วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ไปเรื่อยๆ ถ้ายังไปได้

                   อาคารวัฒนธรรมของชนเผ่าเมารี (Maori) ที่เมือง Dunedin เกาะใต้ของนิวซีแลนด์

สวัสดีครับ

เพิ่งมีโอกาสกลับมาเขียนเรื่องราวเล่าสู่กันฟังกันอีกครั้งหลังจากที่เดินทางไปทำงานในสามประเทศในช่วงเวลาสิบวันที่ผ่านมาครับ ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องเดินทางจริงๆครับ งานเข้ามากองรวมๆ กันช่วงนี้พอดี ไม่มีปัญหาครับ ทำร่างกายให้แข็งแรงเท่านั้นเป็นพอ ซึ่งก็ไม่ใช่ง่ายๆหรอกนะครับ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังครับ เพื่อเป็นข้อคิดในเรื่องของการดูแลสุขภาพในช่วงที่ต้องเดินทางกันไกลๆ และมีเวลา (time zone) ที่ต่างกันครับ โดยเฉพาะสำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวานอย่างผมอยู่แล้วด้วย...

ผมมีโปรแกรมต้องเดินทางไปทำงานที่ประเทศเวียดนาม อินโดนีเซียและนิวซีแลนด์ในช่วงสิบวันที่ผ่านมานี้ครับ อย่างที่บอกครับว่างานมันเข้ามาพร้อมๆกันพอดีในช่วงนี้ สิ่งที่ผมกังวลเล็กน้อยสำหรับช่วงแห่งการเดินทางนี้ก็คือเรื่องของการทานยาและการคุมอาหารครับ ซึ่งสำหรับคนที่เป็นเบาหวานมานานอย่างผมแล้ว เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ เพราะว่าความยากลำบากในการควบคุมการกินยาให้ตรงเวลาและทานอาหารให้เป็นเวลาจะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอนครับ ทำไมน่ะหรือครับ ก็เพราะว่าเวลาต้องเดินทางโดยเครื่องบิน ทำให้เราไม่สามารถควบคุมการทานอาหารให้เป็นเวลาได้เหมือนที่เราทำตอนที่ไม่ต้องไปไหนน่ะสิครับ อย่างเช่น ถ้าต้องขึ้นเครื่องบินเที่ยวบิน 8 โมงเช้า เราก็ต้องไปถึงสนามบินเพื่อเช็คอินตอน 6 โมงเช้า ซึ่งกว่าจะได้ทานอาหารเช้าบนเครื่องบินก็เกือบ 9 โมงเช้าเข้าไปแล้ว ซึ่งผิดเวลาอาหารเช้าปกติของบางคน แล้วบางครั้งก็อาจจะไม่ใช่อาหารเช้าเต็มรูปแบบ แบบที่เราเคยทานตอนอยู่ที่บ้านอีก เช่น บางครั้งถ้าเป็นระยะทางบินสั้นๆ ก็ได้แค่อาหารว่างแค่นั้นเอง ซึ่งอย่างนี้ก็ทำให้การทานอาหารของเราเปลี่ยนแปลงไปแล้ว แล้วการทานยาล่ะ ก็ต้องมีผลใช่ไหมครับ รับประทานอาหารน้อยแต่ต้องกินยาลดน้ำตาลในเลือด อย่างนี้มีโอกาสเกิดอาการน้ำตาลต่ำได้ง่ายๆ ยิ่งอยู่ในช่วงเดินทางในต่างประเทศอีกต่างหาก เห็นมั้ยครับว่าไม่ง่ายเลย

อีกตัวอย่าง ก็อย่างเช่น ช่วงเวลาที่ต่างกันครับ ในประเทศที่พระอาทิตย์ขึ้นก่อนเมืองไทย เราก็ต้องตื่นเร็วขึ้น นอนเร็วขึ้น ทานอาหารเร็วขึ้น งั้นก็ต้องทานยาเร็วขึ้นด้วย และเวลาก็เปลี่ยนไปด้วย ใช่ไหมครับ อย่างนี้นี่เองที่ทำให้การทานอาหารและการกินยาของเราไม่ตรงกับเวลาเดิมและสร้างปัญหาให้ผมไม่ใช่น้อยเลยเช่นกันครับ ในภาวะอย่างนี้เราต้องเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลาเรื่องการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ดี เพราะจากที่เราเคยทานข้าวเย็นตอนหนึ่งทุ่ม เราก็อาจจะต้องทานข้าวเย็นตอนบ่ายโมง (เพราะมันเป็นตอนเย็นของประเทศนั้นแล้ว) เป็นต้น แล้วเราก็เข้านอนตอนห้าโมงเย็น แล้วก็ตื่นตอนเที่ยงคืนเพื่อจะไปทำงานตอนตีสอง... เห็นมั้ยครับว่ามันเปลี่ยนไปหมดจริงๆ

อย่างไรก็ตามอย่างที่บอกตอนแรกครับ ว่าเราต้องเตรียมพร้อมเรื่องการทานอาหาร การทานยาให้ดี ผมก็พยายามครับ แต่ทุกครั้งที่กลับจากต่างประเทศ น้ำตาลเช้าขึ้นทุกทีเลยครับ...

สวัสดีครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น