดี ไม่มีปัญหาครับ ทำร่างกายให้แข็งแรงเท่านั้นเป็นพอ ซึ่งก็ไม่ใช่ง่ายๆหรอกนะครับ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังครับ เพื่อเป็นข้อคิดในเรื่องของการดูแลสุขภาพในช่วงที่ต้องเดินทางกันไกลๆ และมีเวลา (time zone) ที่ต่างกันครับ โดยเฉพาะสำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวานอย่างผมอยู่แล้วด้วย...
ผมมีโปรแกรมต้องเดินทางไปทำงานที่ประเทศเวียดนาม อินโดนีเซียและนิวซีแลนด์ในช่วงสิบวันที่ผ่านมานี้ครับ อย่างที่บอกครับว่างานมันเข้ามาพร้อมๆกันพอดีในช่วงนี้ สิ่งที่ผมกังวลเล็กน้อยสำหรับช่วงแห่งการเดินทางนี้ก็คือเรื่องของการทานยาและการคุมอาหารครับ ซึ่งสำหรับคนที่เป็นเบาหวานมานานอย่างผมแล้ว เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ เพราะว่าความยากลำบากในการควบคุมการกินยาให้ตรงเวลาและทานอาหารให้เป็นเวลาจะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอนครับ ทำไมน่ะหรือครับ ก็เพราะว่าเวลาต้องเดินทางโดยเครื่องบิน ทำให้เราไม่สามารถควบคุมการทานอาหารให้เป็นเวลาได้เหมือนที่เราทำตอนที่ไม่ต้องไปไหนน่ะสิครับ อย่างเช่น ถ้าต้องขึ้นเครื่องบินเที่ยวบิน 8 โมงเช้า เราก็ต้องไปถึงสนามบินเพื่อเช็คอินตอน 6 โมงเช้า ซึ่งกว่าจะได้ทานอาหารเช้าบนเครื่องบินก็เกือบ 9 โมงเช้าเข้าไปแล้ว ซึ่งผิดเวลาอาหารเช้าปกติของบางคน แล้วบางครั้งก็อาจจะไม่ใช่อาหารเช้าเต็มรูปแบบ แบบที่เราเคยทานตอนอยู่ที่บ้านอีก เช่น บางครั้งถ้าเป็นระยะทางบินสั้นๆ ก็ได้แค่อาหารว่างแค่นั้นเอง ซึ่งอย่างนี้ก็ทำให้การทานอาหารของเราเปลี่ยนแปลงไปแล้ว แล้วการทานยาล่ะ ก็ต้องมีผลใช่ไหมครับ รับประทานอาหารน้อยแต่ต้องกินยาลดน้ำตาลในเลือด อย่างนี้มีโอกาสเกิดอาการน้ำตาลต่ำได้ง่ายๆ ยิ่งอยู่ในช่วงเดินทางในต่างประเทศอีกต่างหาก เห็นมั้ยครับว่าไม่ง่ายเลย
อีกตัวอย่าง ก็อย่างเช่น ช่วงเวลาที่ต่างกันครับ ในประเทศที่พระอาทิตย์ขึ้นก่อนเมืองไทย เราก็ต้องตื่นเร็วขึ้น นอนเร็วขึ้น ทานอาหารเร็วขึ้น งั้นก็ต้องทานยาเร็วขึ้นด้วย และเวลาก็เปลี่ยนไปด้วย ใช่ไหมครับ อย่างนี้นี่เองที่ทำให้การทานอาหารและการกินยาของเราไม่ตรงกับเวลาเดิมและสร้างปัญหาให้ผมไม่ใช่น้อยเลยเช่นกันครับ ในภาวะอย่างนี้เราต้องเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลาเรื่องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดี เพราะจากที่เราเคยทานข้าวเย็นตอนหนึ่งทุ่ม เราก็อาจจะต้องทานข้าวเย็นตอนบ่ายโมง (เพราะมันเป็นตอนเย็นของประเทศนั้นแล้ว) เป็นต้น แล้วเราก็เข้านอนตอนห้าโมงเย็น แล้วก็ตื่นตอนเที่ยงคืนเพื่อจะไปทำงานตอนตีสอง... เห็นมั้ยครับว่ามันเปลี่ยนไปหมดจริงๆ
อย่างไรก็ตามอย่างที่บอกตอนแรกครับ ว่าเราต้องเตรียมพร้อมเรื่องการทานอาหาร การทานยาให้ดี ผมก็พยายามครับ แต่ทุกครั้งที่กลับจากต่างประเทศ น้ำตาลเช้าขึ้นทุกทีเลยครับ...
สวัสดีครับ
สวัสดีครับ
เพิ่งมีโอกาสกลับมาเขียนเรื่องราวเล่าสู่กันฟังกันอีกครั้งหลังจากที่เดินทางไปทำงานในสามประเทศในช่วงเวลาสิบวันที่ผ่านมาครับ ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องเดินทางจริงๆครับ งานเข้ามากองรวมๆ กันช่วงนี้พอดี ไม่มีปัญหาครับ ทำร่างกายให้แข็งแรงเท่านั้นเป็นพอ ซึ่งก็ไม่ใช่ง่ายๆหรอกนะครับ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังครับ เพื่อเป็นข้อคิดในเรื่องของการดูแลสุขภาพในช่วงที่ต้องเดินทางกันไกลๆ และมีเวลา (time zone) ที่ต่างกันครับ โดยเฉพาะสำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวานอย่างผมอยู่แล้วด้วย...
ผมมีโปรแกรมต้องเดินทางไปทำงานที่ประเทศเวียดนาม อินโดนีเซียและนิวซีแลนด์ในช่วงสิบวันที่ผ่านมานี้ครับ อย่างที่บอกครับว่างานมันเข้ามาพร้อมๆกันพอดีในช่วงนี้ สิ่งที่ผมกังวลเล็กน้อยสำหรับช่วงแห่งการเดินทางนี้ก็คือเรื่องของการทานยาและการคุมอาหารครับ ซึ่งสำหรับคนที่เป็นเบาหวานมานานอย่างผมแล้ว เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ เพราะว่าความยากลำบากในการควบคุมการกินยาให้ตรงเวลาและทานอาหารให้เป็นเวลาจะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอนครับ ทำไมน่ะหรือครับ ก็เพราะว่าเวลาต้องเดินทางโดยเครื่องบิน ทำให้เราไม่สามารถควบคุมการทานอาหารให้เป็นเวลาได้เหมือนที่เราทำตอนที่ไม่ต้องไปไหนน่ะสิครับ อย่างเช่น ถ้าต้องขึ้นเครื่องบินเที่ยวบิน 8 โมงเช้า เราก็ต้องไปถึงสนามบินเพื่อเช็คอินตอน 6 โมงเช้า ซึ่งกว่าจะได้ทานอาหารเช้าบนเครื่องบินก็เกือบ 9 โมงเช้าเข้าไปแล้ว ซึ่งผิดเวลาอาหารเช้าปกติของบางคน แล้วบางครั้งก็อาจจะไม่ใช่อาหารเช้าเต็มรูปแบบ แบบที่เราเคยทานตอนอยู่ที่บ้านอีก เช่น บางครั้งถ้าเป็นระยะทางบินสั้นๆ ก็ได้แค่อาหารว่างแค่นั้นเอง ซึ่งอย่างนี้ก็ทำให้การทานอาหารของเราเปลี่ยนแปลงไปแล้ว แล้วการทานยาล่ะ ก็ต้องมีผลใช่ไหมครับ รับประทานอาหารน้อยแต่ต้องกินยาลดน้ำตาลในเลือด อย่างนี้มีโอกาสเกิดอาการน้ำตาลต่ำได้ง่ายๆ ยิ่งอยู่ในช่วงเดินทางในต่างประเทศอีกต่างหาก เห็นมั้ยครับว่าไม่ง่ายเลย
อีกตัวอย่าง ก็อย่างเช่น ช่วงเวลาที่ต่างกันครับ ในประเทศที่พระอาทิตย์ขึ้นก่อนเมืองไทย เราก็ต้องตื่นเร็วขึ้น นอนเร็วขึ้น ทานอาหารเร็วขึ้น งั้นก็ต้องทานยาเร็วขึ้นด้วย และเวลาก็เปลี่ยนไปด้วย ใช่ไหมครับ อย่างนี้นี่เองที่ทำให้การทานอาหารและการกินยาของเราไม่ตรงกับเวลาเดิมและสร้างปัญหาให้ผมไม่ใช่น้อยเลยเช่นกันครับ ในภาวะอย่างนี้เราต้องเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลาเรื่องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดี เพราะจากที่เราเคยทานข้าวเย็นตอนหนึ่งทุ่ม เราก็อาจจะต้องทานข้าวเย็นตอนบ่ายโมง (เพราะมันเป็นตอนเย็นของประเทศนั้นแล้ว) เป็นต้น แล้วเราก็เข้านอนตอนห้าโมงเย็น แล้วก็ตื่นตอนเที่ยงคืนเพื่อจะไปทำงานตอนตีสอง... เห็นมั้ยครับว่ามันเปลี่ยนไปหมดจริงๆ
อย่างไรก็ตามอย่างที่บอกตอนแรกครับ ว่าเราต้องเตรียมพร้อมเรื่องการทานอาหาร การทานยาให้ดี ผมก็พยายามครับ แต่ทุกครั้งที่กลับจากต่างประเทศ น้ำตาลเช้าขึ้นทุกทีเลยครับ...
สวัสดีครับ
วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
โรคซึมเศร้าที่เกิดจากโรค VHL
โบสถ์ที่วัดพระธาตุม่อนพระเจ้าหลาย แม่ขะจาน อ. เวียงป่าเป้า เชียงราย
สวัสดีครับ
วันเสาร์ตอนบ่ายๆ ครับ วันนี้อยู่บ้านหลังจากที่เดินทางไปต่างประเทศมาหลายวันครับ วันนี้ผมไปค้นข้อมูลวิชาการมาเล่าให้ฟังกันนิดหน่อยครับ เข้าเรื่องเลยนะครับ คือเป็นเรื่องเกี่ยวกับโรคหรืออาการซึมเศร้าที่เกิดจากการที่เราเป็นโรค VHL นี้ครับ ทำไมต้องซึมเศร้าล่ะครับ มันเกี่ยวกันอย่างไรกับโรคนี้?
เกี่ยวกันครับ เกี่ยวมากด้วยสิครับ สาเหตุคือการที่เรามีความเจ็บป่วยทางร่างกายนานๆ เนื่องจากเป็นโรคนี้ไงครับ เมื่อเรารู้ว่าเราจะไม่มีทางหายจากโรคนี้เนื่องจากว่าในปัจจุบันนี้ยังไม่มีการค้นพบวิธีการรักษา มันก็จะทำให้เรารู้สึกหดหู่ หมดหวัง กดดัน และอื่นๆ อีกมากมากที่จะตามมา ไม่ว่าจะเป็นความกลัวต่อความเจ็บปวด กลัวต้องนอนโรงพยาบาล กังวลเรื่องค่าใช้จ่าย กังวลเรื่องที่จะทำให้เป็นภาระกับญาติพี่น้องต่อไป และอีกหลายอย่างครับ ที่จะเกิดขึ้นได้ เรื่องเหล่านี้แหละครับ ที่จะเกิดขึ้นและอยู่กับเราผู้ป่วยไปอย่างยาวนาน หรือตลอดชีวิต ซึ่งก็จะทำให้เกิดเป็นโรคซึมเศร้าตามมาได้ครับ
แต่ว่าจากข้างต้นเราจะเห็นว่า อาการดังกล่าวอาจมีสาเหตุมาจากความเจ็บป่วยทางกายเนื่องจากโรคอื่นๆ ก็ได้นะครับ เช่น โรคหัวใจ มะเร็ง เบาหวาน เป็นต้นครับ ไม่ใช่เฉพาะโรค VHL อย่างเดียว คือโรคอะไรก็ตามที่ทำให้มีความเจ็บป่วยทางกายที่ต้องใช้เวลาในการรักษานานๆ นั่นแหละครับ เป็นสาเหตุได้ทั้งนั้น
ต่อไปนี้คืออาการที่บ่งชี้ของคนที่อาจจะเป็นโรคซึมเศร้านะครับ คือ
ทีนี้เมื่อไรที่เราจะต้องไปพบแพทย์เพื่อให้รักษาล่ะครับ จริงๆ แล้วอาการซึมเศร้านี้อาจหายไปได้เมื่อเวลาผ่านไป แต่ถ้าหากจะพิจารณาดูว่าเมื่อไรที่เราควรไปพบจิตแพทย์เพื่อรับการรักษาล่ะก็ ลองดูจากอาการที่เขียนไว้ดังต่อไปนี้นะครับ ว่าเราเป็นอย่างนี้หรือเปล่า
คราวนี้ลองมาดูวิธีการรักษาบ้างนะครับ ว่ามีอะไรบ้าง
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเราจะเจ็บป่วยทางกายอย่างนี้ ยังไงก็ขอให้เข้มแข็งและอย่าเสียเวลาไปคิดถึงมันมากนะครับ เสียทั้งสุขภาพกายและจิต เอาเวลาที่มีอยู่ไปทำอะไรที่มีประโยชน์กับผู้คนรอบข้างดีกว่านะครับ
สวัสดีครับ
สวัสดีครับ
วันเสาร์ตอนบ่ายๆ ครับ วันนี้อยู่บ้านหลังจากที่เดินทางไปต่างประเทศมาหลายวันครับ วันนี้ผมไปค้นข้อมูลวิชาการมาเล่าให้ฟังกันนิดหน่อยครับ เข้าเรื่องเลยนะครับ คือเป็นเรื่องเกี่ยวกับโรคหรืออาการซึมเศร้าที่เกิดจากการที่เราเป็นโรค VHL นี้ครับ ทำไมต้องซึมเศร้าล่ะครับ มันเกี่ยวกันอย่างไรกับโรคนี้?
เกี่ยวกันครับ เกี่ยวมากด้วยสิครับ สาเหตุคือการที่เรามีความเจ็บป่วยทางร่างกายนานๆ เนื่องจากเป็นโรคนี้ไงครับ เมื่อเรารู้ว่าเราจะไม่มีทางหายจากโรคนี้เนื่องจากว่าในปัจจุบันนี้ยังไม่มีการค้นพบวิธีการรักษา มันก็จะทำให้เรารู้สึกหดหู่ หมดหวัง กดดัน และอื่นๆ อีกมากมากที่จะตามมา ไม่ว่าจะเป็นความกลัวต่อความเจ็บปวด กลัวต้องนอนโรงพยาบาล กังวลเรื่องค่าใช้จ่าย กังวลเรื่องที่จะทำให้เป็นภาระกับญาติพี่น้องต่อไป และอีกหลายอย่างครับ ที่จะเกิดขึ้นได้ เรื่องเหล่านี้แหละครับ ที่จะเกิดขึ้นและอยู่กับเราผู้ป่วยไปอย่างยาวนาน หรือตลอดชีวิต ซึ่งก็จะทำให้เกิดเป็นโรคซึมเศร้าตามมาได้ครับ
แต่ว่าจากข้างต้นเราจะเห็นว่า อาการดังกล่าวอาจมีสาเหตุมาจากความเจ็บป่วยทางกายเนื่องจากโรคอื่นๆ ก็ได้นะครับ เช่น โรคหัวใจ มะเร็ง เบาหวาน เป็นต้นครับ ไม่ใช่เฉพาะโรค VHL อย่างเดียว คือโรคอะไรก็ตามที่ทำให้มีความเจ็บป่วยทางกายที่ต้องใช้เวลาในการรักษานานๆ นั่นแหละครับ เป็นสาเหตุได้ทั้งนั้น
ต่อไปนี้คืออาการที่บ่งชี้ของคนที่อาจจะเป็นโรคซึมเศร้านะครับ คือ
- มีอาการซึมเศร้า หรือความรู้สึกโศรกเศร้าแทบจะทั้งวัน และแทบทุกวัน
- ขาดความสนใจ หรือพอใจกับสิ่งต่างๆ อยู่ตลอดเวลา
- น้ำหนักเพิ่มหรือลดลงอย่างฮวบฮาบ ถ้าไม่ได้ควบคุมอาหารอย่างเคร่งครัด หรือความรู้สึกอยากอาหารหรือเบื่ออาหารเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
- นอนไม่ค่อยหลับ หรือหลับยากแทบทุกวัน
- อ่อนเพลียอยู่ตลอดเวลา
- รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า หรือรู้สึกผิดอยู่ตลอดเวลา
- ขาดสมาธิ
- คิดฆ่าตัวตายซ้ำซาก
ทีนี้เมื่อไรที่เราจะต้องไปพบแพทย์เพื่อให้รักษาล่ะครับ จริงๆ แล้วอาการซึมเศร้านี้อาจหายไปได้เมื่อเวลาผ่านไป แต่ถ้าหากจะพิจารณาดูว่าเมื่อไรที่เราควรไปพบจิตแพทย์เพื่อรับการรักษาล่ะก็ ลองดูจากอาการที่เขียนไว้ดังต่อไปนี้นะครับ ว่าเราเป็นอย่างนี้หรือเปล่า
- อาการโศรกเศร้านั้นมากจนเรารู้สึกว่าต้องทำอย่างใดอย่างหนึ่งกับมันแล้ว
- รู้สึกว่าเราต้องการความช่วยเหลือแล้ว
- อาการโศรกเศร้านั้นเริ่มมีผลกับการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น มีผลต่อการทำงาน มีผลต่อความสัมพันธ์กับผู้อื่น เป็นต้น
- คิดฆ่าตัวตาย
คราวนี้ลองมาดูวิธีการรักษาบ้างนะครับ ว่ามีอะไรบ้าง
- ข้อแรก คือการใช้ยาครับ
- ข้อสองคือการรักษาทางจิตบำบัด
- ข้อสามคือใช้ทั้งสองอย่างร่วมกัน คือทั้งยาและจิตบำบัดครับ
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเราจะเจ็บป่วยทางกายอย่างนี้ ยังไงก็ขอให้เข้มแข็งและอย่าเสียเวลาไปคิดถึงมันมากนะครับ เสียทั้งสุขภาพกายและจิต เอาเวลาที่มีอยู่ไปทำอะไรที่มีประโยชน์กับผู้คนรอบข้างดีกว่านะครับ
สวัสดีครับ
วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
หิวตลอดเวลาแม้ตอนกำลังทานข้าวอยู่...
สวัสดีครับ
วันนี้มีหัวข้อเรื่องแปลกๆ มาพูดคุยกันครับ คืออาการหิวอยู่ตลอดเวลาเหมือนชื่อหัวข้อเรื่องนั่นแหละครับ ผมสังเกตุตัวเองมาหลายวันแล้วถึงอาการหิวแปลกๆที่ว่านี้ คือหิวตลอดเวลาแม้ว่าจะกำลังทานอาหารอยู่ก็ตาม... หรือแม้กระทั่งหลังทานอาหารเสร็จใหม่ๆ ก็ด้วยครับ มันเป็นความรู้สึกที่แปลกมาก ผมหาสาเหตุไม่ได้มาเป็นเวลานานแล้ว คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจสักที จนกระทั่งวันนี้เองที่ผมคิดว่าผมน่าจะพอทราบสาเหตุแล้ว นั่นก็คือเพราะเจ้าเนื้องอกหรือซีสต์ในตับอ่อนนั่นเองครับ เจ้าเนื้องอกที่ว่านี้ทราบมาก่อนแล้วว่ามันเป็นตัวการที่ทำให้การผลิตน้ำย่อยจากตับอ่อนเป็นไปได้ไม่ปรกติ ผลก็คือน้ำย่อยออกมาน้อยกว่าปกติและก็เลยทำให้อาหารไม่ค่อยจะย่อย ซึ่งผลก็คือทำให้ท้องเสีย และอะไรอีกหลายๆ อย่าง ซึ่งผมเคยเขียนไปในตอนก่อนๆ แล้วครับ ก็เลยไม่อยากเอามาเขียนซ้ำอีก และเนื่องจากน้ำย่อยที่ออกมาไม่พอนี่แหละครับที่เป็นสาเหตุหลักของอาการหิวอยู่ตลอดเวลาแม้ขณะที่กำลังทานอาหาร...
ผมเข้าใจอย่างนี้ครับ (รวมๆกับหลักวิชาการที่อ่านมาจากหนังสือด้วย) ว่าเนื่องจากน้ำย่อยออกมาไม่พอและหลังๆนี้ผมก็ไม่ได้ทานยาช่วยย่อย (ซึ่งเป็นเอนไซม์ช่วยย่อยอาหาร ทานหลังอาหารเช้า เย็น) เลย ก็เลยทำให้อาหารไม่ค่อยย่อย อาหารส่วนใหญ่ที่กินเข้าไปก็จะไหลผ่านระบบทางเดินอาหารออกไปตรงที่ปลายระบบซึ่งก็คือที่ลำใส้ใหญ่หรือไปสู่ระบบขับถ่ายครับ และจากการที่อาหารไม่ค่อยจะย่อยนี่แหละครับที่ทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร คือเมื่อไม่มีสารอาหารเข้าสู่เซลล์ แน่นอนครับ ก็ทำให้เราหิวอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
ผมอาจจะผิดก็ได้นะครับ แต่ไม่คิดว่าจะผิดทั้งหมด อันนี้สังเกตุจากตัวเองนะครับ จากนิสัยการรับประทานอาหารและการทานยาด้วย ช่วงหลังๆ นี้ผมไม่ค่อยทานยาช่วยย่อยครับ เพราะไม่อยากทานยาเยอะ คือท้องเสียก็ทนเอา อะไรอย่างนั้น ในเมื่อเป็นอย่างนี้ต่อไปก็คงต้องทานยาอย่างมีระเบียบวินัยตามที่แพทย์สั่งแล้วล่ะครับ แฮ่ะๆ
สวัสดีครับ
วันนี้มีหัวข้อเรื่องแปลกๆ มาพูดคุยกันครับ คืออาการหิวอยู่ตลอดเวลาเหมือนชื่อหัวข้อเรื่องนั่นแหละครับ ผมสังเกตุตัวเองมาหลายวันแล้วถึงอาการหิวแปลกๆที่ว่านี้ คือหิวตลอดเวลาแม้ว่าจะกำลังทานอาหารอยู่ก็ตาม... หรือแม้กระทั่งหลังทานอาหารเสร็จใหม่ๆ ก็ด้วยครับ มันเป็นความรู้สึกที่แปลกมาก ผมหาสาเหตุไม่ได้มาเป็นเวลานานแล้ว คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจสักที จนกระทั่งวันนี้เองที่ผมคิดว่าผมน่าจะพอทราบสาเหตุแล้ว นั่นก็คือเพราะเจ้าเนื้องอกหรือซีสต์ในตับอ่อนนั่นเองครับ เจ้าเนื้องอกที่ว่านี้ทราบมาก่อนแล้วว่ามันเป็นตัวการที่ทำให้การผลิตน้ำย่อยจากตับอ่อนเป็นไปได้ไม่ปรกติ ผลก็คือน้ำย่อยออกมาน้อยกว่าปกติและก็เลยทำให้อาหารไม่ค่อยจะย่อย ซึ่งผลก็คือทำให้ท้องเสีย และอะไรอีกหลายๆ อย่าง ซึ่งผมเคยเขียนไปในตอนก่อนๆ แล้วครับ ก็เลยไม่อยากเอามาเขียนซ้ำอีก และเนื่องจากน้ำย่อยที่ออกมาไม่พอนี่แหละครับที่เป็นสาเหตุหลักของอาการหิวอยู่ตลอดเวลาแม้ขณะที่กำลังทานอาหาร...
ผมเข้าใจอย่างนี้ครับ (รวมๆกับหลักวิชาการที่อ่านมาจากหนังสือด้วย) ว่าเนื่องจากน้ำย่อยออกมาไม่พอและหลังๆนี้ผมก็ไม่ได้ทานยาช่วยย่อย (ซึ่งเป็นเอนไซม์ช่วยย่อยอาหาร ทานหลังอาหารเช้า เย็น) เลย ก็เลยทำให้อาหารไม่ค่อยย่อย อาหารส่วนใหญ่ที่กินเข้าไปก็จะไหลผ่านระบบทางเดินอาหารออกไปตรงที่ปลายระบบซึ่งก็คือที่ลำใส้ใหญ่หรือไปสู่ระบบขับถ่ายครับ และจากการที่อาหารไม่ค่อยจะย่อยนี่แหละครับที่ทำให้ร่างกายขาดสารอาหาร คือเมื่อไม่มีสารอาหารเข้าสู่เซลล์ แน่นอนครับ ก็ทำให้เราหิวอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
ผมอาจจะผิดก็ได้นะครับ แต่ไม่คิดว่าจะผิดทั้งหมด อันนี้สังเกตุจากตัวเองนะครับ จากนิสัยการรับประทานอาหารและการทานยาด้วย ช่วงหลังๆ นี้ผมไม่ค่อยทานยาช่วยย่อยครับ เพราะไม่อยากทานยาเยอะ คือท้องเสียก็ทนเอา อะไรอย่างนั้น ในเมื่อเป็นอย่างนี้ต่อไปก็คงต้องทานยาอย่างมีระเบียบวินัยตามที่แพทย์สั่งแล้วล่ะครับ แฮ่ะๆ
สวัสดีครับ
วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
น้ำตาลต่ำตอนกลางคืน
สวัสดีครับ
เย็นวันจันทร์ที่อากาศไม่ค่อยเย็นเท่าไร วันนี้มีเรื่องมาเล่าจากประสบการณ์น้ำตาลต่ำของตัวเองครับ อย่างที่เคยบอกว่าผมเป็นเบาหวานมาหลายปีแล้ว กินยามาตลอด และก็จากยานี่แหละครับที่ทำให้เรามีภาวะน้ำตาลต่ำได้บ่อยๆ ถ้าหากรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา หรือใช้พลังงานมากเกินไป เช่นจากการออกกำลังกาย หรือทำงานหนักเกินไปครับ สำหรับผมแล้วไม่ค่อยมีโอกาสได้ทำงานหนักเกินไป ส่วนใหญ่ภาวะน้ำตาลต่ำจะเกิดจากการออกกำลังกายมากกว่าครับ ซึ่งที่ผ่านมาก็เกิดขึ้นบ่อยๆครับ หลายครั้งเกิดตอนกลางวัน โดยเฉพาะตอนที่ทานอาหารไม่ตรงเวลา ก่อนจะได้ทานอาหารนี่แหละครับ ที่บางครั้งก็แทบจะเป็นลมไปเลยทีเดียว เหงื่อแตกพรั่กเลยนะครับ แต่หลายครั้งเหมือนกันที่เกิดตอนกลางคืนครับ กลางดึกเลยครับ ตีสองตีสามก็มี สาเหตุหลักของผมก็เนื่องมาจากว่าชอบออกกำลังกายตอนกลางคืนครับ เช่นหลังอาหารเย็นไปแล้วชั่วโมงสองชั่วโมง เป็นต้น ที่ต้องไปออกกำลังกายเวลานั้นก็เพราะว่าตอนกลางวันหาเวลาไม่ได้ครับ ที่จริงก็ไม่เห็นว่าน่าจะมีปัญหาตรงไหนใช่ไหมครับ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วครับ ส่วนใหญ่จะเป็นตอนที่ผมทานอาหารเย็นเร็วไปหน่อย เช่นหกโมงกว่าหรือหนึ่งทุ่มอะไรประมาณนั้น แล้วก็ไปออกกำลังกาย ออกอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานๆครับ เช่นสามสิบนาทีหรือบางครั้งก็เป็นชั่วโมง ไม่ได้ทำอะไรมากหรอกครับ ก็แค่เดินเร็วบวกกับวิ่งเหยาะๆ บ้าง พอให้เหงื่อมันออก และมีความต่อเนื่อง แต่ก็นั่นแหละครับ บางวันเล่นเอาแทบแย่เหมือนกัน บางคืนนะครับ ตื่นขึ้นมากลางดึก รู้ตัวเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเรา มันหมดแรงครับ หมดแบบหมดจริงๆ และรู้สึกใจหวิวๆ ด้วย ตาก็มองไม่ค่อยชัด เหมือนมันมีอะไรมาบังตาไว้ตรงกลางๆ ภาพ ทันทีเลยครับ รีบไปหาอะไรหวานๆ กินทันทีเลย มันรู้ตัวเองครับ ขนมหวานทุกอย่างที่คว้าได้เอาหมดครับ เมื่อคืนนี้ทั้งขนมลูกเต๋า ป๊อกกี้เคลือบช็อกโกแลต และไอศกรีม จัดการเรียบครับ ระหว่างที่นั่งทานอยู่นั้นก็ใจหวิวๆ ครับ เหมือนร่างกายจะทรุดลงไปกองกับพื้นยังไงยังงั้นเลย ... เป็นความรู้สึกที่แย่มากๆ ครับ เรียกว่าเหมือนใกล้ตายก็ว่าได้ครับ เหงื่อก็ไหลออกมาอย่างกับเพิ่งไปวิ่งมาสักสิบกิโลประมาณนั้น พอกินเสร็จ เริ่มมีแรงพอจะพยุงตัวเองไปนอนต่อได้ก็รีบไปนอนต่อเอาแรงทันที...
ผมไม่อยากนึกว่าถ้าเราไม่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมามันจะเป็นอย่างไร... ไม่อยากจะนึกครับ นี่ขนาดรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาทันนะครับเนี่ย ลองเข้าไปค้นข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องภาวะน้ำตาลต่ำแล้วก็รู้สึกกลัวขึ้นมาอีกเยอะเลยครับ คือภาวะน้ำตาลต่ำมากๆ อาจจะทำให้ไม่รู้สึกตัวได้ และก็มีผลโดยตรงต่อสมองที่ในระยะยาว ถ้าเป็นบ่อยๆ อาจจะทำให้สมองพิการได้ หรือถ้าโชคร้ายหน่อยก็วิกลจริตได้เลยเชียวครับ
ดังนั้นสำหรับทุกท่านที่ยังมีสุขภาพที่แข็งแรง ก็ขอให้รักษามันไว้นะครับ อย่าปล่อยให้ท่านเองต้องเป็นเบาหวานหรือโรคอื่นๆเลยครับ แต่ก่อนผมทราบแต่เพียงว่าเบาหวานอาจทำให้ต้องถูกตัดมือตัดเท้า แต่ตอนนี้รู้เยอะขึ้นว่ามันมีอะไรที่แย่ๆมากกว่านั้นอีกมหาศาลเลยครับ
แล้วคุยกันใหม่ครับ ไม่ว่าจะอย่างไรเราก็คงต้องสู้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่อาจจะมาเป็นอุปสรรคในชีวิตครับ เดี๋ยวอีกสักครู่ผมก็จะไปวิ่งออกกำลังกายอีกเช่นเคย ขอให้ทุกคนมีสุขภาพที่แข็งแรงๆ นะครับ สวัสดีครับ
วันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
เที่ยวหน้าหนาว
สวัสดีครับ
ช่วงนี้อากาศร้อนๆ เย็นๆ ถึงแม้ว่าจะเริ่มเข้าหน้าหนาวแล้ว ที่ผ่านมามีอยู่วันสองวันที่อากาศเย็นสัมผัสได้ที่ชานเมืองกรุงเทพ ก็ที่รังสิตนี่แหละครับ หลังจากนั้นก็ร้อนๆ มาตลอด ทำให้ไม่มีความรู้สึกของบรรยากาศปลายฝนต้นหนาวเลย แต่ที่ต่างจังหวัดมีแน่ครับ ช่วงสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมาผมมีโอกาสไปทั้งเพชรบูรณ์ และเวียงป่าเป้า เชียงราย อากาศหนาวตอนเช้าๆ ใช้ได้เลยนะครับ เรียกได้ว่าสัมผัสได้ถึงความหนาวเลยทีเดียว โดยเฉพาะทีแม่ขะจาน เวียงป่าเป้าด้วยแล้ว ได้ไปนั่งจิบกาแฟที่ร้านบนเนินริมถนน มองลงไปในที่ลุ่มเป็นทุ่งนาที่มีต้นข้าวอ่อนๆ สีเขียวอมเหลืองอยู่เต็มผืนนา และยังมีแม่น้ำลาวสายเล็กๆ ไหลผ่านยาวไปตลอดจนสุดสายตา จากแม่น้ำขึ้นไปก็เป็นภูเขาสูงเป็นแนวยาว มียอดสูงไปจนบางช่วงเรียกว่าอยู่ติดกับก้อนเมฆจนน่าจะเรียกได้ว่าเป็นสวรรค์เลยเชียวครับ บรรยากาศอย่างนั้นหาไม่ได้ในเมือง ต้องออกไปข้างนอกครับ ยังมีที่แบบนั้นอีกมากในประเทศไทยของเราที่ต้องไปเยือนกันนะครับ ภาพวันนี้ที่เอามาลงเป็นที่เขาค้อครับ ช่วงที่ไปไม่ใช่หน้าหนาว แต่เพราะว่าเป็นที่สูงและเป็นตอนเย็นๆ ด้วย ก็เลยได้บรรยากาศของหน้าหนาวมาเต็มๆ เย็นสบายมากครับ ไปยืนชมแสงอาทิตย์ยามเย็น ตอนที่พระอาทิตย์กำลังค่อยๆ ตกลับก้อนเมฆลงไป แค่นี้ก็มีความสุขแบบง่ายๆ ได้แล้ว
ใกล้ปีใหม่แล้ว กำลังคิดจะไปหาที่สัมผัสกับบรรยากาศเย็นๆ หนาวๆ อีกสักครั้ง มีให้เลือกเยอะครับ แต่คงต้องวางแผนกันดีๆ เพราะบางที่อาจจะมีคนไปเที่ยวพร้อมๆ กันเยอะมากจนกลายเป็นความวุ่นวายได้ครับ แล้วพบกันใหม่ครับ สวัสดีครับ
ช่วงนี้อากาศร้อนๆ เย็นๆ ถึงแม้ว่าจะเริ่มเข้าหน้าหนาวแล้ว ที่ผ่านมามีอยู่วันสองวันที่อากาศเย็นสัมผัสได้ที่ชานเมืองกรุงเทพ ก็ที่รังสิตนี่แหละครับ หลังจากนั้นก็ร้อนๆ มาตลอด ทำให้ไม่มีความรู้สึกของบรรยากาศปลายฝนต้นหนาวเลย แต่ที่ต่างจังหวัดมีแน่ครับ ช่วงสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมาผมมีโอกาสไปทั้งเพชรบูรณ์ และเวียงป่าเป้า เชียงราย อากาศหนาวตอนเช้าๆ ใช้ได้เลยนะครับ เรียกได้ว่าสัมผัสได้ถึงความหนาวเลยทีเดียว โดยเฉพาะทีแม่ขะจาน เวียงป่าเป้าด้วยแล้ว ได้ไปนั่งจิบกาแฟที่ร้านบนเนินริมถนน มองลงไปในที่ลุ่มเป็นทุ่งนาที่มีต้นข้าวอ่อนๆ สีเขียวอมเหลืองอยู่เต็มผืนนา และยังมีแม่น้ำลาวสายเล็กๆ ไหลผ่านยาวไปตลอดจนสุดสายตา จากแม่น้ำขึ้นไปก็เป็นภูเขาสูงเป็นแนวยาว มียอดสูงไปจนบางช่วงเรียกว่าอยู่ติดกับก้อนเมฆจนน่าจะเรียกได้ว่าเป็นสวรรค์เลยเชียวครับ บรรยากาศอย่างนั้นหาไม่ได้ในเมือง ต้องออกไปข้างนอกครับ ยังมีที่แบบนั้นอีกมากในประเทศไทยของเราที่ต้องไปเยือนกันนะครับ ภาพวันนี้ที่เอามาลงเป็นที่เขาค้อครับ ช่วงที่ไปไม่ใช่หน้าหนาว แต่เพราะว่าเป็นที่สูงและเป็นตอนเย็นๆ ด้วย ก็เลยได้บรรยากาศของหน้าหนาวมาเต็มๆ เย็นสบายมากครับ ไปยืนชมแสงอาทิตย์ยามเย็น ตอนที่พระอาทิตย์กำลังค่อยๆ ตกลับก้อนเมฆลงไป แค่นี้ก็มีความสุขแบบง่ายๆ ได้แล้ว
ใกล้ปีใหม่แล้ว กำลังคิดจะไปหาที่สัมผัสกับบรรยากาศเย็นๆ หนาวๆ อีกสักครั้ง มีให้เลือกเยอะครับ แต่คงต้องวางแผนกันดีๆ เพราะบางที่อาจจะมีคนไปเที่ยวพร้อมๆ กันเยอะมากจนกลายเป็นความวุ่นวายได้ครับ แล้วพบกันใหม่ครับ สวัสดีครับ
เนื้อคู่
สวัสดีอีกครั้งครับ
หายไปนานเลยถ้านับจากบทความตอนที่แล้ว ผมหายไปนานเพราะช่วงที่ผ่านมามีการปรับตัวนิดหน่อยครับ ปรับตัวเพื่อรับมือกับน้ำตาลในเลือดที่ยังคงสูงอยู่ครับ อันที่จริงก็ไม่ได้สูงเกินไปมากมายอะไรจากที่ผ่านๆมา แต่ที่เป็นปัญหาเพราะว่ามันสูงอยู่อย่างนั้นมาเป็นเวลานานพอสมควรแล้วครับ ซึ่งล่าสุดที่ไปพบแพทย์และเจาะเลือดตรวจน้ำตาลปัจจุบันกับน้ำตาลสะสมก็พบว่าน้ำตาลปัจจุบันของวันนั้นอยู่ที่ 130 แต่น้ำตาลสะสมนี่สิครับ วัดได้ 8.4 ซึ่งอยู่ในระดับนี้มาระยะหนึ่งแล้ว หมอบอกว่าคุณอายุยังน้อย (41) ระดับน้ำตาลสูงอย่างนี้ไม่ดี ใช่แล้วครับ ผมทราบดีว่าระดับน้ำตาลที่สูงเป็นเวลานานๆ อย่างนี้จะทำให้มีโอกาสเป็นโรคอย่างอื่นตามมาได้อีกมากมาย ที่น่ากลัวมากๆ ก็คือโรคไตวายครับ ยิ่งตอนนี้ผมมีไตเหลืออยู่แค่ข้างเดียวด้วย ก็เลยต้องมีการปรับตัวกันหน่อย เลิกนิสัยขี้เกียจได้แล้ว ว่าแล้วผมก็ทำตัวใหม่ เดินออกกำลังกายและวิ่งเหยาะๆ ทุกคืนครับ ใช่แล้วทุกคืน ที่ออกกลางคืนก็เพราะว่าเลิกงานกลับบ้านค่ำครับ ก็เลยต้องหาเวลาออกกำลังกายหลังอาหารเย็น ก็ได้ผลบ้างแล้วนะครับ เพราะระดับน้ำตาลในเลือดตอนเช้าเดี๋ยวนี้วัดได้ที่ระดับร้อยต้นๆครับ ต่ำกว่า 120 ตลอด แถมบางวันก็ไม่ถึงร้อยด้วยซ้ำ
เอาละครับ มาเข้าเรื่องเนื้อคู่กันดีกว่าครับ พอดีไปเจอโพสต์บนเฟสบุ้คของฝรั่งคนหนึ่งที่เป็นโรค VHL บอกว่าแฟนของเธอรับไม่ได้ที่เธอเป็นโรคนี้และจะไม่ยอมทนอยู่กับเธอต่อไป... จากโพสต์ตรงนั้น ทุกคนที่เข้ามาแสดงความเห็นก็เห็นตรงกันว่า อย่าไปแคร์คนอย่างนั้นเลย เขาจะไม่ใช่คนที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเธอหรอก บางคนก็บอกว่าถ้าเขาจะอยู่กับเธอ เขาก็ต้องยอมรับในส่วนที่ไม่ค่อยจะดีของเธอด้วย คือต้องร่วมทุกข์ด้วย ไม่ใช่ร่วมแต่สุขอย่างเดียว บ้างก็บอกว่าเดี๋ยวเธอก็เจอคนที่ใช่ในอนาคตแน่นอน ไม่ต้องกลัว... หลากหลายความเห็นครับ
ตรงนี้ที่อยากเอามาบอกเล่ากันก็เพราะผมรู้สึกว่าคนไทยเราหลายคนอาจจะไม่คิดอย่างนั้น ก็อาจจะมีบ้างนะครับที่อาจจะคิดอย่างนั้น แต่ส่วนใหญ่แล้วผมเห็นว่าเรามักจะเห็นอกเห็นใจกันมากกว่า และโรคนี้ก็ไม่ได้มีอะไรที่แสดงอาการที่น่ากลัวมากนัก ส่วนใหญ่เราจะกลัวคำว่า มะเร็ง มากกว่าใช่ไหมครับ หลายๆคู่ก็ไม่ทราบหรอกครับว่าคู่ครองของตนเป็นโรคนี้ พอทราบทีหลังก็ร่วมกันสู้ต่อไป ฝรั่งหลายๆ คู่ก็เป็นอย่างนี้ครับ เค้าก็ร่วมทุกข์และร่วมสุขกันต่อไป เรื่องอย่างนี้มันก็คงแล้วแต่ความคิดของแต่ละคนครับ แต่ผมว่าชีวิตมันก็เป็นอย่างนี้แหละ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรถ้าเรายอมรับมันและเรียนรู้มันด้วยจิตใจที่เข้มแข็งและมีสติ เราก็คงจะมีความสุขได้ตลอดเวลาครับ
สวัสดีครับ
หายไปนานเลยถ้านับจากบทความตอนที่แล้ว ผมหายไปนานเพราะช่วงที่ผ่านมามีการปรับตัวนิดหน่อยครับ ปรับตัวเพื่อรับมือกับน้ำตาลในเลือดที่ยังคงสูงอยู่ครับ อันที่จริงก็ไม่ได้สูงเกินไปมากมายอะไรจากที่ผ่านๆมา แต่ที่เป็นปัญหาเพราะว่ามันสูงอยู่อย่างนั้นมาเป็นเวลานานพอสมควรแล้วครับ ซึ่งล่าสุดที่ไปพบแพทย์และเจาะเลือดตรวจน้ำตาลปัจจุบันกับน้ำตาลสะสมก็พบว่าน้ำตาลปัจจุบันของวันนั้นอยู่ที่ 130 แต่น้ำตาลสะสมนี่สิครับ วัดได้ 8.4 ซึ่งอยู่ในระดับนี้มาระยะหนึ่งแล้ว หมอบอกว่าคุณอายุยังน้อย (41) ระดับน้ำตาลสูงอย่างนี้ไม่ดี ใช่แล้วครับ ผมทราบดีว่าระดับน้ำตาลที่สูงเป็นเวลานานๆ อย่างนี้จะทำให้มีโอกาสเป็นโรคอย่างอื่นตามมาได้อีกมากมาย ที่น่ากลัวมากๆ ก็คือโรคไตวายครับ ยิ่งตอนนี้ผมมีไตเหลืออยู่แค่ข้างเดียวด้วย ก็เลยต้องมีการปรับตัวกันหน่อย เลิกนิสัยขี้เกียจได้แล้ว ว่าแล้วผมก็ทำตัวใหม่ เดินออกกำลังกายและวิ่งเหยาะๆ ทุกคืนครับ ใช่แล้วทุกคืน ที่ออกกลางคืนก็เพราะว่าเลิกงานกลับบ้านค่ำครับ ก็เลยต้องหาเวลาออกกำลังกายหลังอาหารเย็น ก็ได้ผลบ้างแล้วนะครับ เพราะระดับน้ำตาลในเลือดตอนเช้าเดี๋ยวนี้วัดได้ที่ระดับร้อยต้นๆครับ ต่ำกว่า 120 ตลอด แถมบางวันก็ไม่ถึงร้อยด้วยซ้ำ
เอาละครับ มาเข้าเรื่องเนื้อคู่กันดีกว่าครับ พอดีไปเจอโพสต์บนเฟสบุ้คของฝรั่งคนหนึ่งที่เป็นโรค VHL บอกว่าแฟนของเธอรับไม่ได้ที่เธอเป็นโรคนี้และจะไม่ยอมทนอยู่กับเธอต่อไป... จากโพสต์ตรงนั้น ทุกคนที่เข้ามาแสดงความเห็นก็เห็นตรงกันว่า อย่าไปแคร์คนอย่างนั้นเลย เขาจะไม่ใช่คนที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเธอหรอก บางคนก็บอกว่าถ้าเขาจะอยู่กับเธอ เขาก็ต้องยอมรับในส่วนที่ไม่ค่อยจะดีของเธอด้วย คือต้องร่วมทุกข์ด้วย ไม่ใช่ร่วมแต่สุขอย่างเดียว บ้างก็บอกว่าเดี๋ยวเธอก็เจอคนที่ใช่ในอนาคตแน่นอน ไม่ต้องกลัว... หลากหลายความเห็นครับ
ตรงนี้ที่อยากเอามาบอกเล่ากันก็เพราะผมรู้สึกว่าคนไทยเราหลายคนอาจจะไม่คิดอย่างนั้น ก็อาจจะมีบ้างนะครับที่อาจจะคิดอย่างนั้น แต่ส่วนใหญ่แล้วผมเห็นว่าเรามักจะเห็นอกเห็นใจกันมากกว่า และโรคนี้ก็ไม่ได้มีอะไรที่แสดงอาการที่น่ากลัวมากนัก ส่วนใหญ่เราจะกลัวคำว่า มะเร็ง มากกว่าใช่ไหมครับ หลายๆคู่ก็ไม่ทราบหรอกครับว่าคู่ครองของตนเป็นโรคนี้ พอทราบทีหลังก็ร่วมกันสู้ต่อไป ฝรั่งหลายๆ คู่ก็เป็นอย่างนี้ครับ เค้าก็ร่วมทุกข์และร่วมสุขกันต่อไป เรื่องอย่างนี้มันก็คงแล้วแต่ความคิดของแต่ละคนครับ แต่ผมว่าชีวิตมันก็เป็นอย่างนี้แหละ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรถ้าเรายอมรับมันและเรียนรู้มันด้วยจิตใจที่เข้มแข็งและมีสติ เราก็คงจะมีความสุขได้ตลอดเวลาครับ
สวัสดีครับ
วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2555
ผ่าสมองต้องเอากระโหลกออกหรือไม่ครับ
สวัสดีครับ
ผมกลับจากอินโดนีเซียมาเมื่อวานนี้ ถึงบ้านตอนเย็นๆ ครับ ช่วงนี้บ้านเรามีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง หลายๆพื้นที่มีน้ำท่วมกันแล้ว ก็น่าเห็นใจสำหรับทุกๆครอบครัวที่ต้องเดือดร้อนกัน และก็ขอให้ทุกท่านผ่านความลำบากตรงนั้นไปได้ด้วยดีนะครับ
สำหรับวันนี้ผมมีเรื่องจะมาเล่ากันนิดหน่อย พอดีไปตัดผมมาครับ แล้วทุกครั้งที่ไปตัดผมก็จะต้องนึกถึงตรงรอยแผลผ่าตัดที่ท้ายทอย ซึ่งมันเป็นรอยแผลผ่าตัดที่ยาวมากๆ คือนึกว่าจะเอาทรงไหนดี ถ้าจะเปิดตีนผมขึ้นมากก็เกรงว่ารอยผ่าตัดมันจะเห็นเด่นชัดจนเกินไป ความจุกจิกอย่างแรกที่จะเกิดขึ้นก็คือขี้เกียจตอบคำถามครับว่าไปทำอะไรมา ทำไมจึงมีรอยแผลเป็นอย่างนั้น? อย่างที่สองก็กลัวว่ามันจะดูประหลาดๆ แล้วคนอื่นจะไม่อยากเข้าใกล้... ฮ่าๆ อันนี้ที่จริงก็ตลกๆ แต่ก็ไม่รู้สิครับ มันก็คิดไปเรื่อยแหละครับ สำหรับความขี้เกียจตอบคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นนี้เป็นเหตุผลหลักครับ เพราะว่ากว่าจะตอบให้เข้าใจได้ก็ต้องพูดกันยืดยาวอยู่พอสมควรเชียวนะครับ ไม่งั้นก็คงจะไม่ค่อยเข้าใจกัน นี่แหละครับ หลายๆ ครั้งที่ผ่านมาก็เลยตัดผมแบบที่ยังให้มันคลุมท้ายทอยอยู่ ซึ่งที่จริงผมก็ไม่ค่อยชอบทรงอย่างนั้นเท่าไหร่ มันรำคาญตอนที่มันเริ่มยาวแล้วมันไปเสียดสีท้ายทอยนี่แหละครับ วันนี้ก็เลยเอาแบบสั้นขึ้นมาหน่อย ก็เลยเป็นแบบที่เห็นนั่นแหละครับ
คราวนี้ก็มาเข้าเรื่องที่ต่อเนื่องกัน นั่นก็คือคำถามที่ว่าตอนผ่าสมองเค้าเอากระดูกกระโหลกศีรษะออกไปหรือไม่ อันนี้ที่จริงผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ก็เดาๆ เอาครับ ยังไงถ้าผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลก็เอามาเล่าสู่กันฟังได้นะครับ ยินดีมากเลยครับ ผมพยายามไปหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มานานแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ข้อมูลที่ชัดเจนครับ ลองจับดูที่ท้ายทอยตัวเองก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีว่ากระโหลกตรงนั้นยังอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า เพราะตรงท้ายทอยเรามันมีกล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆบังอยู่ครับ แต่จากวันนี้ที่ผมเอารูปมาให้ดู (อันที่จริงก็ไม่ค่อยจะตรงกับการผ่าตัดที่ท้ายทอยหรอกครับ แต่คิดว่าการผ่าตัดสมองก็ไม่น่าจะแตกต่างกันมาก อันนี้คิดเอาเองนะครับ เอาไว้ว่าถ้าผมมีข้อมูลเพิ่มเติมแล้วจะเอามาแชร์กันอีกครับ) จากรูปเราจะเห็นว่าการผ่าตัดสมองต้องมีการเจาะช่องกระโหลก แล้วเอาแผ่นกระโหลกนั้นออกไปก่อน หลังจากทำการผ่าตัดเสร็จแล้วจึงเอาแผ่นกระโหลกนั้นติดเข้าไปตามเดิมครับ แล้วก็เย็บหนังศีรษะปิดอีกที ดูแล้วการผ่าที่ท้ายทอยก็คงไม่ต่างกันมากหรอกนะครับ เพราะตรงนั้นก็มีกระโหลกคลุมสมองอยู่แล้วครับ การผ่าตัดก็คงต้องเอากระดูกออกก่อนเหมือนกัน แต่ส่วนการเอาชิ้นเดิมปิดคืนหรือเปล่าอันนี้ไม่ทราบเหมือนกันครับ
เอาละครับ สำหรับวันนี้ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ก็ขอให้ทุกคนมีความสุขนะครับ จะพักผ่อนหรือทำงานก็ขอให้ทุกท่านทำอย่างสบายใจ ไม่เครียดนะครับ สวัสดีครับ
วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555
ชีวิตต้องเดินทางถึงจะสนุก
สวัสดีครับ
วันนี้ผมเขียนจากแดนไกลครับมาทำงานที่จาการ์ต้าอินโดนีเซียครับ.ที่นี่ห่างจากบ้านเราประมาณสองพันสองร้อยกว่ากิโลครับ.ใช้เวลานั่งเครื่องบินประมาณสามชั่วโมงนิดๆ.ก็สบายๆครับ.ไม่นานเกินไป.พอดีบนเครื่องบินมีหนังให้ดูด้วยก็เลยไม่เบื่อมากนัก.วันที่มาฉายเรื่อง เม็นอินแบล็ก ๓ ครับ สนุกดีครับ ดูเอามันอย่างเดียว หนังจบได้ไม่นานก็มาถึงอินโดแล้ว
เอาเรื่องของโรคมาเล่ากันหน่อยก็ดีนะครับ เชิญอ่านครับ
วันนี้มีเรื่องของผู้ป่่วยท่านหนึ่งมาเล่าครับ เป็นชาวต่างชาติ เข้าใจว่าเป็นชาวแคนาดาครับ ภรรยาเอาเรื่องมาลง บอกว่าสามีเธอซึ่งเป็นโรคนี้เสียชีวิตไปไม่นานมานี้เอง เธอบอกว่าสามีเป็นมะเร็งที่ไตและมีเนื้องอกในไขสันหลังด้วย เนื้องอกในไขสันหลังก่อให้เกิดความทรมานมาก เพราะมันทำให้เกิดความดันหรือสร้างแรงดันสูงออกมา ซึ่งนอกจากจะทำให้เดินได้ไม่ปกติแล้วยังทำให้เกิดความเจ็บปวดทรมานมากๆด้วย จนในที่สุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี่เองที่สามีเธอทนอาการเจ็บปวดไม่ได้และเสียชีวิตไปในที่สุด...
น่าสงสารมากเลยนะครับ ผมนึกถึงแม่ที่เสียชีวิตเพราะทนความเจ็บปวดเนื่องจากเนื้องอกในสมองไม่ไหวแล้วก็จินตนาการไม่ออกเหมือนกันว่ามันจะแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ ต้องหนักหนาสาหัสมากแน่นอน
ก็เอามาเขียนให้อ่านเพื่อเป็นข้อมูลกันครับ เพื่อที่ผู้ป่่วยจะได้เตรียมตัวไว้ถ้าต้องเจอกับเหตุการณ์อย่างนี้กับตัวเองในอนาคต จะได้เข้าใจและเตรียมตัวรับมือได้ถูกครับ
แล้วคุยกันใหม่ครับ สวัสดีครับ
วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555
เรารักกันเพราะว่า...
ภาพจาก nationalgeographic.com
สวัสดีครับ
วันนี้คงเอาเรื่องเบาๆมาเขียนกันนะครับ เป็นเรื่องของความรักหรืออะไรที่ใกล้ๆกับความรักนี่แหละครับ บางคนบอกว่าความรักเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายที่สุดในโลก แต่บางครั้งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากที่สุดในโลกได้เหมือนกัน โดยเฉพาะตอนที่เรารู้สึกว่าเอ๊ะ ทำไมความรักของเรามันไม่เห็นเป็นอย่างที่เราอยากให้เป็นเลย ทำไมมันดูขัดข้องไปหมด ไม่เห็นจะหวานแหววเหมือนคู่อื่นๆเลย อะไรอย่างนี้เป็นต้นครับ
สำหรับวันนี้ผมอยากจะเอาเรื่องที่มีผู้ป่วยท่านหนึ่ง เป็นหญิ่งสาวชาวต่างชาตินะครับ ได้มาเขียนแชร์ไว้ว่า พอแฟนหนุ่มของเธอทราบว่าเธอเป็นโรค VHL พวกเขาก็จากไป... ที่เขียนว่าพวกเขาก็เพราะว่ามันเกิดขึ้นหลายครั้งกับหลายคนแล้วครับ หนุ่มๆเหล่านั้นให้เหตุผลประมาณคล้ายๆกันว่าเพราะไม่อยากต้องมาเจ็บปวดในอนาคตถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอหรือกับครอบครัว... อะไรหรือครับที่จะเกิดขึ้นได้บ้าง ก็อย่างเช่นตัวเธอเองต้องเจ็บป่วยหนักจากการผ่าตัด อาจต้องรักษาไปตลอดชีวิต หรืออาจจะพิกลพิการ อะไรอย่างนี้เป็นต้น หรือที่อาจจะมีตามมาอีกก็อย่างเช่นการที่ลูกหลานจะต้องมารับถ่ายทอดโรคนี้อีก ซึ่งไม่รู้ว่าจะไปจบลงที่ตรงไหนน่ะซีครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่ที่มองข้ามไม่ได้เลยนะครับ สามีภรรยาบางคู่อาจจะตัดสินใจไม่ยอมมีบุตรเลยทีเดียวครับ เพราะไม่อยากจะถ่ายทอดโรคนี้ให้กับลูกที่จะเกิดมาในอนาคตอีก
การมีลูกที่เป็นโรคนี้และต้องเข้ารับการผ่าตัดเป็นสถานการที่หนักหนาสำหรับพ่อแม่มากเลยนะครับ เป็นความรู้สึกที่แย่มากๆที่สามารถเกิดขึ้นกับพ่อแม่ได้ตลอดเวลาที่นึกถึงว่าลูกของตัวเองเป็นโรคนี้กันเลยทีเดียวครับ อย่างแรกเลยก็คือเราจะรู้สึกว่าเราเป็นต้นเหตุโดยตรงที่ทำให้ลูกต้องมาเป็นโรคนี้ด้วย... อันนี้นี่แน่ๆเลยนะครับเนี่ย ความรู้สึกนี้ แล้วอีกอย่างก็คือเราก็จะต้องมาทรมานอีกครั้งตอนที่ลูกต้องเข้าโรงพยาบาล เห็นลูกต้องทรมานตอนที่ต้องผ่าตัดหรือไปเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องไปตลอดชีวิตอะไรอย่างนั้นนั่นเองครับ
แต่สำหรับพ่อแม่หลายๆคู่ ซึ่งก็คือส่วนใหญ่หรือแทบจะทั้งหมดของคนที่เป็นโรคนี้มักจะไม่ค่อยเข้าใจถึงกลไกการถ่ายทอดทางพันธุกรรมครับ ก็เลยมีลูกมีหลานกันไปแล้ว กว่าจะเรียนรู้และเข้าใจก็คงทำอะไรไม่ได้แล้ว ก็คงได้แต่ทำการรักษากันไปครับ
เห็นมั้ยครับว่าบางครั้งความรักก็มีอะไรมากกว่าแค่ความ...อะไรอะไร... ที่ฉาบฉวยนะครับ ความรักที่แท้คงจะมีความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจเกิดร่วมด้วย ถ้าเรามีความรักที่แท้จริงให้แก่กัน เราคงจะรู้สึกอบอุ่น...มั้งครับ?
สวัสดีครับ
วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555
เครื่อง CT Scanner ถอดเสื้อ
สวัสดีครับ
วันนี้เอารูปที่มีเพื่อนฝรั่งเอามาแชร์ไว้ในเฟสบุ้คครับ เป็นรูปภายในของเครื่อง CT scanner หรือเครื่องเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ (Computed Tomography) ที่ใช้ในการตรวจหลายๆ อย่างในผู้ป่วยรวมทั้งใช้ตรวจหาเนื้องอกในสมองด้วยครับ ที่ผ่านมาเวลาผมไปพบแพทย์เพราะอาการที่น่าสงสัยว่าจะเป็นเนื้องอกในสมอง สิ่งแรกที่แพทย์จะสั่งให้ไปตรวจเพิ่มเติมก็มักจะเป็นการทำเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ด้วย CT scanner นี้เองครับ หลังจากนั้น ถ้าผลบ่งบอกว่าจะเป็นเนื้องอกในสมอง แต่ไม่ค่อยชัดเจนนักก็จะต้องไปทำ MRI อีกที แต่ถ้าชัดเจนผมก็เห็นคุณหมอก็สั่งผ่าตัดได้เลยครับ อย่างเช่นการผ่าสมองครั้งแรกของผมเป็นต้น ตอนนั้นทำแค่ CT scan ครับ
ขอเอาหลักการทำงานของเจ้าเครื่องนี้มาแบ่งปันให้อ่านกันด้วยนะครับ เป็นบทความที่เขียนโดย ดร. สุวิมล เจตะวัฒนะ กลุ่มวิจัยและพัฒนานิวเคลียร์ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ของสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ หรือ สทน ครับ (http://www.tint.or.th) เชิญอ่านหลักการทำงานบางตอนครับ...
"Tomography หรืออีกชื่อหนึ่งที่ไม่ค่อยได้ยินกันบ่อยนักคือ r?ntgenography คือการสร้างภาพโดยการตัดเป็นส่วน ๆ มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก คือ tomos (slice) และ graphein (to write) วัสดุที่ใช้ในการสร้างภาพ เรียกว่า tomograph ต้นกำเนิดของรังสีที่ใช้ในการทำ CT scan คือรังสีเอกซ์ โดยเครื่อง CT สแกนจะประกอบไปด้วยวงแหวนขนาดใหญ่ และมีเตียงวางผู้ป่วยอยู่ตรงกลาง หลอดกำเนิดรังสีเอกซ์หลายชุดจะวางเรียงกันบนวงแหวน และมีหัววัดรังสีเอกซ์วาง อยู่ด้านตรงข้ามอีกด้านหนึ่งของผู้ป่วย ลำแสงรังสีเอกซ์รูปพัดจะถูกปล่อยออกมาขณะที่หลอดเอกซเรย์ และหัววัดถูกหมุน ไปรอบ ๆ ตัวผู้ป่วยที่นอนนิ่งอยู่ตรงกลาง เป็นการเก็บภาพเอกซเรย์จากมุมที่แตกต่างกันรอบร่างกายของผู้ป่วย เมื่อการหมุนแต่ละรอบเสร็จสิ้น ภาพตัดขวางหนึ่งภาพก็จะถูกสร้างขึ้น ซึ่งในการสแกนด้วยเครื่องซีทีจะไม่มีการบันทึก ภาพที่ได้แต่ละภาพลงบนแผ่นฟิล์ม แต่จะนำภาพเหล่านี้มาสร้างเป็นภาพตัดขวาง 2 มิติโดยใช้คอมพิวเตอร์ ภาพที่ได้ จะถูกเรียกว่า tomogram และเมื่อเอาภาพตัดขวางเหล่านี้หลาย ๆ ชิ้นมาวางซ้อนกันก็จะสามารถสร้างภาพ 3 มิติ ของโครงสร้างร่างกายและอวัยวะภายในได้ ดังนั้น CT scan จึงหมายถึง การบันทึกภาพตัดขวางของร่างกายในระดับที่ ต่างกันนั่นเอง หากยังจินตนาการไม่ออก ก็ให้ลองนึกถึงขนมปังลูกเกดที่ถูกหั่นเป็นแถว ๆ เมื่อเราดึงขนมปังออกมาเพียง หนึ่งแผ่น ก็จะเห็นว่ามีลูกเกดติดอยู่บริเวณใดบ้างบนแผ่นขนมปังนั้น"
สำหรับวันนี้ก็ขอให้มีความสุขสนุกสนานกับการใช้ชีวิตวันนี้อีกวันนะครับ แล้วพบกันใหม่ สวัสดีครับ
วันนี้เอารูปที่มีเพื่อนฝรั่งเอามาแชร์ไว้ในเฟสบุ้คครับ เป็นรูปภายในของเครื่อง CT scanner หรือเครื่องเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ (Computed Tomography) ที่ใช้ในการตรวจหลายๆ อย่างในผู้ป่วยรวมทั้งใช้ตรวจหาเนื้องอกในสมองด้วยครับ ที่ผ่านมาเวลาผมไปพบแพทย์เพราะอาการที่น่าสงสัยว่าจะเป็นเนื้องอกในสมอง สิ่งแรกที่แพทย์จะสั่งให้ไปตรวจเพิ่มเติมก็มักจะเป็นการทำเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ด้วย CT scanner นี้เองครับ หลังจากนั้น ถ้าผลบ่งบอกว่าจะเป็นเนื้องอกในสมอง แต่ไม่ค่อยชัดเจนนักก็จะต้องไปทำ MRI อีกที แต่ถ้าชัดเจนผมก็เห็นคุณหมอก็สั่งผ่าตัดได้เลยครับ อย่างเช่นการผ่าสมองครั้งแรกของผมเป็นต้น ตอนนั้นทำแค่ CT scan ครับ
ขอเอาหลักการทำงานของเจ้าเครื่องนี้มาแบ่งปันให้อ่านกันด้วยนะครับ เป็นบทความที่เขียนโดย ดร. สุวิมล เจตะวัฒนะ กลุ่มวิจัยและพัฒนานิวเคลียร์ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ของสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ หรือ สทน ครับ (http://www.tint.or.th) เชิญอ่านหลักการทำงานบางตอนครับ...
"Tomography หรืออีกชื่อหนึ่งที่ไม่ค่อยได้ยินกันบ่อยนักคือ r?ntgenography คือการสร้างภาพโดยการตัดเป็นส่วน ๆ มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก คือ tomos (slice) และ graphein (to write) วัสดุที่ใช้ในการสร้างภาพ เรียกว่า tomograph ต้นกำเนิดของรังสีที่ใช้ในการทำ CT scan คือรังสีเอกซ์ โดยเครื่อง CT สแกนจะประกอบไปด้วยวงแหวนขนาดใหญ่ และมีเตียงวางผู้ป่วยอยู่ตรงกลาง หลอดกำเนิดรังสีเอกซ์หลายชุดจะวางเรียงกันบนวงแหวน และมีหัววัดรังสีเอกซ์วาง อยู่ด้านตรงข้ามอีกด้านหนึ่งของผู้ป่วย ลำแสงรังสีเอกซ์รูปพัดจะถูกปล่อยออกมาขณะที่หลอดเอกซเรย์ และหัววัดถูกหมุน ไปรอบ ๆ ตัวผู้ป่วยที่นอนนิ่งอยู่ตรงกลาง เป็นการเก็บภาพเอกซเรย์จากมุมที่แตกต่างกันรอบร่างกายของผู้ป่วย เมื่อการหมุนแต่ละรอบเสร็จสิ้น ภาพตัดขวางหนึ่งภาพก็จะถูกสร้างขึ้น ซึ่งในการสแกนด้วยเครื่องซีทีจะไม่มีการบันทึก ภาพที่ได้แต่ละภาพลงบนแผ่นฟิล์ม แต่จะนำภาพเหล่านี้มาสร้างเป็นภาพตัดขวาง 2 มิติโดยใช้คอมพิวเตอร์ ภาพที่ได้ จะถูกเรียกว่า tomogram และเมื่อเอาภาพตัดขวางเหล่านี้หลาย ๆ ชิ้นมาวางซ้อนกันก็จะสามารถสร้างภาพ 3 มิติ ของโครงสร้างร่างกายและอวัยวะภายในได้ ดังนั้น CT scan จึงหมายถึง การบันทึกภาพตัดขวางของร่างกายในระดับที่ ต่างกันนั่นเอง หากยังจินตนาการไม่ออก ก็ให้ลองนึกถึงขนมปังลูกเกดที่ถูกหั่นเป็นแถว ๆ เมื่อเราดึงขนมปังออกมาเพียง หนึ่งแผ่น ก็จะเห็นว่ามีลูกเกดติดอยู่บริเวณใดบ้างบนแผ่นขนมปังนั้น"
สำหรับวันนี้ก็ขอให้มีความสุขสนุกสนานกับการใช้ชีวิตวันนี้อีกวันนะครับ แล้วพบกันใหม่ สวัสดีครับ
วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2555
นักรบผู้กล้า
สวัสดีครับ
วันนี้อยากเอาอะไรที่ผมคิดว่าน่าสนใจมาแบ่งปันกันครับ เป็นเรื่องราวตอนหนึ่งในหนังเรื่อง Gladiator ครับ หรือชื่อไทยก็คือ นักรบผู้กล้า ผ่าแผ่นดินทรราช นั่นเอง หนังเรื่องนี้ฉายไปนานหลายปีแล้วครับ มีหลายตอนที่ผมรู้สึกประทับใจมาก สำหรับวันนี้ที่เอามาเขียนถึงก็เป็นตอนที่ คอมโมดัส (Commodus) ลูกชายของกษัตริย์ซีซาร์ (Caesar) ได้กระทำการปิตุฆาต หรือฆ่าบิดาของตัวเองเพราะน้อยใจที่พ่อไม่เห็นคุณค่าของเขาและจะตั้งแม่ทัพเอกขึ้นเป็นกษัตริย์แทน ตอนนี้เป็นตอนที่ให้ความรู้สึกร่วมได้อย่างลึกซึ้งและน่าสะเทือนใจมากครับ ผมชอบประโยคที่ซีซาร์ได้พูดกับลูกชายที่ว่า "Your faults as a son is my failure as a father" ครับ แปลง่ายๆ แบบผมก็คือ "ความผิดพลาดชองลูก ก็คือความล้มเหลวของพ่อ" หรือ "ความล้มเหลวของลูก ก็คือความผิดพลาดของพ่อเอง" อะไรประมาณนี้แหละครับ
ชอบมากครับ ได้อารมณ์และเห็นด้วยแบบเต็มที่เลยครับ ใช่แล้ว ผมเชื่ออย่างเต็มที่ว่าพ่อแม่คือคนที่สั่งสอนและเป็นคนที่ทำให้ลูกเป็นอย่างที่ลูกเป็นครับ ไม่ใช่แค่คำพูดสั่งสอนหรอกครับ แต่รวมถึงการกระทำทุกๆอย่าง พูดง่ายๆ ก็คือ "บ้าน" นั่นเองครับ ที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของลูก หลายๆ ครั้งผมก็ไม่สามารถโทษว่าลูกทำไมจึงทำอย่างนั้นอย่างนี้ในแบบที่เราไม่ชอบได้เลย เพราะที่ลูกเป็นอย่างทุกวันนี้ ก็คงเป็นเพราะเราที่เป็นพ่อแม่เลี้ยงดูพวกเขามานั่นเองครับ
สำหรับวันนี้ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ หลายๆ คนคงได้พัก แต่คงมีอีกหลายคนที่ยังต้องทำงาน ก็ขอให้สนุกกับงานนะครับ มีความสุขกับทุกอย่างที่ทำครับ
สวัสดีครับ
วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555
เข้าที่ ...
news.com.au
สวัสดีครับ
วันนี้ไปหาซื้อรองเท้าสำหรับวิ่งออกกำลังกายมาครับแล้วก็พบว่าเรื่องของรองเท้าวิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลยทีเดียวครับ แต่ก่อนนี้ถ้าคิดจะวิ่งออกกำลังกายละก็ผมก็แค่ไปที่ร้านขายเครื่องกีฬาแล้วก็เลือกรองเท้าสำหรับวิ่งแบบที่คุ้นเคยและคิดว่าน่าจะเป็นอย่างนี้แหละที่เราควรใส่วิ่ง ซึ่งก็จะมีราคาถูกและบางทีก็ดูเหมือนรองเท้าผ้าใบแบบใส่เที่ยวมากกว่า แต่พอวันนี้ไปดูแบบจริงๆ จังๆ แล้วก็เลยพบว่าที่ผ่านไปนั้น เราใช้แบบมั่วและ "ไม่ได้เรื่อง" จริงๆ เลยครับ ของมืออาชีพนั้น แพงและมีหลายแบบมาก ต้องลงมือศึกษากันให้ดีก่อนซื้อกันเลยทีเดียวครับ ถ้าไม่อยากบาดเจ็บตอนใส่วิ่งนานๆ แล้วละก็
ผมกำลังคิดจะเริ่มวิ่งออกกำลังกายอีกครั้งครับ หลังจากที่ห่างหายไปนาน เพราะว่าขี้เกียจนั่นแหละครับ ก็เลยหาเหตุผลอื่นมาอ้าง อ้างว่าบ้านไกลบ้าง ทำงานเสร็จแล้วต้องรีบกลับบ้าน หรือบางทีก็อ้างว่าทำงานเหนื่อยแล้ว ขอพักผ่อนหน่อย หรือบางทีก็อ้างว่าค่ำแล้ว อย่าไปวิ่งเลย อะไรพวกนั้นแหละครับ สุดท้ายก็เลยไม่ได้วิ่งนานเป็นปีเลย ถ้าจะนับจนถึงตอนนี้ก็น่าจะประมาณสามปีได้แล้วครับ นึกแล้วก็... โอ้ว... นานเกินไปแล้วนะเนี่ย
อีกเหตุผลที่ทำให้ผมต้องลุกขึ้นมา สร้างแรงจูงใจให้ออกไปหาซื้อรองเท้าวิ่ง ก็เพราะว่าผมเบื่อมากๆ กับการที่ต้องกินยาทุกครั้งหลังอาหารเช้าเย็นครับ หยิบยาขึ้นมาทีไรก็จะหงุดหงิดและถามตัวเองตลอดว่าเมื่อไหร่จะเลิกกินไอ้ยาพวกนี้ได้นะ... มันเบื่อจริงๆ ครับ ผมกินยาเบาหวานและความดันติดต่อกันมาน่าจะเจ็ดปีเข้าไปแล้ว ใจหนึ่งก็คิดว่าแล้วนี่เราจะต้องกินไปอีกนานเท่าไหร่ ไตก็เหลือแค่ข้างเดียวอีกต่างหาก สงสัยต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว ถ้ายังอยากอยู่ในโลกกลมๆ สวยๆ ใบนี้ต่อไปอีกนานๆ แล้วก็นึกถึงการวิ่งครับ การวิ่งน่าจะเป็นอะไรที่อยากทำมากที่สุดแล้ว สำหรับการออกกำลังกายต่างๆ ที่จะทำได้
ผมเคยวิ่งมินิมาราธอน 10 กิโล และวิ่ง ฮาล์ฟมาราธอน 21กิโลกว่ามาแล้ว เหลือแต่มาราธอนแบบเต็มๆ ครับ ที่ยังไม่เคยลองเลย และคิดว่าคงวิ่งไม่ได้แน่ๆ ถ้าไม่ยอมซ้อม อีกอย่างเป็นเบาหวานด้วย คงไม่ง่ายแน่นอนครับ แต่ก็เป็นอะไรที่ท้าทายดีมากๆ ท้าทายว่าตอนวิ่งจะเป็นลมตายหรือเปล่านะซีครับ ฮ่าๆ ก็บางครั้งแค่กินอาหารผิดเวลานิดหน่อยก็แทบจะเป็นลมล้มลงไปเลยก็หลายครั้งนี่ครับ... แต่ไม่เป็นไร ได้เวลาต้องลองแล้วล่ะครับ
แล้วจะเอามาเล่าให้ฟังกันนะครับ ว่าทำได้มากน้อยแค่ไหน อ้อ ลืมบอกไป ตอนนี้น้ำตาลก่อนอาหารวัดตอนตื่นนอนตอนเช้าของผม เฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ 100-140 ครับ หลังจากวิ่งไปได้สักระยะ (ถ้าทำได้) จะเอามารายงานให้ทราบกันนะครับ ว่าน้ำตาลจะลง หรือเบาหวานจะหายหรือไม่?? ผมตั้งใจประมาณว่าเบาหวานต้องหายเลยนะครับเนี่ย หวังว่าคงไม่หวังสูงเกินไป...
สวัสดีครับ
วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555
เวลาที่ผ่านไป
ภาพจาก news.discovery.com
สวัสดีครับ
เช้าวันเสาร์กับบรรยากาศสบายๆอีกแล้ว ช่วงนี้หน้าฝนครับ อากาศกำลังดี เย็นชุ่มฉ่ำเวลามีฝนตก ยิ่งเวลามีลมพัดมาด้วยแล้วละก็... เป็นความสุขอย่างบอกไม่ถูกเลยนะครับ
เมื่อวานนี้ที่ทำงานผมมีงานเลี้ยงส่งพนักงานเกษียณคนหนึ่งครับ พี่คนที่เกษียณท่านเป็นคนดีที่ทุ่มเทให้กับงานมาก เป็นคนที่ทำงานตรงไปตรงมา ก็เลยมีคนรักมาก มีเพื่อนๆ พนักงานมาร่วมงานกันเป็นจำนวนมากครับ เห็นท่านก็มีความสุขดีที่ได้ทุ่มเทมานานจนถึงวันนี้ วันที่ถึงเวลาเกษียณแล้ว ก็เป็นแบบอย่างที่ดีครับ สำหรับคนทำงานที่จริงจังและจริงใจ แล้วก็ทำให้นึกถึงตัวเองขึ้นมาเหมือนกัน นึกถึงตรงที่ว่าวันเวลามันผ่านไปอย่างรวดเร็วครับ เพียงไม่นานหลังจากเรียนจบก็พบว่าตัวเองทำงานมาได้เกือบยี่สิบปีเข้าไปแล้ว และเหลือเวลาอีกไม่นานก็คงจะต้องเกษียณเหมือนกัน จะว่าไปชีวิตมันก็ดูสั้นๆนะครับ ไม่ยาวอย่างที่เคยคิด โดยเฉพาะตอนที่ยังเด็กๆ หรือวัยรุ่น ตอนนั้นนี่ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเราจะแก่ และนึกไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าถ้าเราแก่แล้วมันจะเป็นยังไงนะ...
ชีวิตมันสั้นครับ แต่ก็ยาวเพียงพอสำหรับที่จะให้เราทำอะไรๆ อีกหลายๆ อย่างนะครับ
เอาวิชาการนิดนึงละกันครับ เค้าบอกว่าด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็นในทางการแพทย์ วงการอาหารและยา และอื่นๆ ได้ทำให้คนที่เป็นโรค VHL นี้มีอายุขัยโดยเฉลี่ยยาวขึ้นอีกประมาณ 17 ปีครับ อันนี้คงเทียบกับเมื่อก่อน หรือในศตวรรษก่อนหน้านี้นะครับ ซึ่งก็เป็นข่าวดีและทำให้เรามีความหวังมากขึ้นไปเรื่อยๆที่จะได้หายขาดจากโรคนี้กันเสียที เหมือนกับป่วยแล้วไปซื้อยากินแล้วก็หายอะไรประมาณนั้น.. คงไม่หวังมากเกินไปใช่ไหมครับ ฮ่าๆ
ผมว่าสำหรับเรื่องของการรักษาโรคนี้นั้น ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขก็เป็นเรื่องที่ทำได้แน่ๆ ครับ โดยเฉพาะถ้าเรามีความสงบภายในใจแล้วละก็ ผมว่าเรื่องความเจ็บป่วยทางกายก็เป็นเรื่องเล็กๆ นะครับ ผมมั่นใจว่า ธรรมะ คำสอนต่างๆ และความศรัทธาในศาสนาของท่านที่นับถือไม่ว่าจะเป็นศาสนาอะไรก็ตาม จะช่วยทำให้ทุกท่านมีความสุขและความสงบในใจได้อย่างแน่นอน และนั่นก็คือความสุขที่แท้จริงครับ
ขอให้สนุกกับวันนี้กันทุกคนนะครับ สวัสดีครับ
วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555
ข้อมูลล่าสุดของโรค VHL ในขณะนี้ (ส.ค. 2555)
สวัสดีครับ
ผมเป็นคนที่ชอบดื่มกาแฟครับ จริงๆ แล้วชอบบรรยากาศของการดื่มมากกว่า โดยเฉพาะถ้าได้นั่งในบรรยากาศที่สวยงาม สบายๆ และอากาศเย็นๆ ละก็... เพลินเลยนะครับ ภาพนี้เป็นภาพที่ถ่ายจากรีสอร์ทแห่งหนึ่งในอำเภอเวียงป่าเป้า เชียงรายครับ อากาศดีมากในตอนเช้า และก็ได้จิบกาแฟจากถ้วยตราไก่ซะด้วย ไก่แบบที่คุ้นเคยมากๆนี่แหละครับ ผมค่อนข้างมั่นใจว่าหลายๆ คนคงจะเคยเห็นเจ้าไก่หางสวยอย่างนี้ข้างๆ ถ้วยเซรามิคจากเชียงรายหรือลำปางกันมาแล้วแน่ๆ ดูน่ารักดีครับ แล้วก็รู้สึกได้ถึงความเป็นไทยที่ดูเรียบง่ายแต่มีเสน่ห์อยู่ในตัวนะครับ
ช่วงที่ผ่านมาผมพยายามติดตามและค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้ที่อาจจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านที่เป็นโรคนี้ หรือมีญาติที่เป็นนะครับ นี่เป็นความตั้งใจเดิมตอนที่เริ่มเขียนบล็อกครับ แต่พบว่าถึงแม้ว่าปัจจุบันนี้เทคโนโลยีทางการแพทย์จะก้าวหน้ามากขึ้นเพียงไร แต่กับโรคนี้การรักษาให้หายขาดก็ยังไม่มีทางครับ ในอเมริกา วงการแพทย์เค้าคาดว่าน่าจะค้นพบวิธีการรักษาได้ในปี ค.ศ. 2025 หรือปี พ.ศ. 2568 โน่นครับ หรืออีก 13 ปีข้างหน้า... โอ้โห... นานน่าดูเลยนะครับ แต่ถึงจะนานผมก็ยังรู้สึกดีอยู่ดีถ้าลูกหลานเราข้างหน้าจะได้มีโอกาสหายขาดจากโรคนี้ได้ สมัยก่อนนี้สิครับแย่ เพราะผู้ป่วยและญาติเองก็ยังไม่รู้แม้กระทั่งว่าตัวเองเป็นโรคอะไร อย่างกรณีคุณแม่ผมเอง ซึ่งผมได้เอาชื่อย่อมาตั้งเป็นชื่อบล็อกนี้ด้วย ก็เสียชีวิตจากเนื้องอกในสมองนี่แหละครับ ที่จริงแล้วมาสันนิษฐานเอาทีหลังว่าน่าจะเกิดจากโรคนี้ เพราะทราบว่าโรคนี้เกิดจากพันธุกรรม และพวกลูกๆ ซึ่งก็คือผมและพี่ๆน้องๆ ของผมเอง ก็พากันเป็นโรคนี้และเข้ารับการผ่าตัดกันเป็นว่าเล่น ทั้งสมอง และที่อวัยวะส่วนอื่นๆ เช่น ไต เป็นต้นครับ จำได้ว่าตอนนั้นคุณแม่ปวดหัวมาก ปวดอยู่นานสองสามชั่วโมงจนทนไม่ได้และเสียชีวิตไปในที่สุดครับ พอดีครอบครัวเราตอนนั้นอยู่บ้านนอกที่ห่างไกลครับ และก็ไม่มีใครมีความรู้อะไรเลย เข้าใจกันว่าปวดธรรมดา กินยาแล้วเดี๋ยวก็คงหาย ...แต่ไม่ใช่ครับ
วงการแพทย์คาดว่าการรักษาโรคนี้น่าจะค้นพบจากการศึกษาเรื่องของพันธุกรรมครับ (genetic study) ซึ่งในอเมริกาและยุโรปมีความก้าวหน้าในเรื่องนี้มากกว่าบ้านเรา แต่จริงๆ แล้วเท่าที่ผมทราบมาบ้าง ที่โรงพยาบาลศิริราช (มหาวิทยาลัยมหิดล) ก็มีหน่วยงานที่ทำการวิจัยเรื่องยีนกันอย่างจริงจังอยู่นะครับ แน่นอนว่าเค้าสามารถตรวจหายีนโรคนี้ในคนป่วยที่สงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ได้เลยครับ ... ยอดเยี่ยมมาก ใช่ไหมครับ
สำหรับวันนี้เอาตัวเลขมาเขียนไว้อีกทีละกันครับ สำหรับสถิติต่างๆ ซึ่งที่จริงในบทความก่อนหน้านานมาแล้วผมก็ได้เขียนไว้บ้างแล้ว ก็คือ เค้าบอกว่าโรคนี้เป็นหนึ่งในโรค 7,000 ชนิด ที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมครับ และมีผู้ป่วยทั้งหมดประมาณ 1 คน ในจำนวนประชากร 32,000 คนครับ เห็นตัวเลขอย่างนี้ก็แน่นอนเลยว่าในเมืองไทยเองที่มีคนอยู่ทั้งหมดหกสิบกว่าล้านคน ต้องมีคนเป็นโรคนี้เยอะแยะแน่ๆ ดังนั้นเราจึงไม่เหงาอีกต่อไปครับ... ฮ่าๆ ตลกแบบเศร้าๆนะครับเนี่ย... และในจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด 100เปอร์เซนต์ จะมีคนป่วยที่เกิดจากยีนมีการผ่าเหล่า (mutation) 20เปอร์เซนต์ ส่วนที่เหลืออีก 80เปอร์เซนต์เกิดจากพันธุกรรม คือพ่อหรือแม่เป็นโรคนี้แล้วถ่ายทอดมายังลูกหลานครับ
ยังไงก็ยังต้องหวังกันต่อไป สำหรับวันนี้ขอให้มีความสุขหลับฝันดีกันทุกคนนะครับ ฝนตกปรอยๆ อย่างนี้คงหลับสบายกันทุกคน สวัสดีครับ
ผมเป็นคนที่ชอบดื่มกาแฟครับ จริงๆ แล้วชอบบรรยากาศของการดื่มมากกว่า โดยเฉพาะถ้าได้นั่งในบรรยากาศที่สวยงาม สบายๆ และอากาศเย็นๆ ละก็... เพลินเลยนะครับ ภาพนี้เป็นภาพที่ถ่ายจากรีสอร์ทแห่งหนึ่งในอำเภอเวียงป่าเป้า เชียงรายครับ อากาศดีมากในตอนเช้า และก็ได้จิบกาแฟจากถ้วยตราไก่ซะด้วย ไก่แบบที่คุ้นเคยมากๆนี่แหละครับ ผมค่อนข้างมั่นใจว่าหลายๆ คนคงจะเคยเห็นเจ้าไก่หางสวยอย่างนี้ข้างๆ ถ้วยเซรามิคจากเชียงรายหรือลำปางกันมาแล้วแน่ๆ ดูน่ารักดีครับ แล้วก็รู้สึกได้ถึงความเป็นไทยที่ดูเรียบง่ายแต่มีเสน่ห์อยู่ในตัวนะครับ
ช่วงที่ผ่านมาผมพยายามติดตามและค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้ที่อาจจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านที่เป็นโรคนี้ หรือมีญาติที่เป็นนะครับ นี่เป็นความตั้งใจเดิมตอนที่เริ่มเขียนบล็อกครับ แต่พบว่าถึงแม้ว่าปัจจุบันนี้เทคโนโลยีทางการแพทย์จะก้าวหน้ามากขึ้นเพียงไร แต่กับโรคนี้การรักษาให้หายขาดก็ยังไม่มีทางครับ ในอเมริกา วงการแพทย์เค้าคาดว่าน่าจะค้นพบวิธีการรักษาได้ในปี ค.ศ. 2025 หรือปี พ.ศ. 2568 โน่นครับ หรืออีก 13 ปีข้างหน้า... โอ้โห... นานน่าดูเลยนะครับ แต่ถึงจะนานผมก็ยังรู้สึกดีอยู่ดีถ้าลูกหลานเราข้างหน้าจะได้มีโอกาสหายขาดจากโรคนี้ได้ สมัยก่อนนี้สิครับแย่ เพราะผู้ป่วยและญาติเองก็ยังไม่รู้แม้กระทั่งว่าตัวเองเป็นโรคอะไร อย่างกรณีคุณแม่ผมเอง ซึ่งผมได้เอาชื่อย่อมาตั้งเป็นชื่อบล็อกนี้ด้วย ก็เสียชีวิตจากเนื้องอกในสมองนี่แหละครับ ที่จริงแล้วมาสันนิษฐานเอาทีหลังว่าน่าจะเกิดจากโรคนี้ เพราะทราบว่าโรคนี้เกิดจากพันธุกรรม และพวกลูกๆ ซึ่งก็คือผมและพี่ๆน้องๆ ของผมเอง ก็พากันเป็นโรคนี้และเข้ารับการผ่าตัดกันเป็นว่าเล่น ทั้งสมอง และที่อวัยวะส่วนอื่นๆ เช่น ไต เป็นต้นครับ จำได้ว่าตอนนั้นคุณแม่ปวดหัวมาก ปวดอยู่นานสองสามชั่วโมงจนทนไม่ได้และเสียชีวิตไปในที่สุดครับ พอดีครอบครัวเราตอนนั้นอยู่บ้านนอกที่ห่างไกลครับ และก็ไม่มีใครมีความรู้อะไรเลย เข้าใจกันว่าปวดธรรมดา กินยาแล้วเดี๋ยวก็คงหาย ...แต่ไม่ใช่ครับ
วงการแพทย์คาดว่าการรักษาโรคนี้น่าจะค้นพบจากการศึกษาเรื่องของพันธุกรรมครับ (genetic study) ซึ่งในอเมริกาและยุโรปมีความก้าวหน้าในเรื่องนี้มากกว่าบ้านเรา แต่จริงๆ แล้วเท่าที่ผมทราบมาบ้าง ที่โรงพยาบาลศิริราช (มหาวิทยาลัยมหิดล) ก็มีหน่วยงานที่ทำการวิจัยเรื่องยีนกันอย่างจริงจังอยู่นะครับ แน่นอนว่าเค้าสามารถตรวจหายีนโรคนี้ในคนป่วยที่สงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ได้เลยครับ ... ยอดเยี่ยมมาก ใช่ไหมครับ
สำหรับวันนี้เอาตัวเลขมาเขียนไว้อีกทีละกันครับ สำหรับสถิติต่างๆ ซึ่งที่จริงในบทความก่อนหน้านานมาแล้วผมก็ได้เขียนไว้บ้างแล้ว ก็คือ เค้าบอกว่าโรคนี้เป็นหนึ่งในโรค 7,000 ชนิด ที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมครับ และมีผู้ป่วยทั้งหมดประมาณ 1 คน ในจำนวนประชากร 32,000 คนครับ เห็นตัวเลขอย่างนี้ก็แน่นอนเลยว่าในเมืองไทยเองที่มีคนอยู่ทั้งหมดหกสิบกว่าล้านคน ต้องมีคนเป็นโรคนี้เยอะแยะแน่ๆ ดังนั้นเราจึงไม่เหงาอีกต่อไปครับ... ฮ่าๆ ตลกแบบเศร้าๆนะครับเนี่ย... และในจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด 100เปอร์เซนต์ จะมีคนป่วยที่เกิดจากยีนมีการผ่าเหล่า (mutation) 20เปอร์เซนต์ ส่วนที่เหลืออีก 80เปอร์เซนต์เกิดจากพันธุกรรม คือพ่อหรือแม่เป็นโรคนี้แล้วถ่ายทอดมายังลูกหลานครับ
ยังไงก็ยังต้องหวังกันต่อไป สำหรับวันนี้ขอให้มีความสุขหลับฝันดีกันทุกคนนะครับ ฝนตกปรอยๆ อย่างนี้คงหลับสบายกันทุกคน สวัสดีครับ
วันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2555
ครอบครัวตัว "วี" (VHL)
nationalgeographic.com
สวัสดีวันอาสาฬหบูชา 2555 ครับ
ไม่ได้เขียนในบล็อกนานแล้วเหมือนกันครับ มีเรื่องราวอะไรมากมายเกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาหลายเรื่องเหมือนกัน และผมก็อยากจะเอามาเขียนให้อ่านกันในวันนี้นะครับ
ผมเพิ่งไปพบแพทย์ที่ศิริราชเพื่อตรวจเนื้องอกในตาทั้งสองข้างตามที่หมอนัดมาครับ ไปเมื่อวานนี้เอง เมื่อวานนี้โชคดีนิดนึงครับที่ไปเจอพี่ชายที่โรงพยาบาลด้วย ไม่ได้นัดกันครับ แต่บังเอิญหมอนัดตรงกัน เมื่อวานนี้คนไข้เยอะเหมือนกัน เจ้าหน้าที่แจ้งว่ามีคนไข้ประมาณหกร้อยกว่าคน และบอกให้คนไข้ทั้งหลายที่ใจร้อนและคอยไปสอบถามกับเจ้าหน้าที่ว่าถึงคิวของตัวเองหรือยัง ให้ใจเย็นๆ ไม่ต้องคอยมาถาม เพราะว่าเจ้าหน้าที่เหนื่อยครับ ก็น่าเห็นใจครับ เพราะคนไข้เยอะมาก และถ้าทุกคนคอยมาถาม เจ้าหน้าที่ก็คงวุ่นน่าดู แต่ไม่ว่าคนไข้จะเยอะอย่างไร เท่าที่ผมเห็นที่โรงพยาบาลศิริราชนี้ เค้ามีวิธีการจัดการที่ดีมากครับ ไม่มีการมั่วแต่อย่างใด ทุกคนจะได้รับการบริการตรวจ รักษา จ่ายเงิน รับใบนัดตามคิวครับ ดังนั้นถ้าเราใจเย็น ๆ และคอยเจ้าหน้าที่เรียกชื่อ ก็สบายครับ ได้รับการตรวจแน่นอน ถึงแม้ว่าบางครั้งจะนานหน่อยก็ตาม
เมื่อวานที่ผมไปตรวจเป็นการติดตามว่าเนื้องอกที่พบว่าเริ่มมีรอยนูนๆ เล็กๆ ปรากฎขึ้นมาบ้างแล้วจากการตรวจคราวก่อนนั้น มันจะโตขึ้นหรือเปล่า ถ้าโตขึ้นหมอก็อาจจะต้องนัดให้มายิงเลเซอร์รักษาครับ โชคดีที่พบว่ามันไม่โตขึ้นครับ ก็เลยโล่งใจไปอีกวัน พี่ชายผมก็ปกติดีครับ วันนี้เราก็เลยกลับบ้านกันอย่างสบายใจ แต่หลานสาวผมนี่สิครับ โดนยิงเลเซอร์ไปแล้ว
ลูกสาวของพี่สาวครับ เพิ่งไปเข้ารับการรักษาด้วยการยิงเลเซอร์ที่ตาขวามาเมื่อวันที่ 25 ที่ผ่านมานี่เอง เพราะว่าเนื้องอกมันโตขึ้นครับ หมอใช้วิธีการยิงเลเซอร์ไปจัดการกับเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงเจ้าก้อนเนื้อนี้ครับ คือพอเจ้าเส้นเลือดหลักที่ไปเลี้ยงก้อนเนื้อนี้ตายไป ก้อนเนื้อก็จะไม่มีการเจริญเติบโตต่อ เพราะขาดการหล่อเลี้ยง สุดท้ายก็คงยุบตัวไปเองครับ
ครอบครัวเราก็เลยเป็นขาประจำของโรงพยาบาลศิริราชเพราะสาเหตุอย่างนี้นี่แหละครับ
สำหรับเรื่องแนวทางการรักษาโรค VHL นั้น ล่าสุดก็ยังไม่มีการค้นพบวิธีการรักษาแต่อย่างใด ส่วนแนวทางการวิจัยก็เท่าที่ทราบก็จะเป็นแนวๆเดียวกับพวกโรคมะเร็งนั่นแหละครับ เพราะเป็นลักษณะของการเกิดเนื้องอกเนื่องจากการเจริญผิดปกติของเนื้อเยื่อเหมือนๆกัน ต่างกันตรงชนิดของก้อนเนื้อและผลของมันเท่านั้นเองครับ
คราวหน้าจะไปค้นข้อมูลมาให้อ่านกันใหม่นะครับ สำหรับวันนี้ขอให้ทุกคนมีความสุขกับวันอาสาฬหบูชา ซึ่งผมเข้าใจว่าเป็นวันพระใหญ่วันหนึ่งของชาวพุทธเราครับ สวัสดีครับ
วันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
เป็นโรคเบาหวานเพราะถุงน้ำ (cysts) ที่ตับอ่อน
สวัสดีวันอาทิตย์ตอนบ่ายๆ ครับ
ผมเพิ่งกลับจากโรงพยาบาลศิริราชมาเมื่อบ่ายๆ วันนี้เองครับ ไปตรวจเบาหวานตามแพทย์นัดมาครับ วันนี้มีตรวจทั้งเลือดและปัสสาวะ เป็นนัดพิเศษครับ เพราะปกติของผมถ้าไม่ใช่วันธรรมดาก็จะเป็นวันเสาร์ แต่คราวนี้คุณหมอไม่ว่างในวันเสาร์ที่นัด ก็เลยเลื่อนมาตรวจวันอาทิตย์วันนี้แทน ไปตรวจวันนี้ดีตรงที่คนไม่เยอะครับ ใช้เวลารวมทั้งหมดไม่ถึงชั่วโมงก็เจาะเลือดเสร็จเรียบร้อย อยากให้ทุกครั้งที่ไปตรวจเป็นอย่างนี้... แต่ก็คงได้แต่ฝันครับ เพราะว่าที่นี่ใครๆ ก็ทราบว่าเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆของบ้านเรา ทั้งในเรื่องของความก้าวหน้าทางการแพทย์และการบริการครับ ดังนั้นปกติเราก็จะเห็นผู้ป่วยและญาติเดินกันเต็มทุกที่ แทบจะชนกันครับ
ผลเลือดวันนี้ดีขึ้นครับ น้ำตาลสะสมลดลง จาก 8.5 เหลือ 8.2 แต่คุณหมอก็เพิ่มยาให้ครับ มีเพิ่มยา Utmos 30 เป็นทานหนึ่งเม็ดก่อนอาหารเช้า จากแต่ก่อนที่ทานครึ่งเม็ด และเพิ่มยาตัวใหม่เป็นยาช่วยย่อย (Pancreatin+Enzyme) ด้วยครับ คุณหมอถามก่อนว่าท้องเสียบ่อยๆ หรือไม่ พอผมตอบว่าใช่คุณหมอก็เลยสั่งยาตัวนี้ให้ อาการท้องเสียบ่อยๆ นี้นอกจากจะเกิดขึ้นเพราะถุงน้ำที่ตับอ่อนแล้ว (ผมเขียนไว้บ้างจากตอนก่อนหน้าเร็วๆ นี้ครับ) ยังเกิดจากยา Miformin ได้ด้วยครับ เป็นผลข้างเคียง แต่ไม่ได้มากมายอะไรครับ
วันนี้ก็เลยได้ยามาเพียบเลย พร้อมค่าใช้จ่ายค่ายาที่เพิ่มขึ้นมาอีกเยอะเหมือนกัน แต่จะว่าไปแล้ว ก็ยังนับว่าถูกกว่าเอกชนเยอะครับ
ผมตั้งใจว่าจะออกกำลังกายให้สม่ำเสมอขึ้น เพื่อต่อสู้กับโรคเบาหวานให้ได้ นอกจากนี้ถ้าร่างกายแข็งแรงแล้วผมคิดว่าโรคอื่นๆ ก็น่าจะทุเลาลงด้วยครับ วันนี้ที่เขียนมาทั้งหมด ตั้งใจจะเอามาเล่าสู่กันฟังเพื่อเป็นข้อมูลทางด้านวิชาการครับ เห็นว่าเป็นประโยชน์ โดยเฉพาะกับคนที่เป็นโรค VHL ครับ อ้อ มีอีกอย่างครับ คือคนไข้ก่อนหน้าผม คุณหมอถามพยาบาลว่าได้แนะนำให้ไปตรวจตาหรือยัง แสดงว่าอาจจะมีอาการที่น่าสงสัยว่าจะเป็นโรค VHL นะครับ เพราะว่าถ้ามีเนื้องอกในตาด้วยแล้วละก็ โอกาสที่จะเป็นโรคนี้ก็นับว่าสูงเลยทีเดียว อีกเรื่องครับ สำหรับเนื้องอกในตาผมคุณหมออ่านจากแฟ้มแล้วบอกว่าไม่น่ามีปัญหา... ข่าวดีมากเลยครับ แล้วพบกันใหม่ครับ สวัสดีครับ
วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
วันนี้ไปตรวจอัลตร้าซาวด์ช่องท้องมา
Photograph by Wolcott Henry
สวัสดีตอนเย็นวันอาทิตย์แรกของเดือนกรกฎาคมครับ
เผลอแป๊บเดียวก็เข้าสู่เดือนที่เจ็ดของปีแล้วนะครับ ผ่านไปอย่างรวดเร็วเหมือนเคย วันนี้ผมมีนัดต้องไปตรวจอัลตร้าซาวด์ช่องท้องหลังจากผ่าตัดเอาต่อมหมวกไตขวาและไตซ้ายออกไปเมื่อต้นปีที่แล้วครับ เป็นการตรวจเพื่อติดตามผลตามปกติครับ อยากเอามาเขียนให้อ่านเพื่อเป็นข้อมูลเฉยๆ ครับ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ที่จริงสำหรับตัวผมเองก็ตื่นเต้นนิดหน่อยเหมือนกันครับ ตรงที่ก่อนจะไปตรวจก็ลุ้นนิดๆ ว่าจะโอเคมั้ย เพราะที่ผ่านๆมาก็มีหลายๆ ครั้งที่รู้สึกเจ็บๆ ตรงในท้องติดด้านหลังซึ่งน่าจะเป็นตำแหน่งของไตซ้ายที่ตัดออกไป บางครั้งมันเจ็บแบบหนักๆ ไม่ใช่จี๊ดๆ แต่ก็เจ็บแค่แป๊บเดียว แล้วก็หายไปอย่างรวดเร็ว อีกอย่างแผลผ่าตัดโดยเฉพาะด้านในยังรู้สึกเจ็บๆ และตึงๆ อยู่เลยครับ การไปตรวจคราวนี้น่าจะห่างจากคราวที่แล้วหกหรือแปดเดือนนี่แหละครับ คุณหมอก็นัดยาวๆ เพราะจากคราวที่แล้วก็ไม่มีอะไรผิดปกติ
ผมออกจากบ้านที่รังสิตตอนบ่ายสองโมงครึ่ง วันนี้รถติดมากๆ ครับ เพราะมีการทำถนนใหม่หลังจากน้ำท่วมใหญ่เมื่อปีที่แล้ว ทำมานานระยะหนึ่งแล้วครับ ก็ใกล้เสร็จเต็มทีแล้ว ซึ่งหลายๆ ครั้งที่มีเครื่องจักรทำงานอยู่รถก็ติดมโหฬารกันเลยทีเดียวครับ ไม่เป็นไรครับ เป็นชาวคลองรังสิตต้องอดทน วันนี้กว่าจะไปถึงคลองหนึ่ง (จากคลองสาม) ก็ใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงเลยครับ ทั้งๆที่ระยะทางก็แค่ประมาณไม่ถึงห้ากิโล... จากที่คิดว่าจะไปถึงโรงพยาบาลเร็วเพื่อจะได้ตรวจเอ็กซ์เรย์ทรวงอกด้วยก็เลยไม่ทัน แต่ก็ยังดีครับ ที่ได้ตรวจอัลตร้าซาวด์ตามนัด
วันนี้ได้คิวตรวจตอนหนึ่งทุ่มแต่เข้าใจว่าการตรวจก่อนที่จะถึงคิวผมคงจะทำได้อย่างรวดเร็วกว่าที่คาด เจ้าหน้าที่ก็เลยโทรนัดผมให้ไปเร็วขึ้น ผมไปรายงานตัวที่เจ้าหน้าที่ห้องตรวจตอนห้าโมงเย็นครับ หลังจากลงทะเบียนและจ่ายเงินค่าตรวจ 1,400 บาทแล้ว ก็ไปนั่งรอ รอไม่นานครับ ก็ได้เข้าตรวจตอนประมาณห้าโมงห้าสิบ และตรวจเสร็จก่อนหกโมงเย็นเล็กน้อย ตรวจเสร็จก็ยังได้ยืนตรงเคารพธงชาติด้วย นับว่าเร็วดีครับ คุณหมอหรือเจ้าหน้าที่เทคนิคการแพทย์ก็ไม่ทราบที่เป็นคนตรวจ วันนี้ยิ้มแย้มทักทายดีครับ เจ้าหน้าที่ท่านอื่นก็พูดจาดีมาก ไม่เหมือนวันที่ผมโทรมาถามเรื่องนัด ซึ่งเจ้าหน้าที่แผนกอื่นท่านหนึ่งพูดจาไม่ค่อยอ่อนหวานสักเท่าไหร่... ฮ่าๆ จนทำให้ผมรู้สึกต่ำต้อยไปเลย...และกลัวที่จะโทรไปปรึกษาเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทุกครั้ง ท่านอื่นๆ เป็นอย่างนี้บ้างไหมครับ...
ผลตรวจออกมาดีเยี่ยมครับ ไม่มีอะไรผิดปกติ ทุกอย่างเหมือนเดิมครับ ก็เลยสบายใจ อาทิตย์หน้าจะไปหาหมอเจ้าของไข้ครับ เพื่อฟังผลตรวจอีกที และคุณหมอคงมีคำแนะนำอื่นๆด้วย แต่อาจจะไม่ได้เจอคุณหมอท่านเดิมหรอกครับ เพราะอาทิตย์หน้าก็ต้องเดินทางไปต่างประเทศอีก ทำให้ต้องเลื่อนออกไปอีกแล้วครับ
สำหรับโรคเนื้องอกที่ไตนี้ คนที่เป็นโรค VHL จะพบอาการนี้ได้มาก แทบจะเรียกได้ว่าเป็นปกติเลยครับ ชาวต่างชาติที่เป็นโรคนี้ต่างก็เจอเนื้องอกที่ไต และหลายๆ คนก็เป็นกันที่ไตทั้งสองข้างเลย ก็ต้องลุยๆ กันไปครับ
แล้วจะมาเล่าให้ฟังกันอีกนะครับ สวัสดีครับ
วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2555
ตัดตับอ่อนทิ้งแล้วมีผลอย่างไรบ้าง
สวัสดีครับ
วันนี้เอาเรื่องของคนที่เป็นเนื้องอกที่ตับอ่อนแล้วต้องตัดตับอ่อนทิ้งไปมาให้อ่านกันครับ ผมได้ข้อมูลจากทางฝรั่งที่เป็นเพื่อนในเฟสบุ้กของกลุ่มคนที่เป็นโรค VHL ครับ โดยสรุปสั้นๆ ก็คือว่าถ้าตัดตับอ่อนทิ้งทั้งอันแล้ว ก็จะทำให้ร่างกายขาดฮอร์โมนที่ผลิตจากตับอ่อน ซึ่งก็มีมากมายหลายตัวครับ เท่าที่ผมพอจะจำได้บ้าง ก็อย่างเช่น อินซูลิน ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และก็พวกน้ำย่อยต่างๆ ครับ ซึ่งบางรายต้องกินเอนไซม์ เพื่อทดแทนสารต่างๆที่ร่างกายผลิตเองไม่ได้อีกต่อไปนี่แหละครับ ตัวอย่างเช่นพวกยาช่วยย่อย เป็นต้นครับ ซึ่งบางคนถ้าไม่ได้รับประทานยาช่วยย่อยก็จะมีอาการท้องเสียบ่อยๆ อุจจาระมีกลิ่นเหม็นมากผิดปกติอะไรอย่างนี้ สำหรับตัวผมเองสิ่งที่เกิดขึ้นเนื่องจากเนื้องอกที่ตับอ่อนอย่างแรกก็คือเบาหวานครับ และอย่างที่สองก็คือท้องเสียบ่อยมาก บ่อยจนสังเกตุได้ถึงความผิดปกติครับ ซึ่งตอนแรกก็ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไรแน่ แต่พอได้อ่านเจอจากคนที่มีประสบการณ์ตรงจากเรื่องนี้ก็เลยถึงบางอ้อ... อ๋อ... มันเป็นอย่างนี้นี่เอง...
วันอาทิตย์นี้ก็ถึงคิวของผมที่ต้องไปตรวจอุลตร้าซาวด์ช่องท้องแล้วครับ เป็นการตรวจเพื่อติดตามผลหลังจากที่ผ่าตัดต่อมหมวกไตขวา และไตซ้ายทิ้งไปครับ หวังว่าคงไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ก็ไม่แน่ครับ เพราะหลายๆ ครั้งผมรู้สึกเจ็บๆ แบบหนักๆ ข้างในขึ้นมาเฉยๆ เหมือนกัน ก็ได้แต่ภาวนาครับว่าขออย่าให้เป็นอะไรอีกเลย ส่วนแผลผ่าตัดที่ยาวมากทั้งซ้ายขวาตรงหน้าท้องก็ยังตึงๆ อยู่เหมือนเดิม ผ่านมาเป็นปีแล้วครับ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะหายเหมือนกัน...
สวัสดีครับ
วันนี้เอาเรื่องของคนที่เป็นเนื้องอกที่ตับอ่อนแล้วต้องตัดตับอ่อนทิ้งไปมาให้อ่านกันครับ ผมได้ข้อมูลจากทางฝรั่งที่เป็นเพื่อนในเฟสบุ้กของกลุ่มคนที่เป็นโรค VHL ครับ โดยสรุปสั้นๆ ก็คือว่าถ้าตัดตับอ่อนทิ้งทั้งอันแล้ว ก็จะทำให้ร่างกายขาดฮอร์โมนที่ผลิตจากตับอ่อน ซึ่งก็มีมากมายหลายตัวครับ เท่าที่ผมพอจะจำได้บ้าง ก็อย่างเช่น อินซูลิน ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และก็พวกน้ำย่อยต่างๆ ครับ ซึ่งบางรายต้องกินเอนไซม์ เพื่อทดแทนสารต่างๆที่ร่างกายผลิตเองไม่ได้อีกต่อไปนี่แหละครับ ตัวอย่างเช่นพวกยาช่วยย่อย เป็นต้นครับ ซึ่งบางคนถ้าไม่ได้รับประทานยาช่วยย่อยก็จะมีอาการท้องเสียบ่อยๆ อุจจาระมีกลิ่นเหม็นมากผิดปกติอะไรอย่างนี้ สำหรับตัวผมเองสิ่งที่เกิดขึ้นเนื่องจากเนื้องอกที่ตับอ่อนอย่างแรกก็คือเบาหวานครับ และอย่างที่สองก็คือท้องเสียบ่อยมาก บ่อยจนสังเกตุได้ถึงความผิดปกติครับ ซึ่งตอนแรกก็ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไรแน่ แต่พอได้อ่านเจอจากคนที่มีประสบการณ์ตรงจากเรื่องนี้ก็เลยถึงบางอ้อ... อ๋อ... มันเป็นอย่างนี้นี่เอง...
วันอาทิตย์นี้ก็ถึงคิวของผมที่ต้องไปตรวจอุลตร้าซาวด์ช่องท้องแล้วครับ เป็นการตรวจเพื่อติดตามผลหลังจากที่ผ่าตัดต่อมหมวกไตขวา และไตซ้ายทิ้งไปครับ หวังว่าคงไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ก็ไม่แน่ครับ เพราะหลายๆ ครั้งผมรู้สึกเจ็บๆ แบบหนักๆ ข้างในขึ้นมาเฉยๆ เหมือนกัน ก็ได้แต่ภาวนาครับว่าขออย่าให้เป็นอะไรอีกเลย ส่วนแผลผ่าตัดที่ยาวมากทั้งซ้ายขวาตรงหน้าท้องก็ยังตึงๆ อยู่เหมือนเดิม ผ่านมาเป็นปีแล้วครับ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะหายเหมือนกัน...
สวัสดีครับ
วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555
ติ่งเนื้อในลำใส้ (Polyps)
สวัสดีบ่ายๆ วันเสาร์ครับ
หวังว่าวันนี้ทุกคนคงสบายดีนะครับ ฝนไม่ตกมาหลายวัน อากาศเริ่มร้อนขึ้นนิดหน่อยแล้ว ทำใจให้สบายๆจะได้ไม่ร้อนไปกับอากาศนะครับ
วันนี้เอาเรื่องที่มีฝรั่งคนหนึ่งเข้าไปโพสต์ในเฟสบุ้กของ VHL Family Aliance ไว้ว่าเค้ามีติ่งเนื้อในลำใส้ (Polyps, in intestine) ซึ่งเค้าก็ได้ถามสมาชิกคนอื่นๆ ว่ามีใครเคยเกิดอาการอย่างนี้บ้าง เค้าบอกว่าแพทย์บอกว่าเป็นติ่งเนื้อที่เกิดขึ้นเพราะคนไข้เป็นโรค VHL ครับ ซึ่งก็ยังไม่แน่ว่าจะเกิดจากโรคนี้จริงหรือไม่ มีสมาชิกท่านหนึ่งตอบว่าตัวเองก็เคยเป็นโรคนี้เหมือนกัน แต่ก็ไม่มีประวัติเป็นโรค VHL และจากข้อมูลที่ผมไปค้นคว้าเพิ่มเติมเอาเองจากอินเตอร์เน็ตก็ได้ความว่า โรคนี้อาจจะเกิดจากกรรมพันธุ์ แต่ไม่มีการกล่าวถึงโรค VHL แต่อย่างใดครับ ส่วนตัวผมเองก็ไม่เคยได้ยินครับว่าอาการของโรค VHL นี้จะมีการเกิดเนื้องอกขึ้นที่ลำใส้ด้วย คงรอข้อมูลที่มากขึ้นครับจึงจะสรุปได้ ถ้าพบเพิ่มขึ้นจะเอามาเล่าให้ฟังกันนะครับ
ติ่งเนื้อหรือเนื้องอกชนิดนี้อาจจะมีขนาดเล็กๆ เพียงแค่สองสามมิลลิเมตร ไปจนถึงสองนิ้วได้ครับ และส่วนใหญ่ก็เป็นแค่เนื้องอกธรรมดา ไม่ได้เป็นเนื้อร้ายหรือมะเร็งอะไรครับ แต่ก็มีบ้างที่เป็นมะเร็งนะครับ
วิธีการรักษาก็คือการผ่าตัดเอาออกครับ
ส่วนแนวทางการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองเป็นโรคนี้ก็มีการแนะนำดังนี้ครับ
อย่าลืมนะครับ ชีวิตนี้สั้นนัก แต่ก็ยาวพอให้เราทำอะไรได้เยอะแยะเลยครับ ทำวันนี้ให้ดีที่สุดและสนุกกับมันนะครับ พรุ่งนี้จะดูแลตัวมันเองครับผม สวัสดีขอรับ
หวังว่าวันนี้ทุกคนคงสบายดีนะครับ ฝนไม่ตกมาหลายวัน อากาศเริ่มร้อนขึ้นนิดหน่อยแล้ว ทำใจให้สบายๆจะได้ไม่ร้อนไปกับอากาศนะครับ
วันนี้เอาเรื่องที่มีฝรั่งคนหนึ่งเข้าไปโพสต์ในเฟสบุ้กของ VHL Family Aliance ไว้ว่าเค้ามีติ่งเนื้อในลำใส้ (Polyps, in intestine) ซึ่งเค้าก็ได้ถามสมาชิกคนอื่นๆ ว่ามีใครเคยเกิดอาการอย่างนี้บ้าง เค้าบอกว่าแพทย์บอกว่าเป็นติ่งเนื้อที่เกิดขึ้นเพราะคนไข้เป็นโรค VHL ครับ ซึ่งก็ยังไม่แน่ว่าจะเกิดจากโรคนี้จริงหรือไม่ มีสมาชิกท่านหนึ่งตอบว่าตัวเองก็เคยเป็นโรคนี้เหมือนกัน แต่ก็ไม่มีประวัติเป็นโรค VHL และจากข้อมูลที่ผมไปค้นคว้าเพิ่มเติมเอาเองจากอินเตอร์เน็ตก็ได้ความว่า โรคนี้อาจจะเกิดจากกรรมพันธุ์ แต่ไม่มีการกล่าวถึงโรค VHL แต่อย่างใดครับ ส่วนตัวผมเองก็ไม่เคยได้ยินครับว่าอาการของโรค VHL นี้จะมีการเกิดเนื้องอกขึ้นที่ลำใส้ด้วย คงรอข้อมูลที่มากขึ้นครับจึงจะสรุปได้ ถ้าพบเพิ่มขึ้นจะเอามาเล่าให้ฟังกันนะครับ
ติ่งเนื้อหรือเนื้องอกชนิดนี้อาจจะมีขนาดเล็กๆ เพียงแค่สองสามมิลลิเมตร ไปจนถึงสองนิ้วได้ครับ และส่วนใหญ่ก็เป็นแค่เนื้องอกธรรมดา ไม่ได้เป็นเนื้อร้ายหรือมะเร็งอะไรครับ แต่ก็มีบ้างที่เป็นมะเร็งนะครับ
วิธีการรักษาก็คือการผ่าตัดเอาออกครับ
ส่วนแนวทางการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองเป็นโรคนี้ก็มีการแนะนำดังนี้ครับ
- รับประทานอาหารหลากหลายและให้ครบทุกหมู่
- รับประทานอาหารที่มีเส้นใยมาก เช่น ผัก ผลไม้ หรือพวกธัญพืชชนิดต่างๆ เพราะเส้นใยหรือไฟเบอร์เหล่านี้จะช่วยชำระลำใส้ให้สะอาด ซึ่งก็มีผลโดยตรงต่อสุขภาพทำให้เราแข็งแรงครับ
- ดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพอ
- งดสูบบุหรี่
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- ศึกษาเรื่องโรคที่มีอยู่ในกรรมพันธุ์ของครอบครัว อันนี้เพื่อที่เราจะได้ระวังตัว และรู้ตัวเร็วเมื่อมีอาการของโรคแม้เพิ่งจะเกิดขึ้นนะครับ ซึ่งก็จะทำให้เข้ารับการรักษาได้ทันท่วงที
- เข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะเมื่อมีอายุมากขึ้น
อย่าลืมนะครับ ชีวิตนี้สั้นนัก แต่ก็ยาวพอให้เราทำอะไรได้เยอะแยะเลยครับ ทำวันนี้ให้ดีที่สุดและสนุกกับมันนะครับ พรุ่งนี้จะดูแลตัวมันเองครับผม สวัสดีขอรับ
วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555
กรรม
สวัสดีครับ
ค่ำวันพฤหัสนี้หวังว่าทุกคนคงยังมีความสดชื่นกันอยู่หลังจากผ่า่นการทำงานมาสี่วันของอาทิตย์นี้นะครับ ส่วนผมก็ไม่ค่อยสดเท่าไหร่ ง่วงตลอดครับ เป็นธรรมดาของผมไปแล้วครับที่จะต้องง่วงนอนอยู่ตลอดเวลา ที่ผ่านมาบางครั้งยังหลับในที่ประชุมเลยครับ .. แฮ่ะๆ ไม่ค่อยดีเท่าไรเลยนะครับ ผมเป็นอย่างนี้ประจำครับ ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน จะไปโทษเรื่องสุขภาพก็ไม่รู้จะโทษดีหรือเปล่า ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นอย่างนี้บ้างหรือไม่ เอามาเล่าสู่กันฟังในนี้บ้างนะครับ
วันนี้เอาเรื่องของกรรมหรือที่จริงก็คืออะไรก็ไม่ทราบเหมือนกัน มันเป็นอะไรที่ผมก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ก็นึกได้แค่เรื่องเดียวครับ ว่าคงเป็นเรื่องของกรรมนี่แหละ ที่เอาเรื่องนี้มาเขียนก็เพราะว่ามีเรื่องที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาผมเองเมื่อวานนี้ครับ เรื่องก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไร แต่ก็อยากเอามาแชร์กันในที่นี่ครับ ซึ่งเรื่องที่เกิดก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับรูปเจ้ากบน้อยข้างบนนี้หรอกนะครับ เอามาลงไว้เพราะมันดูน่ารักดี ตาโตดีครับ
เรื่องก็มีอยู่ว่าเมื่อวานนี้ตอนค่ำๆ ขณะที่ผมกำลังขับรถกลับบ้านอยู่นั้น ตอนที่ขับมาถึงใกล้ๆหมู่บ้านบนถนนเลียบคลองสาม รังสิต ก็มีรถยนต์กระบะจากฝั่งตรงข้ามจะออกจากซอยและตัดเข้าเลนที่ผมกำลังมุ่งหน้าไป ผมก็ชะลอรถเพื่อให้เค้าเข้าเลนมาได้ครับ เค้าก็ค่อยๆขับเข้ามาอย่างช้าๆเพราะรถมันติดมาก แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง ก็มีรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างคันหนึ่งขับตัดหน้ารถเค้าออกมาเพื่อจะข้ามไปอีกเลนหนึ่ง ที่จริงมอเตอร์ไซค์รับจ้างคันนี้ก็ขับช้าๆ ครับ และรถกระบะคันนี้ก็เห็นแล้วและชะลอรถให้มอเตอร์ไซค์ขับผ่านไปได้ แต่ปัญหาก็คือว่าพอมอเตอร์ไซค์รับจ้างโผล่ล้อหน้าออกมาพ้นเลนกลางได้นิดเีดียว ทันใดนั้นก็มีรถมอเตอร์ไซค์อีกคันหนึ่งซึ่งขับตรงเส้นกลางถนนพอดี พุ่งเข้ามาชนมอเตอร์ไซค์รับจ้างครับ ชนไม่แรงนัก แต่ทั้งคู่ก็รถล้มและคนก็กระเด็นไปกันคนละทาง ทั้งสองคนสวมหมวกกันน็อกครับ ก็เลยไม่เป็นอะไร แต่ก็เห็นมีเศษชิ้นส่วนจากรถมอร์เตอร์ไซค์ของคนใดคนหนึ่งหรืออาจจะจากรถของทั้งคู่กระจายอยู่บ้างเหมือนกันครับ ทั้งสองคนปลอดภัยดี แต่ปัญหาก็คือมีรถมอร์เตอร์ไซค์คันใดคันหนึ่งนี่แหละครับ เสียจังหวะและเซไปโดนรถกระบะคันนั้นเข้า ทั้งหมดก็เลยต้องจอดรถข้างทางและคุยกันว่าจะเอาอย่างไรกันดี ส่วนรถผมที่ตามมาติดๆ ปลอดภัยดีครับ... เรื่องก็มีเท่านี้นะครับ
ที่ผมคิดวนเวียนอยู่ในใจก็คือ ทำไมรถกระบะคันนั้นจึงโชคไม่ดี เข้ามาอยู่ข้างหน้าผมเพื่อที่จะถูกเฉี่ยว... เค้าขับเข้ามาหน้ารถผมได้แค่สามสิบวินาทีเท่านั้นเองครับ เหมือนกับว่าเข้ามาเพื่อจะถูกเฉี่ยว และเข้ามารับแทนผมอะไรอย่างนั้น ผมนึกเห็นใจเค้าครับ และก็งงงงกับเหตุการณ์ทั้งหมด แล้วก็ไม่รู้จะอธิบายเหตุการณ์นั้นอย่างไรดี ว่าเกิดจากเคราะห์กรรม หรืออะไร? อย่างไร?
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร หน้าที่ของเราที่เกิดมาแล้วก็คงเป็นเรื่องของการทำตัวให้พ้นจากความทุกข์ครับ ผมเชื่อว่าอย่างนั้นครับ ทำอย่างไรใจจะมีแต่ความสุข สุขจากความสงบ สว่างและสะอาดครับ ขอให้ทุกท่านมีกำลังใจที่เข้มแข็งและมีแต่รอยยิ้มตลอดไปครับ สวัสดีครับ
วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555
เรื่องของพี่ชาย
สวัสดีครับ
วันนี้นึกถึงเรื่องราวของพี่ชายคนที่เพิ่งผ่าสมองครั้งที่ 4 เสร็จไป จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาหนึ่งเดือนกับอีกสามวันเข้าไปแล้ว ก็ยังไม่กลับมาปกติเหมือนเดิมอย่างเช่นทุกๆ ครั้งที่ผ่านมาครับ ยังมีอาการมึนๆศีรษะอยู่ตลอดเวลา คุณหมออีกท่านหนึ่งที่ไม่ได้เป็นคนผ่าตัด ได้นัดให้ไปทำ CT อีกครั้ง เพื่อตรวจดูว่าเกิดจากอะไร จะเป็นเพราะสมองยังมีอาการบวมอยู่หรือเปล่า ก็ได้แต่ภาวนาครับ ให้พี่ชายหายดี และกลับมามีชีวิตอย่างปกติอีกครั้ง
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา พี่ชายคนนี้ก็ได้ไปไหว้ราหูที่วัดศีรษะทอง นครปฐมครับ ก็เป็นความเชื่อส่วนบุคคลครับ ที่อยากให้ตัวเองหายจากความทรมานนี้สักที
สำหรับวันนี้ผมอยากจะเขียนขอบคุณเว็บ Thaibraintumor.com ครับ ที่กรุณาเอาเรื่องราวที่ผมได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ไว้มาบอกต่อ จากการได้เข้าไปอ่านและบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองก็ทำให้ผมได้ทราบเรื่องราวของคนอื่นๆ อีกเยอะเลยครับ หลายๆ คนต้องประสบกับโรคและความทรมานที่มากกว่าผมด้วยซ้ำไป หลายคนก็ได้ให้กำลังใจครับ ต้องขอขอบคุณทุกท่านอีกครั้งที่ได้มาพูดคุยและให้ความเป็นกันเองอย่างมากอย่างนี้ เช่นเดียวกันครับ ผมก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่าน ทั้งที่ต้องต่อสู้กับโรคต่างๆ และที่ต้องต่อสู้กับชีวิตต่อไป ไม่ว่าจะเรื่องอะไรครับ ขอให้ทุกท่านมีกำลังใจและสนุกกับการใช้ชีวิตนะครับ
สำหรับโรค VHL นี้ เท่าที่อ่านจาก facebook ของ VHL Family Alliance มานั้น พบว่าโรคนี้นั้นทำให้เกิดอาการต่างๆ ทุกรูปแบบครับ ทั้งตาบอด ตัดไต มะเร็งไต เนื้องอกไต เนื้องอกตับอ่อน ไตวาย ผ่าสมอง ผ่าเนื้องอกไขสันหลัง และอื่นๆ อีกมากมายครับ ที่อเมริกาตอนนี้ก็ยังไม่มีทางรักษาหายเหมือนกัน ก็รักษาไปตามอาการครับ และแทบทั้งหมดก็ต้องเข้ารับการผ่าตัดเอาก้อนเนื้อนี้ออกไปครับ
แล้วพบกันใหม่ครับ สวัสดีครับ
วันนี้นึกถึงเรื่องราวของพี่ชายคนที่เพิ่งผ่าสมองครั้งที่ 4 เสร็จไป จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาหนึ่งเดือนกับอีกสามวันเข้าไปแล้ว ก็ยังไม่กลับมาปกติเหมือนเดิมอย่างเช่นทุกๆ ครั้งที่ผ่านมาครับ ยังมีอาการมึนๆศีรษะอยู่ตลอดเวลา คุณหมออีกท่านหนึ่งที่ไม่ได้เป็นคนผ่าตัด ได้นัดให้ไปทำ CT อีกครั้ง เพื่อตรวจดูว่าเกิดจากอะไร จะเป็นเพราะสมองยังมีอาการบวมอยู่หรือเปล่า ก็ได้แต่ภาวนาครับ ให้พี่ชายหายดี และกลับมามีชีวิตอย่างปกติอีกครั้ง
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา พี่ชายคนนี้ก็ได้ไปไหว้ราหูที่วัดศีรษะทอง นครปฐมครับ ก็เป็นความเชื่อส่วนบุคคลครับ ที่อยากให้ตัวเองหายจากความทรมานนี้สักที
สำหรับวันนี้ผมอยากจะเขียนขอบคุณเว็บ Thaibraintumor.com ครับ ที่กรุณาเอาเรื่องราวที่ผมได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ไว้มาบอกต่อ จากการได้เข้าไปอ่านและบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองก็ทำให้ผมได้ทราบเรื่องราวของคนอื่นๆ อีกเยอะเลยครับ หลายๆ คนต้องประสบกับโรคและความทรมานที่มากกว่าผมด้วยซ้ำไป หลายคนก็ได้ให้กำลังใจครับ ต้องขอขอบคุณทุกท่านอีกครั้งที่ได้มาพูดคุยและให้ความเป็นกันเองอย่างมากอย่างนี้ เช่นเดียวกันครับ ผมก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่าน ทั้งที่ต้องต่อสู้กับโรคต่างๆ และที่ต้องต่อสู้กับชีวิตต่อไป ไม่ว่าจะเรื่องอะไรครับ ขอให้ทุกท่านมีกำลังใจและสนุกกับการใช้ชีวิตนะครับ
สำหรับโรค VHL นี้ เท่าที่อ่านจาก facebook ของ VHL Family Alliance มานั้น พบว่าโรคนี้นั้นทำให้เกิดอาการต่างๆ ทุกรูปแบบครับ ทั้งตาบอด ตัดไต มะเร็งไต เนื้องอกไต เนื้องอกตับอ่อน ไตวาย ผ่าสมอง ผ่าเนื้องอกไขสันหลัง และอื่นๆ อีกมากมายครับ ที่อเมริกาตอนนี้ก็ยังไม่มีทางรักษาหายเหมือนกัน ก็รักษาไปตามอาการครับ และแทบทั้งหมดก็ต้องเข้ารับการผ่าตัดเอาก้อนเนื้อนี้ออกไปครับ
แล้วพบกันใหม่ครับ สวัสดีครับ
วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555
กลับไปเวียดนามอีกครั้ง โฮจิมินห์ยังน่าอยู่เหมือนเดิม
สวัสดีครับ เช้าวันเสาร์ที่แสนสบาย
ผมเพิ่งกลับจากเวียดนามมาถึงเมื่อคืนนี้ตอนดึกๆ ครับ ไปประชุมกับผู้ร่วมงานชาวเวียดนามที่เมืองโฮจิมินห์หรือไซ่ง่อนครับ เป็นเมืองที่เจริญมากๆทางตอนใต้ของเวียดนาม ผมเคยไปทำงานแบบประจำอยู่ที่นั่นเลย 3 ปีครับ ช่วงปี 49-51 ซึ่งบรรยากาศของเมืองและความเป็นอยู่นั้นสบายๆ และมีเสน่ห์ดีครับ เป็นเมืองเล็กๆ มี่เต็มไปด้วยรถมอเตอร์ไซค์ ที่่ขับกันอย่างสบายๆ ไม่เร่งรีบ ดูภายนอกเหมือนวุ่นวายแต่ที่จริงมันก็มีระเบียบอยู่ในตัวมันเองครับ ... ฟังดูงงๆ แต่ผมรู้สึกอย่างนั้นครับ
เอารูปเฝอหรือก๋วยเตี๋ยวเวียดนามมาลงให้ดูกันครับ ส่วนใหญ่ที่เวียดนามคนจะทานเฝอเนื้อวัวกันมาก นอกจากเนื้อก็จะมีเฝอไก่บ้าง แต่ที่เป็นปลาหรือหมูไม่มีครับ ผมทานแรกๆก็รู้สึกแปลกๆ เพราะรสชาติไม่เหมือนก๋วยเตี๋ยวบ้านเรา แต่พอนานๆ ไปก็ชอบครับ เราสามารถปรุงรสเองด้วยเหมือนกันนะครับ เครื่องปรุงก็มีอย่างเช่น ซ้อสมะเขือเทศ กับซ้อสอะไรอีกอย่างซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่าทำมาจากอะไร แต่เห็นเป็นสีคล้ำๆ หนืดๆ และยังมีมีมะนาว มีพริกสดหั่นเป็นชิ้นใหญ่ๆ ให้ด้วย ปกติพริกสดพวกนี้จะเผ็ดมากครับ บางครั้งแค่ใส่เข้าไปน้ำซุปก็มีรสเผ็ดแล้ว แต่ถ้าจะให้มันก็ต้องทานพริกสดๆพวกนี้เข้าไปด้วยครับ... นอกจากเครื่องปรุงเหล่านี้แล้ว ก็ยังมีผักสดชนิดต่างๆด้วย เช่นถั่วงอก ผักชีฝรั่ง หรือพวกใบโหระพาเป็นต้นครับ ทานบ่อยๆเข้าก็ต้องบอกว่าติดใจ และ "อร่อยมาก" ครับ
อาหารเวียดนามส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีน้ำมันครับ ทำให้เวลาทานไม่ต้องคิดมากว่าจะได้รับน้ำมันส่วนเกินมากเกินไป และก็ไม่เลี่ยนด้วย อาหารอีกอย่างหนึ่งที่ผมชอบมากก็คือผัดผักบุ้งครับ ที่เวียดนามผัดผักบุ้งจะใส่แค่กระเทียมสดทุบเป็นชิ้นเล็ก แต่ไม่ถึงกับละเอียดนะครับ ใส่ไม่มากเท่าไหร่ แค่พอได้กลิ่นหอมๆ และดูเหมือนว่าจะใส่เกลือด้วยนิดหน่อย ใ่ส่น้ำมันน้อยมาก จึงกินได้อย่างสบายใจ และกิน กิน กิน อย่างเอร็ดอร่อยครับ ฮ่าๆ ที่โน่นเวลาทานข้าวใช้ตะเกียบครับ ดังนั้นเวลามีพวกน้ำๆ ก็จะมีถ้วยเล็กๆให้ตักใส่ส่วนตัว แล้วก็ซดกันเลยโลด ...
กลับไปเวียดนามคราวนี้ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิมครับ ที่เปลี่ยนไปก็คงจะมีแค่มีตึกใหญ่ๆ ผุดขึ้นมาอีกสองสามแห่ง ไม่มากมายอะไรเลย รถมอเตอร์ไซค์ก็ยังวิ่งกันเต็มถนนเหมือนเดิม ได้เจอเพื่อนๆเวียดนาม ทุกคนก็ยังน่ารัก และเป็นมิตรมากๆ ตอนกลับเพื่อนๆก็ซื้อกาแฟซองแบบพร้อมปรุง ยี่ห้อ G7 ที่หอมมากๆ และเข้มข้นด้วย ฝากให้มาหลายกล่องเลย นอกจากนั้นก็ยังซื้อเม็ดบัวอบแห้งให้มาอีกต่างหาก ให้มาสองถุงใหญ่ๆ พอเอาของใส่ในเป้ที่ผมใช้ใส่เสื้อผ้าไปใบเีดียวก็เลยเต็มแบบแทบล้นออกมา และหนักขึ้นอีกเยอะเลย อย่างนี้คราวหน้าต้องซื้อกระเป๋าล้อลากแทนซะแล้วครับ
แถมอีกนิดนะครับ คือตอนพักงานตอนเที่ยงได้คุยกันกับเพื่อนชาวเีวียดนามเกี่ยวกับชากาแฟนิดหน่อย เพราะเราพักดื่มกาแฟกัน เพื่อนเวียดนามก็คุยให้ฟังว่าชาเป็นเครื่องดื่มที่นิยมในเวียดนามมากกว่ากาแฟครับ โดยเฉพาะชาเขียว ที่ดื่มกันเป็นประจำเลย และเวลาชงบางคนก็จะชอบเด็ดยอดชาอ่อนสดๆ มาใส่ลงในถ้วยน้ำชาที่ชงจากใบชาแห้งด้วย ฟังแล้วรู้สึกถึงศิลปะของการดื่มชาของชาวเีวียดนามเลยนะครับ ส่วนกาแฟเค้าก็บอกว่ากาแฟของชาวเีวียดนามที่ดื่มกันเองจะชงเข้มกว่าที่บริการให้กับชาวต่างชาติครับ เค้าไม่ได้ตั้งใจจะแบ่งแยกอะไรนะครับ แค่กำลังจะบอกว่าปกติคนเวียดนามดื่มกาแฟเข้มข้นมากๆ เท่านั้นเอง แล้วคุยกันใหม่ครับ ยังมีเรื่องราวอีกเยอะเลย สวัสดีครับ
วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2555
คนโบกรถ(จราจร)อิสระที่จาการ์ตา อินโดนีเซีย
สวัสดีครับ
บ่ายแก่ๆวันอาทิตย์ ช่วงนี้เป็นช่วงเริ่มต้นของฤดูฝน อากาศกำลังดีนะครับ ตอนนี้ที่บ้านแดดไม่ค่อยมี ท้องฟ้ามีเมฆดำๆ เต็มไปหมดและลมก็พัดมาตลอด กำลังเย็นสบายเลยครับ วันนี้จะเขียนเรื่องที่ไปกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซียให้อ่านกันครับ เพิ่งกลับมาถึงเมื่อวานเย็นครับ ไปทำงานครับ พอเสร็จงานก็กลับเลย ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนหรอกครับ อยู่แต่ในเมืองหลวงของอินโดฯ
สภาพทั่วไปของเมืองก็คล้ายๆ กรุงเทพบ้านเราครับ รถเยอะและในชั่วโมงเร่งด่วนก็ติดหนึบเหมือนกัน แต่โชคดีที่ไปพักในโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆที่ทำงานครับ ก็เลยไม่ต้องนั่งรถนานเกินไป นั่งแท็กซี่ก็แค่ประมาณ 10 นาทีก็ถึงครับ นั่งแท็กซี่มิเตอร์ครับ ค่ารถเริ่มต้นอยู่ที่ 6000 รูเปีย เป็นเงินบาทก็ประมาณ 20 บาทครับ ปกติระยะทางใกล้ๆ อย่างตอนที่ผมไปก็จ่ายประมาณ 15,000 รูเปีย ก็ประมาณใกล้ๆ 50 บาทครับ ส่วนใหญ่แท็กซี่ที่พบโดยมากก็จะเป็น โตโยต้า วีออสครับ สีฟ้าๆเหมือนที่เห็นในรูปข้างบนนี้แหละครับ ไม่เหมือนบ้านเราที่ใช้โตโยตา อัลติส ลิโม เป็นส่วนใหญ่
และด้วยสภาพการจราจรที่ติดหนักหนาสาหัสคล้ายๆบ้านเรา ที่นี่ก็เลยมีอาชีพเบาๆเกิดขึ้นอย่างหนึ่งนั่นก็คือจราจรสมัครเล่นครับ ที่บอกว่าเบาๆก็เพราะว่าคนที่มาทำก็ทำเพียงบางช่วงเวลาเท่านั้นและอาจจะทำแบบว่าอยากทำก็ทำ พอแล้วก็หยุดครับ จราจรที่ว่านี้ก็คือชาวบ้านธรรมดาทั่วไปนี่แหละครับ จากที่เห็นผมรู้สึกว่าใครอยากทำก็ทำได้ แต่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าต้องผ่านการฝึกฝนอะไรหรือเปล่านะครับ เพราะการแต่งกายก็ธรรมดาเหมือนคนที่ต้องใช้ถนนทั่วไปนี่แหละครับ แต่เท่าที่เห็นส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้ชายหนุ่มๆครับ มักจะยืนอยู่ริมๆถนนตรงที่เป็นทางที่มีรถจะเลี้ยวออกถนนใหญ่ หรือตามที่กลับรถครับ เค้าก็จะไปยืนโบกรถให้หลบไป เพื่อให้รถที่จะขับออกถนนใหญ่ ออกมาได้ เหมือนจราจรบ้านเราเปี๊ยบเลยครับ แล้วรถที่จะเลี้ยว พอเลี้ยวออกมาได้ก็อาจจะให้ค่าสินน้ำใจเล็กๆ น้อย เช่น 500 รูเปีย (2บาท) หรือมากกว่านั้น แล้วแต่อารมณ์ครับ ผมเห็นหลายๆคนก็ไม่เห็นให้เลย ที่จริงก็น่าจะให้สักนิดก็ยังดีนะครับ แต่ก็บางทีก็ว่าไม่ได้เหมือนกัน เพราะว่าถ้ารถทุกคันมัวแต่ให้เงิน รถที่ตามมาก็จะติดกันยาวเหยียดอีก เพราะต้องชะลอรถครับ เสียเวลาแย่เลย
ยังมีเรื่องราวอะไรที่น่าสนใจอีกหลายเรื่องครับ เอาไว้คราวหน้าผมจะเอามาเล่าให้ฟังอีกนะครับ สำหรับวันนี้ลาก่อนครับ Until next time, สวัสดีครับ
วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2555
พี่ชายผ่าเนื้องอกในสมองครั้งที่ 4
สวัสดีครับ
nationalgeographic.com
ไม่ได้เขียนในบล็อกก็นานมากเลยนะครับ ช่วงที่ผ่านมามีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายครับ ส่วนตัวผมก็เดินทางไปทำงานต่างประเทศบ่อยๆ ทั้งใกล้และไกลครับ นี่ก็ใกล้จะเดินทางอีกแล้ว คราวนี้จะไปเมืองจาการ์ต้า อินโดนีเซียครับ คราวนี้ไป 5 วัน หวังว่าคงจะได้เก็บเรื่องราวเอามาฝากกันบ้างนะครับ
สำหรับวันนี้อยากจะเอาเรื่องของพี่ชายมาเล่าสู่กันฟังนิดหน่อยครับ พี่ชายผมเพิ่งผ่านการผ่าตัดสมองเอาเนื้องอกออกไปเมื่อประมาณ 3 อาทิตย์ที่ผ่านมานี้เองครับ เป็นครั้งที่ 4 ของแกแล้ว ซึ่งจำนวนครั้งก็เท่ากับผม ที่ผ่ามา 4 ครั้งแล้วเช่นกัน การผ่าตัดคราวนี้ของพี่ชายไม่ค่อยจะราบรื่นเหมือนครั้งที่แล้วๆมาครับ เพราะว่าคราวนี้มีเนื้องอกที่โตมีขนาดใกล้ๆกันที่หมอจะเอาออกอยู่ 2 ก้อนครับ แต่หมอก็หนักใจที่ทั้งสองก้อนมันอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกันแบบเหนือกับใต้ที่สมองส่วนหลังครับ ซึ่งพอผ่าจริงๆ ก็เหมือนที่คาดไว้ครับคือยาก และสุดท้ายก็เอาออกไปเพียงก้อนเดียวในคราวนี้ ออกจากห้องผ่าตัดคราวนี้พี่ชายผมมีอาการไม่ค่อยดีนัก นอนปวดและมึนพร้อมกับมีอาเจียรอยู่ตลอด พี่ชายอายุ 43 ปีแล้วครับ ซึ่งอายุอาจจะมีส่วนที่ทำให้ร่างกายฟื้นตัวช้าลงด้วย อีกอย่างแกก็ทำงานค่อนข้างหนักครับ เปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวซึ่งขายตอนบ่ายแก่ๆ และปิดเอาตอนเกือบรุ่งเช้าครับ และลักษณะการทำงานร้านอาหารอย่างนี้ก็อย่างที่เห็น คืองานหนักครับ ต้องวุ่นอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะช่วงที่ลูกค้ามาเยอะๆ ก็จะยุ่งเป็นพิเศษ อาจจะเพราะว่าพอเป็นอย่างนี้ทุกวันเป็นเวลานานหลายปีร่างกายก็เลยล้าครับ พอมาผ่าสมองทีก็เลยบอบช้ำนานหน่อย
แต่ก็มีข่าวดีครับ วันสองวันมานี้แกก็ดีขึ้นเยอะ เริ่มจะหายปวดหัว แต่ก็ยังมึนอยู่ครับ แต่แค่นี้ผมก็ดีใจมากครับ ที่ทราบอย่างนี้ เพราะนั่นแสดงว่าเริ่มจะฟื้นแล้วครับ แสดงว่าร่างกาย"เอาอยู่" ครับ แต่ที่ยังห่วงอยู่นิดก็คือว่า แล้วเนื้องอกอีกก้อนที่เหลืออยู่จะทำอย่างไรครับ... สงสัยอีกไม่นานคงต้องมาผ่าอีกรอบ
ชีวิตก็ต้องลุยกันต่อไปครับ ตราบใดที่ระฆังยังไม่หมดยกเราก็ต้องเดินหน้ากันต่อไป ตายนั้นมันง่ายเกินไปครับ ยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะนะครับ
แล้วพบกันใหม่ครับ สวัสดีครับ
nationalgeographic.com
ไม่ได้เขียนในบล็อกก็นานมากเลยนะครับ ช่วงที่ผ่านมามีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายครับ ส่วนตัวผมก็เดินทางไปทำงานต่างประเทศบ่อยๆ ทั้งใกล้และไกลครับ นี่ก็ใกล้จะเดินทางอีกแล้ว คราวนี้จะไปเมืองจาการ์ต้า อินโดนีเซียครับ คราวนี้ไป 5 วัน หวังว่าคงจะได้เก็บเรื่องราวเอามาฝากกันบ้างนะครับ
สำหรับวันนี้อยากจะเอาเรื่องของพี่ชายมาเล่าสู่กันฟังนิดหน่อยครับ พี่ชายผมเพิ่งผ่านการผ่าตัดสมองเอาเนื้องอกออกไปเมื่อประมาณ 3 อาทิตย์ที่ผ่านมานี้เองครับ เป็นครั้งที่ 4 ของแกแล้ว ซึ่งจำนวนครั้งก็เท่ากับผม ที่ผ่ามา 4 ครั้งแล้วเช่นกัน การผ่าตัดคราวนี้ของพี่ชายไม่ค่อยจะราบรื่นเหมือนครั้งที่แล้วๆมาครับ เพราะว่าคราวนี้มีเนื้องอกที่โตมีขนาดใกล้ๆกันที่หมอจะเอาออกอยู่ 2 ก้อนครับ แต่หมอก็หนักใจที่ทั้งสองก้อนมันอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกันแบบเหนือกับใต้ที่สมองส่วนหลังครับ ซึ่งพอผ่าจริงๆ ก็เหมือนที่คาดไว้ครับคือยาก และสุดท้ายก็เอาออกไปเพียงก้อนเดียวในคราวนี้ ออกจากห้องผ่าตัดคราวนี้พี่ชายผมมีอาการไม่ค่อยดีนัก นอนปวดและมึนพร้อมกับมีอาเจียรอยู่ตลอด พี่ชายอายุ 43 ปีแล้วครับ ซึ่งอายุอาจจะมีส่วนที่ทำให้ร่างกายฟื้นตัวช้าลงด้วย อีกอย่างแกก็ทำงานค่อนข้างหนักครับ เปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวซึ่งขายตอนบ่ายแก่ๆ และปิดเอาตอนเกือบรุ่งเช้าครับ และลักษณะการทำงานร้านอาหารอย่างนี้ก็อย่างที่เห็น คืองานหนักครับ ต้องวุ่นอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะช่วงที่ลูกค้ามาเยอะๆ ก็จะยุ่งเป็นพิเศษ อาจจะเพราะว่าพอเป็นอย่างนี้ทุกวันเป็นเวลานานหลายปีร่างกายก็เลยล้าครับ พอมาผ่าสมองทีก็เลยบอบช้ำนานหน่อย
แต่ก็มีข่าวดีครับ วันสองวันมานี้แกก็ดีขึ้นเยอะ เริ่มจะหายปวดหัว แต่ก็ยังมึนอยู่ครับ แต่แค่นี้ผมก็ดีใจมากครับ ที่ทราบอย่างนี้ เพราะนั่นแสดงว่าเริ่มจะฟื้นแล้วครับ แสดงว่าร่างกาย"เอาอยู่" ครับ แต่ที่ยังห่วงอยู่นิดก็คือว่า แล้วเนื้องอกอีกก้อนที่เหลืออยู่จะทำอย่างไรครับ... สงสัยอีกไม่นานคงต้องมาผ่าอีกรอบ
ชีวิตก็ต้องลุยกันต่อไปครับ ตราบใดที่ระฆังยังไม่หมดยกเราก็ต้องเดินหน้ากันต่อไป ตายนั้นมันง่ายเกินไปครับ ยังมีอะไรให้ทำอีกเยอะนะครับ
แล้วพบกันใหม่ครับ สวัสดีครับ
วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2555
ไปกรุงย่างกุ้ง ประเทศพม่า
สวัสดีครับ
ผมกลับจากเมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่ามาเมื่อวันพุธที่ผ่านมานี่เองครับ ไปทำงานครับ ประชุมกับผู้ร่วมทุนของบริษัท ผมเพิ่งไปเมืองย่างกุ้งเป็นครั้งแรกครับ จะเรียกว่าเข้าประเทศพม่าเป็นครั้งแรกก็ไม่น่าจะผิดสักเท่าไรเพราะว่าคราวก่อนหน้านั้นเข้าไปเที่ยวแค่ชายแดนตรงด่านเจดีย์สามองค์ครับ เข้าไปนิดเดียวเอง และไม่ต้องใช้พาสปอร์ต หรือหนังสือเดินทางแต่อย่างใดครับ
ย่างกุ้งเคยเป็นเมืองหลวงของพม่ามาก่อนครับ แต่ในปัจจุบันพม่าได้ย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เมือง เนปิดอ แล้วครับ ย้ายไปตั้งแต่ปี 2548 ครับ แต่ในเมื่อกรุงย่างกุ้งเคยเป็นเมืองหลวงมาก่อนจึงทำให้เมืองนี้ยังเป็นเมืองเศรษฐกิจอยู่นะครับ
ผมจะเล่าถึงเกร็ดเล็กๆน้อยๆที่ได้ไปเจอมาและประทับใจในเมืองย่างกุ้งให้ฟังกันนะครับ ที่อยากเอามาเล่าก็เพราะว่าเมื่อได้ไปสัมผัสมาแล้ว ผมประทับใจครับ ชอบครับ อย่างแรกที่ไปเจอก็คือที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง (Immigration) ครับ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง นั่งทำงานกันอย่างใจเย็นมาก แทบไม่มีการซักถามคนที่เข้ามาตรวจเลยครับ และที่สังเกตได้ชัดเจนก็คือขั้นตอนนี้ใช้เวลาค่อนข้างนาน แต่ก็ดูบรรยากาศไม่เร่งรีบและไม่เครียดครับ สบายๆ เจ้าหน้าที่ถามผมคำเดียวว่าเข้ามาเป็นครั้งแรกใช่มั้ย ผมก็ตอบว่าใช่ แค่นั้นแหละครับ ไม่มีการถามอะไรต่อ...
อีกอย่างที่ชอบก็คือเมืองนี้ไม่มีรถมอเตอร์ไซค์ครับ เห็นว่าโดนสั่งห้าม ซึ่งพอเป็นอย่างนี้ก็เลยไม่เครียดไปกับการขับปาดไปปาดมาและดูน่าหวาดเสียวเหมือนบ้านเรา ผมไม่แน่ใจว่านอกเมืองเค้าอนุญาตให้ขับกันได้หรือเปล่านะครับ ที่จริงก็น่าเห็นใจชาวบ้านที่มีตังน้อย เพราะก็คงต้องจำใจใช้บริการขนส่งมวลชนกันอย่างเดียว และก็คงไม่ค่อยสะดวกในการเดินทางสักเท่าไรถ้าเป็นที่ที่ไม่มีรถเมล์เข้าถึง
เรื่องสุดท้ายคือผมไปไหว้พระที่เจดีย์ชเวดากองมาครับ เป็นสถานที่เคารพทางศาสนาพุทธที่ใหญ่โตและน่าเลื่อมใสมาก มีเจดีย์องเล็กๆเรียงรายอยู่รอบๆอย่างเป็นแบบแผน ถ้าดูจากภาพถ่ายทางอากาศจะเห็นแผนผังที่สวยงามมากครับ และเมื่อได้เข้าไปชมของจริงก็ยิ่งประทับใจกับความใหญ่โต สวยงามและความงามอย่างน่าเลื่อมใสศรัทธาครับ ค่าเข้าชม 5 ดอลล่าสหรัฐครับ วันที่ผมเข้าไปชมมีนักท่องเที่ยวมาชมกันเยอะมากครับ ทั้งเอเชีย และฝรั่ง แทบทุกคนจะมีกล้องถ่ายรูป และถ่ายกันใหญ่เลย ต้องเดินหลบกันไปมาให้วุ่นไปหมดเลยครับ ที่จริงเรื่องราวของเจดีย์ชเวดากองนั้นมีอีกมากครับ แต่ผมคงจะเอามาเล่าต่อวันหน้านะครับ สวัสดีครับ..
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)