สวัสดีครับ ตามที่บอกไว้ว่าจะมาเล่าเรื่องการผ่าตัดต่อมหมวกไตขวาและไตซ้ายให้อ่านกัน วันนี้ก็มาตามสัญญาครับ แผลแรกหลังจากที่หมอทราบว่าอะไรเป็นอะไร คือป่วยด้วยโรคอะไรมา ก็คือผ่าตัดต่อมหมวกไตข้างขวาทิ้งครับ ที่ต่อมหมวกไตข้างขวาของผมมันมีเนื้องอก (pheochromocytoma) และซีสต์เยอะแยะไปหมดเลยครับ ซึ่งเจ้าเนื้องอกที่ต่อมหมวกไตนี้คุณหมอสันนิษฐานว่าเป็นตัวการทำให้ความดันสูงด้วย และมันเป็นเนื้องอกที่อันตราย แต่ผมก็ไม่ทราบว่าอันตรายขนาดไหนอย่างไรนะครับ สรุปก็คือต้องเอาออกครับ คุณหมอผ่าเจ้าก้อนนี้ก่อนเลย ตอนรู้สึกตัวหลังผ่าตัดเสร็จใหม่ๆ มีสายระโยงระยางเต็มไปหมดเลยครับ ทั้งสายอ๊อกซิเจน สายน้ำเกลือ สายยาแก้ปวดที่ไขสันหลัง สายปัสสาวะ สายระบายเลือดที่ใต้แผลด้านขวาใกล้ๆบั้นเอวค่อนไปทางด้านข้าง มีแผลเจาะพร้อมใส่เข็มที่จะให้น้ำเกลืออยู่ที่คอ ที่แขนข้างละสองอันทั้งสองแขน และให้น้ำเกลือไว้หนึ่งเข็มครับ โอย เยอะมากๆ
ดังนั้นทั้งต่อมหมวกไตขวาและเนื้องอกที่เกิดอยู่ด้วยกันก็ถูกกำจัดทั้งคู่ ตอนนี้เหลือต่อมหมวกไตข้างซ้ายอยู่ข้างเดียวครับ
ส่วนแผลที่ผ่าตั้งแต่ใต้ลิ้นปี่ยาวลงไปดังที่เห็นในรูปนั่นก็ยาวน่าดูครับ มีแม็กซ์เย็บแผล (ใช้ทางการแพทย์เท่านั้น) เย็บแผลอยู่นับได้ 20 ตัวพอดีครับ พรุ่งนี้จะมาเล่าเรื่องแม็กซ์นี่แหละครับ ว่าทำไมและอย่างไร?
เรื่องแผลนี่เจ็บเหมือนกันครับ แต่ช่วงแรกๆหมอให้ยาแก้ปวดอยู่ครับ ทำให้ไม่ปวดมาก ยาแก้ปวดนี้ที่จริงแล้วให้ที่ไขสันหลังตั้งแต่ก่อนผ่าตัดเลยนะครับ ตอนที่อยู่บนเตียงในห้องผ่าตัดเค้าก็ใส่ให้แล้วครับ เสียวเหมือนกันเพราะต้องทำตัวงอๆแล้วฉีดเข้าไปที่ไขสันหลัง... อ้ากก... นัยว่าเป็นเพราะการผ่าตัดจะเจ็บปวดค่อนข้างมากครับ เลยต้องดูแลกันเป็นพิเศษ ส่วนแผลที่ว่านี่ช่วงสองสามวันแรกห้ามไอห้ามหัวเราะเด็ดขาดครับ เพราะว่าจะเจ็บและทรมานมากๆ ทั้งภายนอกและภายใน... สุดๆครับ ดังนั้นถึงแม้ญาติๆจะหาเรื่องตลกมาเล่าเพื่อให้สบายใจก็ต้องอดใจเอาไว้ฟังกันวันหลังครับ รอให้แผลดีขึ้นก่อน โอย ทรมานน่าดู
แล้วพบกันใหม่นะครับ ยังมีเรื่องเล่าอีกเยอะเลยครับ หลับฝันดีกันทุกคนครับ สวัสดีครับ
วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2555
วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2555
เล่าเรื่องผ่าตัดไต
สวัสดีครับ สองสามวันต่อไปนี้ว่าจะเอาเรื่องการผ่าตัดไตของผมเองมาเล่าให้ฟังกันนะครับ เอาเฉพาะเกร็ดเล็กๆน้อยๆแบบสนุกๆน่ะครับ ไม่ซีเรียสอะไร จะว่าไปตอนนี้ผมก็โชคดีที่ผ่านการผ่าตัดมาได้อย่างปลอดภัย ก็ต้องนึกซะว่าชีวิตยังมีอะไรให้สนุกอีกเยอะ จะได้ไม่เครียด คุณหมอกับทีมก็เก่งครับ ก็ต้องขอบคุณทางทีมคุณหมอด้วย แล้วจะเอามาเล่าต่อวันพรุ่งนี้นะครับ อย่าเพิ่งเบื่อไปก่อนล่ะครับ
โฮะ โฮะ โฮะ...
วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2555
ฮ่าๆๆ เอิ๊กๆ โฮ่ๆๆๆๆๆ ก๊ากก ๆๆๆๆ ฮ่าๆๆ
learntosaintjohn.com
หึหึ... หัวเราะอย่างนี้ไม่ดีครับ ต้อง ก๊าก ฮ่าๆๆๆๆ
วันนี้วันอาทิตย์ พรุ่งนี้ก็วันจันทร์ หลายๆคนก็ต้องไปทำงานกันอีกแล้ว อย่าเครียดนะครับ งานมันก็ต้องทำอยู่แล้ว ทำงานแล้วก็ได้เงินครับ ใครเก่งหน่อยก็ปรับตัวให้ทำงานได้เงินด้วย สนุกด้วย หรือเรียนไปสนุกไปด้วย ก็เยี่ยมไปเลยนะครับ
ประมาณเดือนที่แล้วผมเห็นข่าวเกี่ยวกับโยคะหัวเราะที่เวียดนาม เห็นคนมารวมตัวกันเยอะมากในสนามกีฬาหรือสวนสาธารณะนี่แหละครับ แล้วก็หัวเราะกันอย่างเมามัน อย่างบ้าคลั่ง... ครับ เป็นบ้าเป็นหลังกันเลยทีเดียว ฮ่าๆ เห็นแล้วก็แทบจะระเบิดเสียงหัวเราะตามไปด้วยเลยครับ ที่จริงมันติดกันนะครับ นักวิทยาศาสตร์ก็ยืนยันว่าการหัวเราะมันติดกันได้ ผมว่าทุกคนก็เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้กับตัวเองมาแล้ว แบบว่าเพื่อนแกล้งหัวเราะ แล้วทุกคนก็แกล้งหัวเราะกัน ตอนแรกเราก็ไม่เห็นมีอารมณ์ขันเลย แต่ได้แป๊บเดียวเราก็กลั้นไม่อยู่ต้องหัวเราะตามไปด้วย แล้วมันก็ขำจริงๆ นะครับ หัวเราะจริงๆ แบบไม่ต้องมีเรื่องขำขันอะไรเลย... มันส์จริงๆ ใช่มั้ยล่ะ
นั่นแหละครับ ต้นกำเนิดของชมรมโยคะหัวเราะ เค้ามีการวิจัยกันแล้วว่าการหัวเราะจะช่วยปรับปรุงระบบภูมิคุ้มกันโรค ช่วยในเรื่องการหายใจ ลดความตึงเครียด (ก็แน่ละครับ ตอนก๊ากๆ อยู่คงไม่สามารถจะเก๊กหน้าโหดได้...) และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจตีบครับ โอย อะไรจะยอดเยี่ยมขนาดนั้น ว่าแล้วเราก็มาเริ่มหัวเราะกันได้ เอ้า... ฮ้า ฮ่าๆๆๆ
Dr. Madan Kataria ครับ ได้เริ่มต้นโยคะหัวเราะ จากทีแรกเป็นการเล่าเรื่องตลกก่อน แต่ได้แค่อาทิตย์เดียวก็หมดมุกตลกแล้ว ก็เลยหาอะไรใหม่ๆ ซึ่งก็นึกถึงการหัวเราะนี่แหละครับ แล้วก็เห็นว่ามันได้ผลดีมาก ทุกคนก็ขำกันกลิ้งเลย จากคนกลุ่มเล็กๆ ในปี ค.ศ. 1995 ตอนนี้มีกลุ่มโยคะหัวเราะแล้วกว่า 6,000 ชมรม ใน 60 ประเทศทั่วโลกเลยเชียวครับ เค้าบอกว่า "พอเริ่มหัวเราะกันเป็นกลุ่มแล้ว มันก็จะเป็นอะไรที่หยุดไม่ได้"...
เอ้า วันนี้พวกเราหัวเราะกันหรือยังครับ...
วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2555
ควานเข็มหาเลือด! พยาบาลไม่โหดขนาดนั้นหรอกครับ
สวัสดีครับ เมื่อวานไม่ได้มาเจอกันเพราะติดงานเลี้ยงสังสรรค์ประจำปีของชมรมธรณีวิทยาเชียงใหม่ครับ ผมทำหน้าที่ถ่ายรูปในงาน ก็เลยไม่ได้กลับมาเขียนเหมือนเคย กว่างานจะเลิกก็เกือบเที่ยงคืนครับ ก็ได้เจอเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่ปกติก็ไม่ได้เจอกันนาน ก็ดีใจกันไปครับ นานๆทีครับ บางทีการได้เข้าสังคม ได้พบเพื่อนๆ หรือคนที่เราคุ้นเคยและได้พูดคุยด้วยก็ทำให้เรารู้สึกดี มีความสุขกันไปครับ
วันนี้จะคุยเรื่องเจาะเลือดครับ อย่างที่รู้กันว่าผมเข้าโรงพยาบาลบ่อย ถูกเจาะเลือดมาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ สำหรับผมการเจาะเลือดเป็นเรื่องธรรมดาครับ ถึงแม้จะไม่ค่อยชอบเพราะหลายๆ ครั้งก็เจ็บ แต่ก็ไม่ถึงกับกลัวครับ ที่ไปค้นหาข้อมูลมาเล่านิดหน่อยวันนี้ก็เพราะว่าเคยได้ยินหลายๆคนพูดกันว่าพยาบาลเจาะเลือดแล้วไม่เจอเส้นเลือด ก็เลยควานเข็มเพื่อหาเส้น! ฟังดูน่ากลัวมากใช่ไหมครับ? แรกๆก็เชื่อตามนั้นเหมือนกันครับ แต่พอคิดไปคิดมาก็ไม่ค่อยเชื่อแล้วเท่าไหร่ ก็ในเมื่อใต้ผิวหนังเรามันไม่ได้เป็นโพรงนี่ครับ ขืนใครเอาเข็มลงไปควานเหมือนจอมยุทธ์ควงดาบแล้วละก็ ได้ร้องลั่นโรงพยาบาลกันเลยทีเดียว แต่ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าที่คิดไว้ถูกหรือเปล่าวันนี้ก็เลยโทรไปถามเพื่อนที่เป็นพยาบาลอยู่ เพื่อนก็บอกว่าไม่จริงหรอก ไม่เจอก็เจาะใหม่สิจ๊ะ... นั่นนะสิครับ ใครจะควานเข็มล่ะ.. เฮ้อ พูดกันไปได้นะ
ไปหารูปมาดูแล้วก็ลอกแบบมาทำใหม่ เพื่อให้เห็นชัดขึ้นครับ ว่าเส้นเลือดในแขนขวาของเราเป็นอย่างไรบ้าง (เข้าใจว่าแขนซ้ายก็คงเหมือนกัน) เส้นไหนที่เป็นตัวเลือกในการเจาะเป็นอันดับหนึ่งสองสามนะครับ ของผมเวลาไปเจาะเลือดพยาบาลก็จะเอาสายรัดแล้วก็เจาะตรงเส้นเลือดที่อยู่ตรงข้อพับเสมอครับ ตามหลักวิชาการเค้าบอกว่าเส้นเลือดตรงนั้นจะไม่ค่อยดิ้น เจ็บน้อยกว่าและเลือดหยุดไหลได้เร็วครับ ส่วนบางครั้งเราจะเห็นเป็นรอยเขียวๆใต้ผิวหนังตรงจุดที่เจาะเลือด นั่นเป็นเพราะว่ามีเลือดออกภายใต้ผิวหนังครับ ซึ่งก็จะไม่เป็นอันตรายอะไร ไม่ต้องกังวลครับ
หลายๆครั้งเวลาไปเจาะเลือดผมก็ไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลย ไม่รู้สึกเลยนั่นแหละครับ ที่จำได้แม่นก็คือครั้งที่ไปเจาะเลือดตรวจน้ำตาลที่ศิริราช พยาบาลตัวอ้วนใหญ่ (น่ารัก) มากคนนึงก็หลังจากที่เอาสายยางรัดแขนแล้วก็เอาเข็มทิ่มลงไปอย่างแรงและรวดเร็ว ราวกับจอมดาบตวัดดาบยังไงยังงั้นเลย แปลกมากที่ผมไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด... ได้แต่ตกตะลึงกับการแทงเข็มที่รวดเร็วมาก และกว่าจะได้สติกลับคืนมาก็เจาะเสร็จเรียบร้อยแล้ว... โอ้ เธอ...
ต่อไปก็คงไม่ต้องกลัวการเจาะเลือดแล้วนะครับ ที่จริงที่ผมกลัวก็คือการให้น้ำเกลือนี่แหละครับ เวลาต้องไปนอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาล เค้าจะต้องเปลี่ยนเข็มน้ำเกลือทุกๆ 3 วันครับ ไปนอนสองอาทิตย์ก็ลองนับดูครับว่าจะต้องเปลี่ยนเข็มกี่ครั้ง เจ็บครับ บางครั้งก็เคยเหมือนกันที่เจาะตรงนั้นก็ไม่ได้ ตรงนี้ก็ไม่เหมาะ กลายเป็นว่าโดนไปสองสามจึ๊กกว่าจะเจอเส้นที่ถูกใจ
แล้วคุยกันใหม่ครับ สวัสดีครับ
วันนี้จะคุยเรื่องเจาะเลือดครับ อย่างที่รู้กันว่าผมเข้าโรงพยาบาลบ่อย ถูกเจาะเลือดมาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ สำหรับผมการเจาะเลือดเป็นเรื่องธรรมดาครับ ถึงแม้จะไม่ค่อยชอบเพราะหลายๆ ครั้งก็เจ็บ แต่ก็ไม่ถึงกับกลัวครับ ที่ไปค้นหาข้อมูลมาเล่านิดหน่อยวันนี้ก็เพราะว่าเคยได้ยินหลายๆคนพูดกันว่าพยาบาลเจาะเลือดแล้วไม่เจอเส้นเลือด ก็เลยควานเข็มเพื่อหาเส้น! ฟังดูน่ากลัวมากใช่ไหมครับ? แรกๆก็เชื่อตามนั้นเหมือนกันครับ แต่พอคิดไปคิดมาก็ไม่ค่อยเชื่อแล้วเท่าไหร่ ก็ในเมื่อใต้ผิวหนังเรามันไม่ได้เป็นโพรงนี่ครับ ขืนใครเอาเข็มลงไปควานเหมือนจอมยุทธ์ควงดาบแล้วละก็ ได้ร้องลั่นโรงพยาบาลกันเลยทีเดียว แต่ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าที่คิดไว้ถูกหรือเปล่าวันนี้ก็เลยโทรไปถามเพื่อนที่เป็นพยาบาลอยู่ เพื่อนก็บอกว่าไม่จริงหรอก ไม่เจอก็เจาะใหม่สิจ๊ะ... นั่นนะสิครับ ใครจะควานเข็มล่ะ.. เฮ้อ พูดกันไปได้นะ
ไปหารูปมาดูแล้วก็ลอกแบบมาทำใหม่ เพื่อให้เห็นชัดขึ้นครับ ว่าเส้นเลือดในแขนขวาของเราเป็นอย่างไรบ้าง (เข้าใจว่าแขนซ้ายก็คงเหมือนกัน) เส้นไหนที่เป็นตัวเลือกในการเจาะเป็นอันดับหนึ่งสองสามนะครับ ของผมเวลาไปเจาะเลือดพยาบาลก็จะเอาสายรัดแล้วก็เจาะตรงเส้นเลือดที่อยู่ตรงข้อพับเสมอครับ ตามหลักวิชาการเค้าบอกว่าเส้นเลือดตรงนั้นจะไม่ค่อยดิ้น เจ็บน้อยกว่าและเลือดหยุดไหลได้เร็วครับ ส่วนบางครั้งเราจะเห็นเป็นรอยเขียวๆใต้ผิวหนังตรงจุดที่เจาะเลือด นั่นเป็นเพราะว่ามีเลือดออกภายใต้ผิวหนังครับ ซึ่งก็จะไม่เป็นอันตรายอะไร ไม่ต้องกังวลครับ
หลายๆครั้งเวลาไปเจาะเลือดผมก็ไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลย ไม่รู้สึกเลยนั่นแหละครับ ที่จำได้แม่นก็คือครั้งที่ไปเจาะเลือดตรวจน้ำตาลที่ศิริราช พยาบาลตัวอ้วนใหญ่ (น่ารัก) มากคนนึงก็หลังจากที่เอาสายยางรัดแขนแล้วก็เอาเข็มทิ่มลงไปอย่างแรงและรวดเร็ว ราวกับจอมดาบตวัดดาบยังไงยังงั้นเลย แปลกมากที่ผมไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด... ได้แต่ตกตะลึงกับการแทงเข็มที่รวดเร็วมาก และกว่าจะได้สติกลับคืนมาก็เจาะเสร็จเรียบร้อยแล้ว... โอ้ เธอ...
ต่อไปก็คงไม่ต้องกลัวการเจาะเลือดแล้วนะครับ ที่จริงที่ผมกลัวก็คือการให้น้ำเกลือนี่แหละครับ เวลาต้องไปนอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาล เค้าจะต้องเปลี่ยนเข็มน้ำเกลือทุกๆ 3 วันครับ ไปนอนสองอาทิตย์ก็ลองนับดูครับว่าจะต้องเปลี่ยนเข็มกี่ครั้ง เจ็บครับ บางครั้งก็เคยเหมือนกันที่เจาะตรงนั้นก็ไม่ได้ ตรงนี้ก็ไม่เหมาะ กลายเป็นว่าโดนไปสองสามจึ๊กกว่าจะเจอเส้นที่ถูกใจ
แล้วคุยกันใหม่ครับ สวัสดีครับ
วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2555
ใจงาม
สวัสดีครับ
คนที่อยู่รอบๆตัวเรามักจะมีอิทธิพลหรือมีความสัมพันธ์กับเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอยู่เสมอนะครับ ไม่ว่าจะรู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม หลายครั้งที่เราได้รับน้ำใจอันแสนดีจากคนรอบกายโดยที่เราก็อาจจะไม่คาดคิดมาก่อนนะครับ
ปลายปี 53 ตอนที่ผมไปปวดท้องเนื่องจากก้อนซีสต์ในท้องติดเชื้ออยู่ที่ลำปางต้องเข้าโรงพยาบาลเถินกลางดึก และย้ายไปที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดลำปาง ก็ได้น้องสาวน้ำใจงามกับสามีของเธอครับ เข้ามาช่วยเหลือ ขับรถออกจากบ้านตอนใกล้เที่ยงคืนแล้ว มาหาผมที่นอนอย่างอนาถาคนเดียวอยู่ที่โรงพยาบาลท่ามกลางคนป่วยเต็มห้องฉุกเฉิน และมีแพทย์เวรอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น (เท่าที่เห็น) ผมอยู่ห่างจากญาติคนอื่นๆหลายร้อยกิโล ซึ่งตอนนั้นคงจะไม่สามารถโทรเรียกให้ใครมาดูแลได้ หรือถ้าจะมาได้ก็คงใช้เวลาอีกอย่างน้อยหนึ่งวันเต็มๆ ล่ะครับ ตอนที่เธอมาถึงโรงพยาบาลผมดีใจมาก ตอนนั้นยังไม่ได้เจอหมอเลยด้วยซ้ำ เพราะคนไข้เยอะมาก นอกจากจะมีคนที่รอก่อนหน้าผมแล้วก็ยังมีคนที่ทยอยมากันอีกเพียบ ทั้งมาแบบซึมๆ และแบบโอดโอย สารพัดเลยครับ
ผมไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดลำปาง และย้ายเข้ากรุงเทพในตอนสายๆ ของวันรุ่งขึ้น โดยมีสามีของเธอขับรถมาส่ง เธอและลูกชายก็นั่งเป็นเพื่อนมาด้วย นับว่าเป็นประสบการณ์ที่ทั้งลำบาก และเจ็บปวดมาก (จากอาการป่วย) แต่ก็ได้เจอกับความสวยงามของคนที่รู้จักและสนิทสนมได้เพียงไม่นานเลยครับ
อยากจะถ่ายทอดความดีนี้ให้คงอยู่ต่อๆไปถึงทุกๆคนครับ สวัสดีครับ
คนที่อยู่รอบๆตัวเรามักจะมีอิทธิพลหรือมีความสัมพันธ์กับเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอยู่เสมอนะครับ ไม่ว่าจะรู้จักหรือไม่รู้จักก็ตาม หลายครั้งที่เราได้รับน้ำใจอันแสนดีจากคนรอบกายโดยที่เราก็อาจจะไม่คาดคิดมาก่อนนะครับ
ปลายปี 53 ตอนที่ผมไปปวดท้องเนื่องจากก้อนซีสต์ในท้องติดเชื้ออยู่ที่ลำปางต้องเข้าโรงพยาบาลเถินกลางดึก และย้ายไปที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดลำปาง ก็ได้น้องสาวน้ำใจงามกับสามีของเธอครับ เข้ามาช่วยเหลือ ขับรถออกจากบ้านตอนใกล้เที่ยงคืนแล้ว มาหาผมที่นอนอย่างอนาถาคนเดียวอยู่ที่โรงพยาบาลท่ามกลางคนป่วยเต็มห้องฉุกเฉิน และมีแพทย์เวรอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น (เท่าที่เห็น) ผมอยู่ห่างจากญาติคนอื่นๆหลายร้อยกิโล ซึ่งตอนนั้นคงจะไม่สามารถโทรเรียกให้ใครมาดูแลได้ หรือถ้าจะมาได้ก็คงใช้เวลาอีกอย่างน้อยหนึ่งวันเต็มๆ ล่ะครับ ตอนที่เธอมาถึงโรงพยาบาลผมดีใจมาก ตอนนั้นยังไม่ได้เจอหมอเลยด้วยซ้ำ เพราะคนไข้เยอะมาก นอกจากจะมีคนที่รอก่อนหน้าผมแล้วก็ยังมีคนที่ทยอยมากันอีกเพียบ ทั้งมาแบบซึมๆ และแบบโอดโอย สารพัดเลยครับ
ผมไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดลำปาง และย้ายเข้ากรุงเทพในตอนสายๆ ของวันรุ่งขึ้น โดยมีสามีของเธอขับรถมาส่ง เธอและลูกชายก็นั่งเป็นเพื่อนมาด้วย นับว่าเป็นประสบการณ์ที่ทั้งลำบาก และเจ็บปวดมาก (จากอาการป่วย) แต่ก็ได้เจอกับความสวยงามของคนที่รู้จักและสนิทสนมได้เพียงไม่นานเลยครับ
อยากจะถ่ายทอดความดีนี้ให้คงอยู่ต่อๆไปถึงทุกๆคนครับ สวัสดีครับ
วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555
ยา... ยา.. ขอยาหน่อยคร้าบ... โอย
สวัสดีขอรับ วันนี้เหมือนจะมีอะไรแปลกๆใช่ไหมครับ ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ ที่จะมาเล่าวันนี้เป็นเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับยาตัวหนึ่งที่ผมได้รับตอนไปนอนป่วยเจ็บท้องเพราะซีสต์แตกอยู่ที่โรงพยาบาลเมื่อปีกว่าๆที่ผ่านมาครับ เป็นยาที่ต้องเรียกว่าวิเศษมากครับ เพราะนอกจากจะทำให้หายปวดแล้ว ยังรู้สึกเคลิบเคลิ้มตอนฉีดอีกต่างหาก เข็มแรกๆ ผมรู้แต่ว่าเป็นยาแก้ปวด แต่ไม่รู้ว่าเป็นยาอะไร พอฉีดไปได้สองสามเข็มก็รู้สึกว่ามันเป็นยาที่ดีมาก รู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ตอนนั้นเลยเชียวขอรับ พยายามจะขอบ่อยๆ แต่ก็รู้ว่ามันอาจจะทำให้ติดได้ ที่จริงถึงแม้ไม่ติดผมก็ไม่อยากให้ฉีดยาเข้าร่างกายอยู่แล้วครับ ดังนั้นถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ขอ แต่อีกใจก็แบบว่าอยากครับ อยากให้มาฉีดบ่อยๆ เริ่มจะสงสัยแล้วสิครับว่าทำไม? หุๆ จะเล่าให้ฟังครับ
คือมันอย่างนี้ครับ ตอนที่เรากำลังปวดมากๆ มันก็ทรมานแล้วก็อยากจะหายจากอาการทรมาน พยาบาลก็รู้ครับก็จะถามว่าขอยาแก้ปวดมั้ย ถ้าโอเคก็... จัดให้เลย แต่ก่อนจะให้ยาตัวนี้ก็ต้องถามหมอก่อนเพราะว่ามันเป็นยาอันตรายเหมือนกัน ความรู้สึกตอนที่ฉีดยาเข้าเส้น (ผ่านทางสายน้ำเกลือ) นะครับ ต้องบอกว่า... โอ้โห นี่มันสวรรค์ชัดๆ หลังจากที่ยาเข้าเส้นเลือดไปได้สักสามสี่นาทีก็จะรู้สึกร้อนๆ อุ่นๆในตัว รู้สึกมึนนิดๆ ลอยๆ เคลิ้มๆ แล้วก็สบายเป็นที่สุด เหมือนเข้าไปอยู่อีกโลกหนึ่งเลยเชียว... บรรยายไม่หมดครับ โดยรวมก็คือมันสุดยอดมาก ผมได้รับยาตัวนี้ไปสี่ห้าครั้ง แต่ว่าครั้งหลังๆก็จะห่างจากครั้งแรกๆ เยอะเหมือนกัน และพยาบาลก็จะให้เฉพาะตอนที่ปวดมากๆเท่านั้นครับ นี่ถ้ายังให้ต่อเนื่องผมว่าผมติดยาตัวนี้แน่นอนครับ
ยาตัวนี้ชื่อว่า เพททิดีน (Pethidine) ครับ ตามหลักวิชาการเค้าบอกไว้ว่าดังนี้ครับ
คือมันอย่างนี้ครับ ตอนที่เรากำลังปวดมากๆ มันก็ทรมานแล้วก็อยากจะหายจากอาการทรมาน พยาบาลก็รู้ครับก็จะถามว่าขอยาแก้ปวดมั้ย ถ้าโอเคก็... จัดให้เลย แต่ก่อนจะให้ยาตัวนี้ก็ต้องถามหมอก่อนเพราะว่ามันเป็นยาอันตรายเหมือนกัน ความรู้สึกตอนที่ฉีดยาเข้าเส้น (ผ่านทางสายน้ำเกลือ) นะครับ ต้องบอกว่า... โอ้โห นี่มันสวรรค์ชัดๆ หลังจากที่ยาเข้าเส้นเลือดไปได้สักสามสี่นาทีก็จะรู้สึกร้อนๆ อุ่นๆในตัว รู้สึกมึนนิดๆ ลอยๆ เคลิ้มๆ แล้วก็สบายเป็นที่สุด เหมือนเข้าไปอยู่อีกโลกหนึ่งเลยเชียว... บรรยายไม่หมดครับ โดยรวมก็คือมันสุดยอดมาก ผมได้รับยาตัวนี้ไปสี่ห้าครั้ง แต่ว่าครั้งหลังๆก็จะห่างจากครั้งแรกๆ เยอะเหมือนกัน และพยาบาลก็จะให้เฉพาะตอนที่ปวดมากๆเท่านั้นครับ นี่ถ้ายังให้ต่อเนื่องผมว่าผมติดยาตัวนี้แน่นอนครับ
ยาตัวนี้ชื่อว่า เพททิดีน (Pethidine) ครับ ตามหลักวิชาการเค้าบอกไว้ว่าดังนี้ครับ
pethidine เป็นยากลุ่ม opiods analgesic มีโครงสร้างที่เป็นอนุพันธ์ของมอร์ฟีน ออกฤทธิ์ระงับปวดที่ opiods receptor ในสมอง อาการไม่พึงประสงคือย่างหนึ่งคือ การทำให้เสพติด (addiction) เนื่องจากทำให้มีการเพิ่มขึ้นของ dopamine ซึ่งทำให้เกิดภาวะเคลิ้มสุข (euphoria) ดังนั้นเมื่อหยุดยา pethidine ก็จะทำให้ dopamine ลดลง จึงเกิดอาการถอนยาขึ้น ดังนั้น การใช้ pethidine จึงต้องควรระวังอาการไม่พึงนี้ด้วย ...
เห็นแล้วใช่ไหมครับว่าทำไมผมถึงได้โหยหาเจ้ายาตัวนี้มากหลังจากที่ได้ลองไปพักหนึ่ง
ผมลองเข้าไปค้นไนเว็บต่างๆ ก็พบว่ามีหลายกรณีที่ผู้ป่วยหรือแม้กระทั่งตัวพยาบาลเองก็ติดยานี้ได้ง่ายๆเหมือนกัน ลองหาอ่านดูนะครับ
สำหรับวันนี้ ก็เช่นเคยขอให้หลับฝันดี แล้วคุยกันใหม่ครับ สวัสดีขอรับ...
วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2555
แมงกะพรุนขยุ้มขย้ำ...
ใช่แล้วครับ ที่เห็นอยู่นี้คือแมงกะพรุนครับ เป็นแมงกะพรุนน้ำจืดตัวเล็กเท่าเหรียญ 5 บาทครับ ผมถ่ายรูปมาเอง มันตัวเล็กมากๆ และที่แปลกมากๆก็คือเจ้าตัวนี้และผองเพื่อนญาติพี่น้อง อาศัยอยู่ในแม่น้ำบนเขาค้อครับ ภูเขาสูงที่นักท่องเที่ยวกำลังนิยมไปเที่ยวกันนั่นแหละครับ พบที่บ้านหนองแม่นา อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ครับ นับว่าเป็นเรื่องแปลกมากๆที่เราพบแมงกะพรุนน้ำจืด เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วเจ้าแมงกะพรุนทั่วไปจะอาศัยอยู่ในทะเลแทบทั้งนั้น ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทั้งสองตัวเป็นญาติกันหรือไม่นะครับ เอาเป็นว่ามันเป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆ เจ้าตัวแมงกะพรุนเองก็น่ารักมากเหมือนกัน ตัวใสๆ บางๆ เคลื่อนที่ช้าๆ แวบๆ...
ถ้าอยากไปเห็นตัวเป็นๆละก็ หาเวลาในช่วงประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ไปจนถึงเดือนเมษายนครับ ให้ไปที่บ้านหนองแม่นาบนเขาค้อโน่น ล่องตามลำน้ำเข็กขึ้นไปที่แก่งบางระจันครับ และจะมีไกด์นำไปพร้อมเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟัง เช่นเรื่องเขาปู่เขาย่า หอยเจดีย์ก้นตัด เป็นต้นครับ นั่งเรือหางยาวครับ ชมธรรมชาติเพลินๆ แล้วสุดท้ายก็จะได้พบกับฝูงแมงกะพรุนตัวจิ๋วมากมายเต็มท้องน้ำไปหมด แต่ต้องก้มลงสังเกตุดูนะครับ เพราะตัวพวกนี้จะใสๆ และเล็กด้วย พอได้เห็นแล้วก็จะ... โอ้โห ตื่นเต้นมาก ไม่น่าเชื่อเลยนะเนี่ย... แมงกะพรุนน้ำจืดที่เขาค้อพบเป็นแหล่งที่เจ็ดของโลกครับ คือมีที่อื่นอีก แต่ผมจำไม่ได้แล้วว่ามีที่ไหนอีกบ้าง
ยังไงถ้ามีโอกาสผมแนะนำว่าควรไปเที่ยวดูเป็นอย่างยิ่ง นี่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกธรรมชาติเชียวนะขอรับ
สำหรับผมแล้ว ผมตื่นเต้นมากที่ได้รู้และได้เห็นเจ้าแมงกะพรุนพวกนี้ แต่เพื่อนๆคนอื่นๆสิครับ ไม่เห็นจะมีใครตื่นเต้นอย่างผมบ้างเลย ไปเล่าให้ใครฟังก็... เหรอ ... อืมม ... ฮือๆ
ก่อนจากกัน เอากลอนสนุกๆที่หนุ่มๆสาวๆวัยรุ่นที่เล่นน้ำอยู่บริเวณนั้นร้องเล่นกันตอนที่ผมไปเที่ยวมาฝากกันครับ พวกนั้นร้องว่า "แมงกะพรุนขยุ้ม ขย้ำ พอถึงตอนค่ำ ขย้ำ ขยุ้ม" ฮ่าๆ ไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร แต่ที่แน่ๆ ผมจำได้ขึ้นใจเลยล่ะครับ มันฟังดูเข้าท่าดีมาก
หลับฝันดีครับทุกคน
วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2555
ขนาดไม่มีความรักแต่อะไรๆ ก็หวานไปหมด...
สวัสดีครับ วันนี้จะมาว่ากันเรื่องความรัก... ฮ่าๆ ซะเมื่อไหร่ จะมาเขียนถึงเรื่องของความหวานครับ ก็เรื่องของน้ำตาลในเลือดนั่นแหละครับ คือโรคของผมมันเกี่ยวข้องกับเบาหวานค่อนข้างมาก และก็อย่างที่เรารู้ๆกันอยู่ว่าน้ำตาลในเลือดเป็นอะไรที่ควบคุมยากมากๆ เราคงจะทราบกันมาว่าคนป่วยเบาหวานหลายๆคนต้องตัดนิ้วเท้าทิ้งเพราะเป็นแผลแล้วเนื้อเน่าอะไรอย่างนี้ใช่ไหมครับ สาเหตุของเนื้อเน่าหรือเนื้อตายก็เพราะว่าเลือดไม่สามารถจะไปหล่อเลี้ยงเซลล์ได้ดีเหมือนคนปกติครับ นั่นก็เพราะว่าเส้นเลือดแข็งตัว ไม่มีความยืดหยุ่น เนื่องจากเป็นเบาหวานมานานหลายปี พอเกิดมีบาดแผลก็เลยไม่สามารถกระจายเลือดที่มีทั้งสารอาหารและสารที่สำคัญต่อการรักษาตัวเองไปถึงได้ สุดท้ายเซลล์ก็ตาย... ก็ต้องตัดอวัยวะทิ้งนั่นแหละครับ น่ากลัวมาก...
ทีนี้ก็คงต้องมาว่ากันถึงเจ้าตัวร้ายที่ทำให้เป็นอย่างนั้น นั่นก็คือโรคเบาหวาน หรือระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติครับ (เกิน 120) ซึ่งผมเป็นมาหลายปีแล้ว สำหรับพี่น้องท้องเดียวกันกับผมนอกจากจะมีโอกาสเป็นเบาหวานเพราะกรรมพันธุ์จากพ่อแล้ว ยังมีโอกาสเป็นมากขึ้นจากโรค VHL ที่ถ่ายทอดมาจากแม่ซึ่งจะมีเนื้องอกไปเกาะแถวๆตับอ่อนอีกด้วย เจ้าเนื้องอกนี้จะไปขัดขวางการเดินทางของฮอร์โมนอินซูลินที่ผลิตได้จากตับอ่อนครับ ทำให้เป็นเบาหวานได้
การรักษาก็กินยาครับ หรือบางรายอาจจะต้องฉีดอินซุลิน และต้องควบคุมเรื่องการกินอาหารและต้องออกกำลังกายเพิ่มด้วย ไม่ง่ายเลยนะครับ โดยเฉพาะเรื่องของหวาน ก็ในเมื่อทุกอย่างที่เรากินในแต่ละวันล้วนแต่มีน้ำตาลทั้งนั้น ยกเว้นน้ำปลา กับน้ำเปล่า อ้อ เกลือด้วยครับ ฮ่าๆ ล้อเล่นครับ ที่จริงก็ยังมีอาหารอีกหลายอย่างที่ไม่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ ผมแค่เขียนเล่นๆ ให้ได้ความรู้สึกเท่านั้นเอง อารมณ์ก็ประมาณว่าจะหาอาหารที่ไม่ใส่น้ำตาลกินนี่มันยากเหลือเกิน อะไรก็หวานไปซะหมด ถ้ามัวแต่หานานก็ไม่ได้อีก ก็มันหิวนี่ครับ... น้ำตาลต่ำก็จะเป็นลมอีก โอย... สำหรับคนที่ไม่เป็นเบาหวานแต่อยากรู้อารมณ์ของคนที่เป็นก็ลองดูก็ได้ครับ ลองสักวันหนึ่งโดยการหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาล หรือแป้งมากๆ เช่น กินข้าวน้อยๆ หรือกินก๋วยเตี๋ยวไม่ใส่น้ำตาล ดื่มน้ำเปล่า ไม่เอาน้ำอัดลมหรือน้ำส้มหรือน้ำผลไม้อะไรอื่นๆ ไม่กินไอติม ไม่กินขนม พยายามกินผักมากๆ อะไรประมาณนี้สักวันสองวันนะครับ เผื่อจะได้อารมณ์ของการอดหวานดูบ้าง... น่าสนุกนะครับ จะได้เป็นเพื่อนกันด้วย อ้อกาแฟก็ไม่ใส่นมไม่ใส่น้ำตาลนะครับ
อ่านบทความของศิริราชเกี่ยวกับเบาหวานกับโรคไตวายมาครับ เค้าบอกว่าคนที่เป็นเบาหวานเป็นเวลานานๆ อย่างน้อย 5 ปีขึ้นไป (ส่วนใหญ่มากกว่า 15-20ปี) จะมีโอกาสเป็นโรคแทรกซ้อนที่ไตทำให้เป็นไตวายได้ครับ อาการก็จะเริ่มจากมีโปรตีนรั่วออกมากับปัสสาวะครับ ซึ่งถ้ามีอย่างนี้แล้วก็ไม่มีทางรักษาหาย มีแต่ชะลอได้เท่านั้นครับ แล้วถ้าไตวายก็ต้องตัดหรือตายเท่านั้นครับ น่ากลัวจริงๆ ต่อไปต้องระวังเรื่องอาหารแล้ว แต่ก่อนนี้ผมยังหลอกตัวเองให้กินไอติมหรือบัวลอยบ้าง แต่ต่อไปคงไม่แล้ว แล้วก็คงต้องออกกำลังกายมากขึ้นอีกด้วย ... เอ้า เอาก็เอา
ก่อนจากกันวันนี้ขอให้ทุกคนรักษาสุขภาพให้แข็งแรง มีอารมณ์สนุกกับทุกเรื่องและทุกวันนะครับ ไอ้ที่มันทุกข์ๆ น่ะ ไม่มีสาระหรอกครับ อย่าเก็บเอามาเป็นอารมณ์อะไรเลย ... สวัสดีครับ...
วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555
แผ่นดินสวยที่ไร่เสือธรรมแข้งดาบ
สวัสดีค่ำวันอาทิตย์ครับ หายไปสองวัน วันนี้กลับมาแล้วครับ ต้องขอโทษหากมีใครที่เข้ามาดูบล็อกแล้วไม่เจอกันนะครับ ผมไปเพชรบูรณ์มา เพิ่งกลับมาวันนี้เองครับ ไปหาพ่อและแม่ครับ ไม่ได้เกี่ยวกับตรุษจีนอะไรหรอกครับ ไปเยี่ยมตามปกติ พ่อกับแม่ก็เหมือนเดิม พ่อแก่มากแล้ว นอนอยู่บนเตียงอย่างเดียว ไม่ค่อยพูดจา จะพูดนิดหน่อยก็ตอนเจอกันตอนแรก แล้วก็ตอนที่ถามว่าหิวมั้ยนั่นแหละครับ ส่วนแม่ก็ไอนิดหน่อย แต่โดยรวมก็ยังแข็งแรงดี แม่ต้องแข็งแรงครับ เพราะต้องดูแลพ่ออยู่ตลอดเวลา
รูปที่เอามาให้ดูเป็นที่ไร่ครับ ชื่อไร่เสือธรรมแข้งดาบ ชื่อแปลกๆ เพราะว่าตั้งตามฉายาพ่อที่พ่อเล่าให้ฟังครับ ซึ่งไม่รู้ว่าเล่าเอามันหรือว่าอิงความจริง... ฮ่าๆ พ่อบอกว่าตอนเป็นหนุ่มพ่อมีฉายา"แข้งดาบ"เพราะพ่อชกมวยเก่งและเตะเก่งครับ นอกจากนั้นพ่อยังมีฉายาเป็น"เสือธรรม"อีกด้วย ผมก็เลยเอาสองอย่างมารวมกันได้เป็น "เสือธรรมแข้งดาบ" นี่แหละครับ ก็สนุกดี ไร่อยู่ก่อนถึงหมู่บ้านน้ำเลานิดเดียว อยู่ตำบลบ้านโคก อำเภอเมือง เพชรบูรณ์ครับ ช่วงนี้ก็รอให้ต้นไม้โตครับ แม่ปลูกไว้หลายอย่างมาก ตั้งแต่พวกไม้ยืนต้นไปจนถึงพวกพืชผักสวนครัว มีทั้งต้นยางนา (ยางป่า) มะม่วง ปีบ มะขาม สะเดา ไปจนถึงมะเขือ ข้าวโพด ฟักทอง และอีกสารพัดครับ เยอะมากจริงๆ
นอกจากพืชแล้ว ก็ยังมีหมาอยู่อีกสามตัวนะครับ มันเป็นหมาที่มาอยู่ที่ไร่เอง แม่ก็เลยเอาข้าวไปให้มันกิน แล้วมันก็อยู่มาตลอดเลย เวลาเอาข้าวไปให้มันก็จะพากันวิ่งมากินครับ แต่มันไม่ยอมให้ถูกตัวหรือเข้าใกล้เลย ไม่ว่าจะเรียกยังไงก็ตาม... เล่นตัวน่าดู
วันนี้ไปงานมะขามหวานเพชรบูรณ์ที่จัดใกล้ๆตัวเมือง ไปซื้อต้นมะขามมาปลูกที่ไร่ครับ ซื้อมะขามเปรี้ยวยักษ์มาสิบต้น ต้นละ 35 บาท และซื้อมะขามหวานสีชมพูมาอีกสิบต้น ต้นละ 25 บาทครับ แม่บอกว่าตอนนี้มะขามเปรี้ยวราคาดี พ่อค้ามาซื้อถึงที่ให้ราคากิโลละ 7 บาท แม่ว่าอะไรดี ผมก็ว่าดีทั้งนั้นแหละครับ อ้อ ตอนนี้มีแม่อยู่ที่บ้านสองคนครับ แม่ที่ให้ซื้อมะขามมาปลูกชื่อแม่ไรครับ ส่วนแม่อิ้งก็สบายดี และอยู่บ้านคนละหลัง แม่อิ้งเพิ่งไปผ่าเข่ามาได้ 4 เดือน ยังเดินไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ แต่ก็ดีกว่าตอนปวดขาอยู่ครับ มันทรมานมาก
พรุ่งนี้ก็วันจันทร์แล้วนะครับ ทำงานกันให้สนุกทุกคนครับ หรือใครยังเรียนอยู่ก็ขอให้เรียนให้สนุกเช่นกัน สวัสดีครับ...
วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2555
งูบิน
สวัสดีครับ วันนี้ขอพักเรื่องหนักๆเอาไว้ก่อนนะครับ ที่เห็นรูปข้างบนก็คืองูบิน หรือที่จริงควรจะเรียกว่างูร่อนมากกว่านะครับ เป็นรูปจากเว็บ nationalgeographic.com อีกแล้วครับ ผมชอบเข้าไปอ่านและไปดูรูปที่เว็บนี้มากครับ เพราะมีแต่รูปสวยๆทั้งนั้น และที่สำคัญเว็บนี้(หรือหนังสือ national geographic เอง) มีความน่าเชื่อถือเชิงวิชาการในระดับสูงมาก คือสามารถใช้ข้อมูลในการอ้างอิงทางวิชาการได้ในระดับหนึ่งเลยเชียวครับ ใครที่สนใจผมอยากใ้ห้ลองเข้าไปเยี่ยมชมเว็บดูนะครับ รับรองจะติดใจ ถ้าเบื่อภาษาอังกฤษก็ไม่เป็นไรครับ เอาอย่างผมก็ได้ คือดูรูปอย่างเดียว แต่ปกติแล้วผมก็อ่านด้วยนะครับ คืออยากฝึกภาษาอังกฤษด้วย เหนื่อยหน่อยครับ แต่ก็ได้ความรู้เยอะเหมือนกัน
ว่ากันต่อ เจ้างูร่อนที่ว่านี้พบได้ที่เขตพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ครับ ก็แถบบ้านเรา เรื่อยไปจนถึงอินโด มาเลเซียครับ มีสารคดีที่มาถ่ายทำที่ป่าในมาเลเซียกันด้วย ถ้าสนใจก็หาดูได้จากเว็บนี้เหมือนกันครับ เอาละครับ มาว่าเรื่องเจ้างูร่อนกันต่อ วิธีการที่มันใช้ในการร่อนนี้ก็คือมันจะกระโดดลอยตัวจากยอดไม้สูงๆ คงไม่เชิงกระโดดจริงๆ หรอกครับ แต่เป็นการดีดตัวมากกว่า ลอยออกไปตรงที่ที่มันต้องการจะไป ในขณะที่ลอยอยู่ในอากาศมันก็จะทำตัวแบนๆ หรือทำซี่โครงบานนั่นเองครับ ซึ่งจะทำให้มันร่อนไปในอากาศได้เป็นเวลานานอยู่พอสมควรเหมือนกัน ไม่แค่นั้นนะครับ มันยังสามารถบังคับเลี้ยวกลางอากาศได้ด้วย โดยการทำตัวยืดๆหดๆนี่แหละครับ
ธรรมชาติรอบๆตัวเรามีเรื่องราวอะไรที่แปลกๆที่เรายังไม่รู้อีกเยอะเลยนะครับ โดยเฉพาะเรื่องของพวกสัตว์ป่าหรือสัตยว์ในทะเลน้ำลึก เอาไว้มีโอกาสคราวหน้าผมจะเอามาเล่าให้ฟังเรื่อยๆ สลับกับเรื่องของโรค VHL นะครับ จะได้ไม่เบื่อกันไปซะก่อน
สำหรับเรื่องของสุขภาพส่วนตัวของผมเองตอนนี้ก็ไม่มีอะไรน่าห่วงเป็นพิเศษ จะมีก็แต่เบาหวานครับ ที่ยังคงอยู่กับผมมาอย่างใกล้ชิดสนิทสนม ไม่เคยห่างสายตาไปไหนเลย ตอนนี้ก็เลยพยายามหาวิธีการจัดการกับมัน ในเมื่อควบคุมอาหารได้ยากผมก็เลยพยายามออกกำลังกายให้มากขึ้นครับ ตอนนี้ก็เดินสายพานทุกวัน ฟังดูเหมือนดีจัง แต่ที่จริงแล้วเพิ่งทำได้สามสี่วันเองครับ ก็จะพยายามต่อครับ แล้วก็จะวัดน้ำตาลทุกวัน ดูซิว่าถ้าทำอย่างนี้ได้เป็นเดือนๆ แล้วมันจะดีขึ้นหรือเปล่า ต้องลองกันหน่อยละครับ
สำหรับวันนี้คงพอเท่านี้ก่อนนะครับ ขอให้มีความพยายามกับสิ่งที่ำกำลังทำกันทุกคนและสนุกกับสิ่งที่ทำนะครับ สวัสดีครับ...
วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2555
ครอบครัวตัว V พ่อปิยะวัจน์แม่เทียมจิตกับลูกแปดคน
สวัสดีครับทุกคน วันนี้ผมเอาแผนภูมิของครอบครัวพ่อและแม่เดียวกันกับผมซึ่งแม่เป็นโรค VHL และลูกๆ ก็ได้รับยีนผิดปกตินี้ต่อๆกันมา ไม่ใช่ได้รับกันมาทุกคนครับ แค่บางคนที่โชคไม่ค่อยดีเท่านั้นเองครับ จากลูกทั้งหมด 8 คน มีคนที่เป็นโรคนี้แล้ว 4 คน เป็นผู้ชาย 3 ผู้หญิง 1 คนครับ ที่จริงจากผลการวิจัย ทั้งผู้ชายและผู้หญิงมีโอกาสเป็นโรคนี้เท่าๆกันครับ ไม่มีใครได้เปรียบใคร
จากจำนวนคนที่เป็นในพี่น้องของผม คิดเป็นอัตราส่วน 50% พอดีครับ คือ 4 ใน 8 คน แต่ก็มีอีกคนนะครับที่ตรวจพบว่ามียีน VHL ผิดปกติ แต่ถึงตอนนี้ยังไม่แสดงอาการแต่อย่างใด ก็คือพี่ชายผมเองครับ ผมเป็นลูกคนที่ 7 ยังมีน้องคนสุดท้องอีกหนึ่งคน ซึ่งก็เป็นโรคนี้ด้วย
เมื่อดูถึงรุ่นหลาน หรือลูกๆ ของรุ่นผมกับพี่ๆน้องๆแล้ว พบว่าเป็นโรคนี้กันเพียง 2 คนเองครับ ซึ่งก็เป็นผู้หญิงทั้งสองคนจากทั้งหมด 15 คน ทั้งสองคนผ่านการผ่าตัดสมองเอาเนื้องอกออกแล้วครับ แต่คนที่เหลือก็ยังไม่แน่ครับว่าจะเป็นหรือไม่ เพราะบางคนอาจจะเป็นแต่อาจจะยังไม่ถึงเวลาที่อาการของโรคจะแสดงออก ซึ่งบางคนอาจจะต้องรอจนถึงอายุ 80 โน่นก็เป็นได้ถึงจะมีอาการ ผมก็ได้แต่หวังว่าคนที่เหลือที่ยังไม่เป็นจะไม่เป็นจริงๆนะครับ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะยิ้มแก้มแทบปริเลยทีเดียว
แล้วพบกันใหม่ครับ สวัสดีครับ...
วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2555
วันนี้ไปพบหมอศัลย์ทางเดินปัสสาวะตามนัดมาครับ
สวัสดีครับ วันนี้ไปพบแพทย์ตามนัดมาครับ หมอนัดคราวนี้เป็นการนัดหลังจากครั้งที่แล้ว 6 เดือนครับ ซึ่งคราวต่อไปก็เป็นการนัด 6 เดือนถัดไป เป็นการติดตามผลหลังผ่าตัดเอาต่อมหมวกไตขวาและไตซ้ายออกครับ สิ่งที่ตรวจมีสองอย่างคือเอ็กซ์เรย์ทรวงอกและทำอุลตราซาวนด์ช่องท้องทั้งหมด เรียกว่าตรวจดูอวัยวะภายในช่องท้องทั้งหมดเลยทีเดียว ไล่ตั้งแต่ตับ ตับอ่อน ไต ต่อมหมวกไต ม้าม ไปจนถึงต่อมลูกหมากเลยทีเดียวครับ ผลก็ปกติดี จะมีก็แค่เจ้าก้อนซีสต์ที่ยังเกาะกันเป็นกลุ่มๆอยู่ที่ตับอ่อนแล้วก็ไปขวางทางเดินของของเหลวซึ่งก็คงรวมถึงอินซูลินด้วย ก็เลยทำให้ยังต้องเป็นเบาหวานกันต่อไป ส่วนอีกที่ก็ที่ไตขวาครับ ยังคงอยู่กันอย่างพร้อมหน้าเหมือนเดิม แต่ยังไงก็ตาม คุณหมอก็บอกว่าไตยังปกตีดีอยู่ และนอกนั้นก็ยังโอเคอยู่ แล้วก็นัดมาอีกที 6 เดือนข้างหน้า จบ...
สำหรับตอนนี้สิ่งที่ต้องทำกันต่อไปก็คือออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และควบคุมอาหารครับ คงต้องลดอาหารพวกแป้ง น้ำตาล และรายการต่อไปก็คือพวกเนื้อแดง เบคอน ใส้กรอกต่างๆ โอย... แล้วจะกินอะไรล่ะครับ สงสัยต้องหันมาชอบกินปลาซะแล้ว
สำหรับใครที่ยังไม่เป็นโรค VHL นั้นก็ถือว่าโชคดีไปครับ แต่ก็ยังมีโอกาสที่ลูกหลานในรุ่นต่อๆ ไปจะเป็นได้นะครับ จากการวิจัยของฝรั่งเค้าบอกว่าโอกาสที่เด็กเกิดใหม่จะเป็นโรคนี้มีอยู่สองทาง หนึ่งคือได้รับถ่ายทอดทางพันธุกรรมมาจากพ่อหรือแม่ที่เป็นโรคนี้ หรือสองเกิดจากการผ่าเหล่า (mutation) ของยีนตอนที่ร่างกายเรากำลังสร้างตัวหรือตอนเกิดนั่นเองครับ แต่ไม่ต้องกลัวมากเกินไปครับ เด็กที่จะเป็นโรคนี้ที่เกิดจากการผ่าเหล่าของยีนโดยที่พ่อแม่ไม่ได้เป็นมาก่อนนั้นมีโอกาสเพียง 1 คน จากเด็กที่เกิดทั้งหมด 4,400,000 คน หรือหนึ่งในสี่ล้านสี่แสนคนครับ ดังนั้นคงสบายใจได้นิดหน่อยนะครับ
ถึงอย่างไรผมว่าเราอย่าไปเสียเวลากับเรื่องที่ทำให้กลุ้มใจพวกนี้เลย พระท่านก็บอกแล้วว่าให้ปล่อยวางความกังวลใจทั้งหลายจากสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้ว อย่าไปยึดติดครับ จะเป็นทุกข์ใจเปล่าๆ ส่วนตัวผมเองก็เชื่อว่าถึงเวลาที่เราต้องแน่วแน่กับสิ่งที่เราจะทำแล้ว มุ่งไปให้สำเร็จ หรือมีความสุขกับสิ่งที่มีที่เป็นอยู่ดีกว่า อย่าไปเสียเวลากับเรื่องกวนใจเลย ไม่มีประโยชน์อะไรครับ
แล้วพบกันใหม่คราวหน้าครับ วันนี้ที่เอามาเล่าเพราะจะได้เป็นข้อมูลให้กับคนที่สนใจ หรือคนที่เป็นโรคนี้อยู่ เพื่อจะได้ทราบครับว่าคุณหมอเค้าจะทำอะไรต่อไปบ้าง เพื่อจะได้คลายกังวลลงไปบ้างเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับมันครับ สวัสดีครับ...
สำหรับตอนนี้สิ่งที่ต้องทำกันต่อไปก็คือออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และควบคุมอาหารครับ คงต้องลดอาหารพวกแป้ง น้ำตาล และรายการต่อไปก็คือพวกเนื้อแดง เบคอน ใส้กรอกต่างๆ โอย... แล้วจะกินอะไรล่ะครับ สงสัยต้องหันมาชอบกินปลาซะแล้ว
สำหรับใครที่ยังไม่เป็นโรค VHL นั้นก็ถือว่าโชคดีไปครับ แต่ก็ยังมีโอกาสที่ลูกหลานในรุ่นต่อๆ ไปจะเป็นได้นะครับ จากการวิจัยของฝรั่งเค้าบอกว่าโอกาสที่เด็กเกิดใหม่จะเป็นโรคนี้มีอยู่สองทาง หนึ่งคือได้รับถ่ายทอดทางพันธุกรรมมาจากพ่อหรือแม่ที่เป็นโรคนี้ หรือสองเกิดจากการผ่าเหล่า (mutation) ของยีนตอนที่ร่างกายเรากำลังสร้างตัวหรือตอนเกิดนั่นเองครับ แต่ไม่ต้องกลัวมากเกินไปครับ เด็กที่จะเป็นโรคนี้ที่เกิดจากการผ่าเหล่าของยีนโดยที่พ่อแม่ไม่ได้เป็นมาก่อนนั้นมีโอกาสเพียง 1 คน จากเด็กที่เกิดทั้งหมด 4,400,000 คน หรือหนึ่งในสี่ล้านสี่แสนคนครับ ดังนั้นคงสบายใจได้นิดหน่อยนะครับ
ถึงอย่างไรผมว่าเราอย่าไปเสียเวลากับเรื่องที่ทำให้กลุ้มใจพวกนี้เลย พระท่านก็บอกแล้วว่าให้ปล่อยวางความกังวลใจทั้งหลายจากสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้ว อย่าไปยึดติดครับ จะเป็นทุกข์ใจเปล่าๆ ส่วนตัวผมเองก็เชื่อว่าถึงเวลาที่เราต้องแน่วแน่กับสิ่งที่เราจะทำแล้ว มุ่งไปให้สำเร็จ หรือมีความสุขกับสิ่งที่มีที่เป็นอยู่ดีกว่า อย่าไปเสียเวลากับเรื่องกวนใจเลย ไม่มีประโยชน์อะไรครับ
แล้วพบกันใหม่คราวหน้าครับ วันนี้ที่เอามาเล่าเพราะจะได้เป็นข้อมูลให้กับคนที่สนใจ หรือคนที่เป็นโรคนี้อยู่ เพื่อจะได้ทราบครับว่าคุณหมอเค้าจะทำอะไรต่อไปบ้าง เพื่อจะได้คลายกังวลลงไปบ้างเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับมันครับ สวัสดีครับ...
วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2555
พรุ่งนี้ไปหาหมอฟังผลตรวจอุลตราซาวนด์ครับ
เอาภาพนี้มาลงเพราะว่าสวยดีครับ จาก national geographic website ครับ โดยคุณ Dmitry Gorilovskiy ครับ ไม่มีการตกแต่งนะครับ เป็นภาพจริงจากธรรมชาติล้วนๆ ครับ วันนี้ไม่มีอะไรครับ มาทักทายเฉยๆ พรุ่งนี้จะไปหาหมอ ต้องตื่นแต่เช้ามืด ตี 5 ครับ หมอนัดตรวจแปดโมงครึ่ง
หลับฝันดีกันทุกคนครับ
สวัสดีครับ...
วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555
โรคติดอินเตอร์เน็ต ระวังนะครับ พอๆ กับพวกติดยาเสพย์ติดเลยนะครับ
การสแกนส่วนสีขาว (white matter) ของเนื้อสมอง ภาพจาก BBC
สวัสดีครับ วันนี้พักเรื่องการผ่าตัดของผมเอาไว้ก่อน พอดีไปเจอบทความเรื่องเกี่ยวกับการใช้อินเตอร์เน็ตที่มากเกินไป หรือพวกติดเน็ตนั่นแหละครับ ซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์ทำการศึกษาแล้วเอาผลมาเผยแพร่ไว้ เรื่องราวก็เป็นดังนี้ครับ
ทีมผู้เชี่ยวชาญและนักวิจัยชาวจีนซึ่งนำโดยคุณ เฮา เล่ย (Hao Lei) แห่ง สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติจีน ใน หวู ฮั่น ( Chinese Academy of Sciences in Wuhan) ได้ทำการทดลองสแกนสมองวัยรุ่นอายุ 14-21 ปี จำนวน 35 คน พบว่ามีอยู่ 17 คนที่เป็นโรคติดอินเตอร์เน็ต (Internet Addiction Disorder, IAD) ครับ ซึ่งคนเหล่านี้เมื่อถูกถามว่าคุณเคยพยายามที่จะหยุดหรือลดการใช้อินเตอร์เน็ตหลายครั้งหลายคราวแล้ว แต่ไม่เคยสำเร็จเลยใช่หรือไม่? ก็จะตอบว่า "ใช่" ทุกทีไป ซึ่งหลักฐานจากการสแกนสมองจะแสดงให้เห็นส่วนของพื้นที่สีขาวของเนื้อสมองซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปในพวกที่ติดเน็ตในขณะที่ผู้ที่ไม่ติดจะไม่แสดงลักษณะเช่นนี้ ซึ่งส่วนสีขาวที่ว่านี้ก็คือส่วนที่ประกอบไปด้วยเส้นใยประสาทนั่นเอง (สมองประกอบไปด้วยสองส่วนหลักคือส่วนก้อนสีขาว - white matter และส่วนสีเทา - grey matter ซึ่งส่วนสีขาวจะทำหน้าที่ต่อการเรียนรู้เป็นหลักในขณะที่ส่วนสีเทาจะทำหน้าที่ควบคุมเรื่องความคิดและการคำนวณเป็นหลักครับ) นอกจากนั้นยังมีหลักฐานของการไม่สมประกอบของการเชื่อมประสานของใยสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ การตัดสินใจ และการควบคุมตัวเองอีกด้วย
ซึ่งผลการศึกษายังบ่งชี้ด้วยว่าคนที่เป็นโรคติดอินเตอร์เน็ตยังมีผลคล้ายกับคนที่ติดสารเสพย์ติดอีกด้วยนะครับ
ศาสตราจารย์ Gunter Shumann จาก King Colledge ได้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าคนที่ติดวิดีโอเกมก็จะมีอาการคล้ายๆกันนี่แหละ นอกจากนี้ ด็อกเตอร์ Henrietta Bowden-Jones แห่ง Imperial Colledge ก็ยังได้กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่าการค้นพบนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้น หรือนิมิตรหมายที่ดีของการศึกษาเรื่องนี้เลยทีเดียว เธอว่าอาการเสพย์ติดต่อสมองไม่ใช่มีแต่ที่เกิดจากการติดสารเสพย์ติดอย่างเดียว แต่ยังเกิดได้จากพฤติกรรมที่เสพย์ติดอีกด้วย "และการศึกษาเพิ่มเติมจากจำนวนบุคคลที่มากขึ้นยังจะช่วยเพิ่มความมั่นใจในเรื่องนี้อีกด้วยนะคะ" ...
ครับ เป็นอย่างไรบ้างครับ ทุกวันนี้เราจะเห็นว่าชีวิตประจำวันของเราแทบจะต้องอยู่กับคอมพิวเตอร์และอิตเตอร์เน็ตอยู่ตลอดเวลาเลย ผมเคยเห็นคนที่ติดวิดีโอเกมอย่างบ้าคลั่งเหมือนกันครับ เพื่อนผมเองแหละครับ สมัยที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย บางคนเล่นข้ามวันข้ามคืนโดยนั่งอยู่ที่เดียวตลอดเวลา จะลุกก็แค่ตอนไปห้องน้ำแค่นั้นเอง บางคนก็ติดเกมแบบการพนันเลย ซึ่งนี่ก็อันตรายเพราะเสียทั้งเวลา เสียสุขภาพ และเสียเงินอีกด้วย
อย่างไรก็ตามถ้าเราใช้เทคโนโลยีอย่างพอดีๆ ก็คงจะมีแต่ประโยชน์นะครับ โชคดีครับทุกคน สวัสดีครับ...
ประสบการณ์ผ่าตัดต่อมหมวกไตขวาและไตซ้ายออก ตอนนี้เหลือไตขวาข้างเดียวครับ
ไตขวาข้างที่เหลืออยู่ก็ไม่สมบูรณ์ครับ เพราะมีเนื้องอกติดอยู่ด้วย แต่หมอยังไม่เอาออกเพราะว่าจะผ่าตัดลำบากและอาจจะเสี่ยงเกินไปที่จะตัดไตบางส่วนทิ้ง...ซึ่งถ้าเอาออกก็เหลือไตแค่ครึ่งอันครับ โอย...
เหตุการณ์เกิดขึ้นเริ่มจากในช่วงเย็นๆของวันที่ 12 พ.ย. 53 ครับ เย็นวันนั้นผมเพิ่งเดินทางถึงโรงแรมที่พักในอำเภอเถินจังหวัดลำปางเพื่อจะไปทอดกฐินในวันรุ่งขึ้นครับ อาการเริ่มจากเจ็บนิดๆที่บริเวณใต้ชายโครงขวา ซึ่งตอนแรกผมนึกว่าคงเป็นอาการปวดหลังปวดเอวธรรมดาเพราะเพิ่งขับรถมาจากรังสิตตั้งแต่เช้า แต่อาการปวดมันไม่ดีขึ้นเลยมิหนำซ้ำยังปวดมากขึ้นอีกทีละนิดๆ จนผมเริ่มเห็นว่ามันผิดปกติ เพราะผมรู้สึกหวิวๆ มึนๆ ร่วมด้วยนิดหน่อย คิดได้ดังนั้นผมจึงรีบอาบน้ำ เก็บข้าวของใส่กระเป๋าตามเดิม เพื่อจะไปโรงพยาบาลทั้งๆที่เพิ่งจะเช็คอินเข้าโรงแรมได้แค่สองสามชั่วโมงเท่านั้น โชคดีที่โรงพยาบาลประจำอำเภออยู่ใกล้โรงแรมมาก ผมขับรถไปโรงพยาบาลทันที แต่พอบอกอาการและเล่าประวัติให้พยาบาลและหมอฟังเท่านั้น ทางโรงพยาบาลก็จัดการส่งตัวผมไปโรงพยาบาลประจำจังหวัดทันทีครับ ถึงแม้จะเป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัดแต่เนื่องจากเป็นตอนกลางคืน (ตอนนั้นเวลาประมาณตี 1 แล้ว) แพทย์เวรมีไม่พอกับจำนวนคนไข้ที่ทยอยเข้ามากันอย่างต่อเนื่อง ญาติจึงตัดสินใจพาผมไปโรงพยาบาลของเอกชนเพื่อให้บรรเทาอาการปวดก่อน ซึ่งตอนนั้นมันปวดมากๆ ทางโรงพยาบาลฉีดยาระงับปวดให้พร้อมทั้งวางแผนการรักษาครับ แต่จากประวัติโรคของผมมันมีความยุ่งยากซับซ้อนของโรคมากครับ สุดท้ายจึงตัดสินใจมารักษาต่อที่โรงพยาบาลในกรุงเทพในวันรุ่งขึ้น ขณะนั้นยังไม่ทราบเลยครับว่าผมเป็นอะไรกันแน่ รู้แต่ว่ามันปวดท้องมาก และยาที่ได้รับก็คือยาฉีดบรรเทาอาการปวดเท่านั้น ผมเข้ารับการรักษาต่อที่โรงพยาบาลวิภาวดีครับ แต่หลังจากวินิจฉัยในระดับหนึ่งแล้ว ทีมแพทย์ลงความเห็นว่าควรจะมารักษาต่อที่ศิริราชจึงทำเรื่องส่งตัวต่อมาที่ศิริราชครับ ซึ่งที่นี่ทีมแพทย์ก็ทำงานกันอย่างหนัก มีทั้งแพทย์ต่อมไร้ท่อ แพทย์อายุรศาสตร์ที่เคยตรวจรักษาญาติและผมด้วย ศัลยแพทย์ทางเดินปัสสาวะ และอื่นๆ หลังจากตรวจเลือด ปัสสาวะ เอ็กซเรย์ท้อง ตรวจด้วยวีธีกลืนรังสีและเอ็กซเรย์ทั่วร่างกายซึ่งใช้เวลาไปอาทิตย์กว่าแล้ว แพทย์ก็นัดผ่าตัดครับ เนื่องจากว่าสิ่งที่ตรวจพบคือเนื้องอกจำนวนมากในต่อมหมวกไตขวา ซีสต์หลายก้อนทั้งขนาดเล็กและใหญ่ (ใหญ่สุดเส้นผ่านศูนย์กลาง 12 เซนติเมตร) ที่ไตขวา เนื้องอกและซีสต์อีกจำนวนมากที่ไตซ้าย ซึ่งที่ไตซ้ายนี้เองแสดงลักษณะคล้ายเนื้อร้าย (มะเร็ง)ด้วย แพทย์จึงนัดผ่าตัดในเดือนมกราคม ปี 54 ครับ โดยจะผ่าตัดเอาต่อมหมวกไตขวาออกก่อนจากนั้นจึงจะผ่าตัดไตซ้าย สำหรับอาการปวดท้องของผมก็เกิดเนื่องจากซีสต์ที่ไตขวาติดเชื้อครับ ซึ่งสุดท้ายแพทย์ก็ตัดออกไป แต่ก็ไม่สามารถเลาะเอาซีสต์ที่มีทั้งหมดออกไปได้ เพราะมันมีจำนวนเยอะมากเกินไปครับ พวกที่ยังมีขนาดไม่ใหญ่แพทย์จึงยังไม่ทำอะไร ซึ่งก็ไม่มีอันตรายอะไรครับ อย่างที่บอกครับว่าผมเป็นโรค VHL ซึ่งเนื้องอกและซีสต์เหล่านี้ก็เกิดจากโรคนี้เช่นกัน เพียงแต่ว่าบางครั้งมันก็สร้างขึ้นที่สมอง บางครั้งก็ที่ตับ ไต ที่ตา ที่ไขสันหลัง และที่อื่นๆ ได้อีก สำหรับเรื่องตาซึ่งผมได้รับการรักษาโดยการยิงเลเซอร์ผมจะเล่าในตอนหลังนะครับ นอกจากนั้นผมยังเป็นเบาหวานซึ่งสันนิษฐานว่าอาจเป็นผลมาจากซีสต์ที่ตับอ่อนด้วยเนื่องจากมันอาจจะไปขัดขวางทางเดินของฮอร์โมนอินซูลินครับ
ผมเข้ารับการผ่าตัดเอาต่อมหมวกไตขวาออกในเดือนมกราคม ซึ่งก็ใช้เวลานอนพักที่โรงพยาบาล 8 วัน จากนั้นอีกสามเดือนต่อมาคือในเดือนเมษายนหลังกลับจากฉลองสงกรานต์ที่บ้านในต่างจังหวัดก็มาเข้ารับการผ่าตัดเอาไตซ้ายออกทั้งอันเนื่องจากเนื้องอกที่ไตซ้ายเกิดขึ้นในเนื้อไตเองจนไม่สามารถจะผ่าตัดเลาะเอาแต่เนื้องอกออกได้ ผลจากการตรวจชิ้นเนื้อที่ตัดออกพบว่ามันได้กลายเป็นมะเร็งไปแล้วครับ คราวนี้ผมพักอยู่ในโรงพยาบาล 7 วันครับ
ในความโชคร้ายผมยังมีความโชคดีแฝงอยู่ครับ คือยังโชคดีที่มะเร็งยังไม่ได้แพร่กระจายไปที่อวัยวะอื่นๆ ครับ เมื่อตัดออกแล้วจึงสบายใจมากๆ แต่ตอนนี้ก็กังวลครับว่าเหลือไตข้างเดียวแล้วต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง แต่ผมก็พยายามครับคือ ออกกำลังกายให้ได้ทุกๆวัน เรื่องอาหารก็สำคัญมากแต่ก็ไม่ง่ายครับ เพราะผมต้องคุมน้ำตาลด้วย ถึงอย่างไรผมก็ทำเท่าที่จะทำได้ ได้แค่ไหนก็แค่นั้นครับ... ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพดีและมีกำลังใจที่ดีทุกๆวันครับ สวัสดีครับ
เหตุการณ์เกิดขึ้นเริ่มจากในช่วงเย็นๆของวันที่ 12 พ.ย. 53 ครับ เย็นวันนั้นผมเพิ่งเดินทางถึงโรงแรมที่พักในอำเภอเถินจังหวัดลำปางเพื่อจะไปทอดกฐินในวันรุ่งขึ้นครับ อาการเริ่มจากเจ็บนิดๆที่บริเวณใต้ชายโครงขวา ซึ่งตอนแรกผมนึกว่าคงเป็นอาการปวดหลังปวดเอวธรรมดาเพราะเพิ่งขับรถมาจากรังสิตตั้งแต่เช้า แต่อาการปวดมันไม่ดีขึ้นเลยมิหนำซ้ำยังปวดมากขึ้นอีกทีละนิดๆ จนผมเริ่มเห็นว่ามันผิดปกติ เพราะผมรู้สึกหวิวๆ มึนๆ ร่วมด้วยนิดหน่อย คิดได้ดังนั้นผมจึงรีบอาบน้ำ เก็บข้าวของใส่กระเป๋าตามเดิม เพื่อจะไปโรงพยาบาลทั้งๆที่เพิ่งจะเช็คอินเข้าโรงแรมได้แค่สองสามชั่วโมงเท่านั้น โชคดีที่โรงพยาบาลประจำอำเภออยู่ใกล้โรงแรมมาก ผมขับรถไปโรงพยาบาลทันที แต่พอบอกอาการและเล่าประวัติให้พยาบาลและหมอฟังเท่านั้น ทางโรงพยาบาลก็จัดการส่งตัวผมไปโรงพยาบาลประจำจังหวัดทันทีครับ ถึงแม้จะเป็นโรงพยาบาลประจำจังหวัดแต่เนื่องจากเป็นตอนกลางคืน (ตอนนั้นเวลาประมาณตี 1 แล้ว) แพทย์เวรมีไม่พอกับจำนวนคนไข้ที่ทยอยเข้ามากันอย่างต่อเนื่อง ญาติจึงตัดสินใจพาผมไปโรงพยาบาลของเอกชนเพื่อให้บรรเทาอาการปวดก่อน ซึ่งตอนนั้นมันปวดมากๆ ทางโรงพยาบาลฉีดยาระงับปวดให้พร้อมทั้งวางแผนการรักษาครับ แต่จากประวัติโรคของผมมันมีความยุ่งยากซับซ้อนของโรคมากครับ สุดท้ายจึงตัดสินใจมารักษาต่อที่โรงพยาบาลในกรุงเทพในวันรุ่งขึ้น ขณะนั้นยังไม่ทราบเลยครับว่าผมเป็นอะไรกันแน่ รู้แต่ว่ามันปวดท้องมาก และยาที่ได้รับก็คือยาฉีดบรรเทาอาการปวดเท่านั้น ผมเข้ารับการรักษาต่อที่โรงพยาบาลวิภาวดีครับ แต่หลังจากวินิจฉัยในระดับหนึ่งแล้ว ทีมแพทย์ลงความเห็นว่าควรจะมารักษาต่อที่ศิริราชจึงทำเรื่องส่งตัวต่อมาที่ศิริราชครับ ซึ่งที่นี่ทีมแพทย์ก็ทำงานกันอย่างหนัก มีทั้งแพทย์ต่อมไร้ท่อ แพทย์อายุรศาสตร์ที่เคยตรวจรักษาญาติและผมด้วย ศัลยแพทย์ทางเดินปัสสาวะ และอื่นๆ หลังจากตรวจเลือด ปัสสาวะ เอ็กซเรย์ท้อง ตรวจด้วยวีธีกลืนรังสีและเอ็กซเรย์ทั่วร่างกายซึ่งใช้เวลาไปอาทิตย์กว่าแล้ว แพทย์ก็นัดผ่าตัดครับ เนื่องจากว่าสิ่งที่ตรวจพบคือเนื้องอกจำนวนมากในต่อมหมวกไตขวา ซีสต์หลายก้อนทั้งขนาดเล็กและใหญ่ (ใหญ่สุดเส้นผ่านศูนย์กลาง 12 เซนติเมตร) ที่ไตขวา เนื้องอกและซีสต์อีกจำนวนมากที่ไตซ้าย ซึ่งที่ไตซ้ายนี้เองแสดงลักษณะคล้ายเนื้อร้าย (มะเร็ง)ด้วย แพทย์จึงนัดผ่าตัดในเดือนมกราคม ปี 54 ครับ โดยจะผ่าตัดเอาต่อมหมวกไตขวาออกก่อนจากนั้นจึงจะผ่าตัดไตซ้าย สำหรับอาการปวดท้องของผมก็เกิดเนื่องจากซีสต์ที่ไตขวาติดเชื้อครับ ซึ่งสุดท้ายแพทย์ก็ตัดออกไป แต่ก็ไม่สามารถเลาะเอาซีสต์ที่มีทั้งหมดออกไปได้ เพราะมันมีจำนวนเยอะมากเกินไปครับ พวกที่ยังมีขนาดไม่ใหญ่แพทย์จึงยังไม่ทำอะไร ซึ่งก็ไม่มีอันตรายอะไรครับ อย่างที่บอกครับว่าผมเป็นโรค VHL ซึ่งเนื้องอกและซีสต์เหล่านี้ก็เกิดจากโรคนี้เช่นกัน เพียงแต่ว่าบางครั้งมันก็สร้างขึ้นที่สมอง บางครั้งก็ที่ตับ ไต ที่ตา ที่ไขสันหลัง และที่อื่นๆ ได้อีก สำหรับเรื่องตาซึ่งผมได้รับการรักษาโดยการยิงเลเซอร์ผมจะเล่าในตอนหลังนะครับ นอกจากนั้นผมยังเป็นเบาหวานซึ่งสันนิษฐานว่าอาจเป็นผลมาจากซีสต์ที่ตับอ่อนด้วยเนื่องจากมันอาจจะไปขัดขวางทางเดินของฮอร์โมนอินซูลินครับ
ผมเข้ารับการผ่าตัดเอาต่อมหมวกไตขวาออกในเดือนมกราคม ซึ่งก็ใช้เวลานอนพักที่โรงพยาบาล 8 วัน จากนั้นอีกสามเดือนต่อมาคือในเดือนเมษายนหลังกลับจากฉลองสงกรานต์ที่บ้านในต่างจังหวัดก็มาเข้ารับการผ่าตัดเอาไตซ้ายออกทั้งอันเนื่องจากเนื้องอกที่ไตซ้ายเกิดขึ้นในเนื้อไตเองจนไม่สามารถจะผ่าตัดเลาะเอาแต่เนื้องอกออกได้ ผลจากการตรวจชิ้นเนื้อที่ตัดออกพบว่ามันได้กลายเป็นมะเร็งไปแล้วครับ คราวนี้ผมพักอยู่ในโรงพยาบาล 7 วันครับ
ในความโชคร้ายผมยังมีความโชคดีแฝงอยู่ครับ คือยังโชคดีที่มะเร็งยังไม่ได้แพร่กระจายไปที่อวัยวะอื่นๆ ครับ เมื่อตัดออกแล้วจึงสบายใจมากๆ แต่ตอนนี้ก็กังวลครับว่าเหลือไตข้างเดียวแล้วต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง แต่ผมก็พยายามครับคือ ออกกำลังกายให้ได้ทุกๆวัน เรื่องอาหารก็สำคัญมากแต่ก็ไม่ง่ายครับ เพราะผมต้องคุมน้ำตาลด้วย ถึงอย่างไรผมก็ทำเท่าที่จะทำได้ ได้แค่ไหนก็แค่นั้นครับ... ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพดีและมีกำลังใจที่ดีทุกๆวันครับ สวัสดีครับ
วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555
ไปหาหมอทำอุลตร้าซาวนด์ช่องท้องมาวันนี้
สวัสดีครับ วันนี้จะเล่าเรื่องไปทำอุลตราซาวนด์ที่ศิริราชตามแพทย์นัดมาครับ จะว่าไปโรงพยาบาลอยู่ไกลจากบ้านที่รังสิตมากครับ อยู่คนละมุมของกรุงเทพฯเลย ต้องขึ้นทางด่วนตรงบางพูน ปทุมธานี แล้วก็ไปต่ออีกหนึ่งด่าน ลงที่ยมราชครับ โชคดีที่วันนี้รถไม่ติดเท่าไร ผมออกจากบ้านหกโมงครึ่ง ไปถึงโรงพยาบาลแปดโมงนิดๆ หาที่จอดรถยากมากครับ ที่จอดรถข้างโรงพยาบาลใกล้วัดที่ติดแม่น้ำเจ้าพระยาก็รถเยอะเหมือนกัน ผมวนหาที่จอดอยู่นาน สุดท้ายก็ได้ที่จอดริมแม่น้ำ พนักงานตรงที่จอดรถบอกว่า "น้าเข้าไปจอดข้างในเลยครับ ออกกี่โมงครับ" โห...เรียกน้าเลยนะครับ ทั้งๆที่ตัวแกเองก็ไม่ได้วัยรุ่นสักเท่าไรเลย ดูหน้าแล้วก็คงอายุไม่ห่างกันเท่าไร... ฮ่าๆ
ไปทำอุลตราซาวนด์ช่องท้อง (Abdomen, whole) เพื่อดูสภาพภายในช่องท้องหลังจากที่ผ่าตัดต่อมหมวกไตขวาและไตซ้ายไปเมื่อเดือนมกรากับเมษาปีที่แล้ว ว่ายังปกติดีอยู่หรือเปล่าครับ ใช้เวลาตรวจจริงๆ แค่ประมาณ 15 นาทีเอง ค่าใช้จ่าย 1,800 บาทครับ วันนี้ได้คิวเช้าก็เลยไม่ต้องรอนาน หมอใช้เจลเย็นๆ บีบจากขวดใส่หน้าท้องแล้วก็เอาเครื่องมือหัวมนๆ แบนๆ กดลากไปมาทั่วทั้งหน้าท้องแล้วก็ด้านข้างครับ ซึ่งหมอก็จะเห็นภาพ (ภายในช่องท้อง ตับไตใส้พุง) จากจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้า พอเสร็จหมอบอกว่าไม่พบก้อนเนื้ออะไร .. โล่งเลยครับ สบายใจขึ้นมาเลยว่าเราคงยังสบายดีไปได้อีกระยะหนึ่ง แต่ก็ยังมีซีสต์อยู่หลายก้อนเหมือนเดิมครับ เจ้าพวกซีสต์พวกนี้คงต้องอยู่กับมันไปอีกนาน เพราะมันคงไม่หายไปเฉยๆหรอกครับ จะตัดทิ้งหมอก็บอกว่ามันเยอะเกินไป เลาะออกหมดคงไม่ไหว เพราะคงใช้เวลานานมากๆ คราวที่แล้วตอนผ่าตัดต่อมหมวกไตหมอก็ตัดออกให้เฉพาะที่ลูกโตๆก่อนครับ ที่เหลือก็เก็บเอาไว้ดูเล่นก่อน.. ฮ่าๆ ถ้าจำเป็นก็ค่อยไปทำอะไรกับมันครับ
วันอังคารหน้าที่ 17 ก็จะไปพบหมอเจ้าของไข้ครับ หลังจากดูผลอุลตราซาวนด์แล้วคุณหมอคงจะอธิบายเพิ่มเติมและนัดมาตรวจอีกที
สำหรับช่วงที่ผ่านมาก็มีกังวลกับเรื่องที่เหลือไตแค่ข้างเดียว กลัวครับ ว่ามันจะเสียหายอะไรอีกหรือเปล่า ไม่อยากต้องไปฟอกไตครับ เท่าที่เคยรับรู้มามันลำบากน่าดู แต่สำหรับเรื่องการทำงานของไตแล้ว หมอบอกว่าไตข้างเดียวก็สามารถทำงานได้อย่างดีและเพียงพอต่อร่างกาย ไม่มีปัญหาอะไรเลย ตอนนี้ก็พยายามจะทำให้ดีที่สุดเพื่อให้มันคงอยู่กับเรานานๆครับ พี่น้องหลายๆ คนก็บอกว่าจะยกไตให้หนึ่งข้างถ้าจำเป็น ก็ต้องขอบคุณมาก แต่หวังว่าคงไม่ต้องถึงขนาดนั้นครับ.. โอย น่าหวาดเสียว
แล้วคุยกันใหม่ครับ สำหรับใครที่อยากคุยด้วยในบล็อกนี้ต้องสมัครสมาชิกนะครับ มันเป็นระบบของ blogspot ครับ ผมไม่ได้ตั้งขึ้นมาเอง แค่ให้ชื่อกับอีเมลครับ แล้วก็จะสามารถเขียนอะไรก็ได้ ตามสบายนะครับ
บายครับ...
ไปทำอุลตราซาวนด์ช่องท้อง (Abdomen, whole) เพื่อดูสภาพภายในช่องท้องหลังจากที่ผ่าตัดต่อมหมวกไตขวาและไตซ้ายไปเมื่อเดือนมกรากับเมษาปีที่แล้ว ว่ายังปกติดีอยู่หรือเปล่าครับ ใช้เวลาตรวจจริงๆ แค่ประมาณ 15 นาทีเอง ค่าใช้จ่าย 1,800 บาทครับ วันนี้ได้คิวเช้าก็เลยไม่ต้องรอนาน หมอใช้เจลเย็นๆ บีบจากขวดใส่หน้าท้องแล้วก็เอาเครื่องมือหัวมนๆ แบนๆ กดลากไปมาทั่วทั้งหน้าท้องแล้วก็ด้านข้างครับ ซึ่งหมอก็จะเห็นภาพ (ภายในช่องท้อง ตับไตใส้พุง) จากจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้า พอเสร็จหมอบอกว่าไม่พบก้อนเนื้ออะไร .. โล่งเลยครับ สบายใจขึ้นมาเลยว่าเราคงยังสบายดีไปได้อีกระยะหนึ่ง แต่ก็ยังมีซีสต์อยู่หลายก้อนเหมือนเดิมครับ เจ้าพวกซีสต์พวกนี้คงต้องอยู่กับมันไปอีกนาน เพราะมันคงไม่หายไปเฉยๆหรอกครับ จะตัดทิ้งหมอก็บอกว่ามันเยอะเกินไป เลาะออกหมดคงไม่ไหว เพราะคงใช้เวลานานมากๆ คราวที่แล้วตอนผ่าตัดต่อมหมวกไตหมอก็ตัดออกให้เฉพาะที่ลูกโตๆก่อนครับ ที่เหลือก็เก็บเอาไว้ดูเล่นก่อน.. ฮ่าๆ ถ้าจำเป็นก็ค่อยไปทำอะไรกับมันครับ
วันอังคารหน้าที่ 17 ก็จะไปพบหมอเจ้าของไข้ครับ หลังจากดูผลอุลตราซาวนด์แล้วคุณหมอคงจะอธิบายเพิ่มเติมและนัดมาตรวจอีกที
สำหรับช่วงที่ผ่านมาก็มีกังวลกับเรื่องที่เหลือไตแค่ข้างเดียว กลัวครับ ว่ามันจะเสียหายอะไรอีกหรือเปล่า ไม่อยากต้องไปฟอกไตครับ เท่าที่เคยรับรู้มามันลำบากน่าดู แต่สำหรับเรื่องการทำงานของไตแล้ว หมอบอกว่าไตข้างเดียวก็สามารถทำงานได้อย่างดีและเพียงพอต่อร่างกาย ไม่มีปัญหาอะไรเลย ตอนนี้ก็พยายามจะทำให้ดีที่สุดเพื่อให้มันคงอยู่กับเรานานๆครับ พี่น้องหลายๆ คนก็บอกว่าจะยกไตให้หนึ่งข้างถ้าจำเป็น ก็ต้องขอบคุณมาก แต่หวังว่าคงไม่ต้องถึงขนาดนั้นครับ.. โอย น่าหวาดเสียว
แล้วคุยกันใหม่ครับ สำหรับใครที่อยากคุยด้วยในบล็อกนี้ต้องสมัครสมาชิกนะครับ มันเป็นระบบของ blogspot ครับ ผมไม่ได้ตั้งขึ้นมาเอง แค่ให้ชื่อกับอีเมลครับ แล้วก็จะสามารถเขียนอะไรก็ได้ ตามสบายนะครับ
บายครับ...
ผ่าสมองครั้งที่ 4 ที่โรงพยาบาลวิภาวดี ปี 2548
สวัสดีครับ วันนี้เอาเรื่องการผ่าตัดสมองครั้งที่ 4 มาเล่าให้ฟังกันครับ เข้าเรื่องเลยนะครับ
ผมเข้ารับการผ่าสมองครั้งที่สี่ หลังจากผ่าครั้งที่สาม 1 ปีครับ ที่จริงถึงตรงนี้แล้ว (คือหลังจากผ่าตัดสมองครั้งที่สาม) ผมก็ยอมรับและเริ่มเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันได้ถึงระดับหนึ่งแล้วครับ ดังนั้นการผ่าตัดครั้งที่สี่จึงไม่ทำให้ผมกังวลใจมากนัก นอกจากจะกลัวว่ามันจะปลอดภัยไหม และผมจะกลับมาปกติเหมือนเดิมเหมือนก่อนผ่าตัดหรือไม่ เพราะผมทราบว่าการที่ต้องได้รับการผ่าตัดสมองหลายครั้งย่อมมีผลกระทบต่อสมองแน่นอน อย่างแรกเลยที่ผมทราบจากคุณหมอคือ ในระยะยาวความจำอาจจะไม่ดีเหมือนเก่า แต่ผมก็เลือกไม่ได้นี่ครับ ถึงแม้จะเลือกไม่ได้แต่ผมก็ทำใจได้ครับ การผ่าตัดสมองครั้งที่สี่ เกิดขึ้นขณะที่ผมได้ไปปฏิบัติงานอยู่ต่างประเทศที่เวียดนามครับ ระยะทางไม่ไกลมาก นั่งเครื่องบินประมาณชั่วโมงนิดๆ ก็ถึงแล้วครับ ดังนั้นจึงไม่น่ากังวลใจมากนักในกรณีที่ต้องเข้าโรงพยาบาลด่วน และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆครับ เมื่อวันหนึ่งผมรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับตัวผม มันเจ็บแปลกๆ ที่บริเวณหน้าท้องใต้ชายโครงขวาครับ ตอนแรกผมนึกว่าคงไม่มีอะไรเพราะมันแค่เจ็บนิดเดียว แล้วก็หายไป แต่พอมันเป็นอย่างนี้อยู่สี่ห้าวันผมก็เริ่มไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวผมกันแน่ แล้วยิ่งพอวันที่ห้าที่หกผมเริ่มมีอาการปวดและมึนศีรษะร่วมด้วย ก็ยิ่งทำให้ผมคิดหนักว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมมาแน่ใจว่าต้องมีอะไรผิดปกติที่ไม่ธรรมดาแน่นอนก็ประมาณวันที่หกครับ คืออาการมึนที่เพิ่มมากขึ้นและจากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้ผมรู้ตัวว่าถึงเวลาต้องไปหาหมอแล้ว ผมรีบไปคอนเฟิร์มเที่ยวบินกลับเมืองไทยทันทีเลยสำหรับวันรุ่งขึ้นซึ่งก็นับว่าโชคดีมากที่ไหวตัวทัน เพราะบ่ายๆ ของวันนั้นเองผมก็ต้องรีบออกจากที่ทำงานกลับมาที่พักและนอนพักอย่างหมดเรี่ยวแรงอยู่นานหลายชั่วโมง มันมีอาการปวดและมึนศีรษะเพิ่มขึ้นครับ และอยากจะอาเจียนร่วมด้วย ผมรู้สึกเหมือนกับว่าจะไม่มีโอกาสลุกจากที่นอนอีกแล้วตั้งแต่ตอนนั้นหลังจากที่ล้มตัวลงนอน มันรู้สึกเหมือนกับตัวจะจมหายเข้าไปในที่นอนเลยครับ ผมบอกกับพี่คนไทยที่ทำงานด้วยกันก่อนจะกลับมานอนพักด้วยว่าถ้าถึงห้าโมงเย็นของวันนั้นให้โทรหาผมด้วย เพราะผมไม่แน่ใจว่าถึงตอนนั้นผมจะเป็นอย่างไรบ้าง คือถ้าผมอาการแย่จริงๆ อย่างน้อยก็ยังจะมีคนทราบครับ ลืมบอกไปว่าผมไปทำงานที่นั่นโดยไม่มีครอบครัวหรือญาติไปด้วยครับ ผมไปคนเดียวเพราะเห็นว่าคงอยู่ไม่นานเท่าไหร่ พอใกล้ห้าโมงเย็นอาการผมก็เริ่มดีขึ้น เริ่มมีเรี่ยวแรง และไม่มึนมากเหมือนเดิม ตอนนั้นถึงแม้จะมึนศีรษะมาก แต่ผมกลับคิดว่าซีสต์ในท้องคงแตกเลยทำให้ปวดท้องและมีอาการลามไปที่ศีรษะด้วยเพราะมันเกิดจากโรคเดียวกัน (ผมทราบมาก่อนแล้วว่าโรค VHL ที่ผมเป็นนั้น สามารถสร้างเนื้องอกและซีสต์ในหลายๆที่ได้ ซึ่งจากการตรวจอัลตราซาวด์ที่ผ่านมาทำให้ผมทราบว่าผมมีซีสต์ก้อนโต (ตอนนั้น เส้นผ่านศูนย์กลาง 9 เซนติเมตร) ที่ตับด้วย ซึ่งผมจะเล่าถึงผลของมันในตอนต่อไปครับ) เพราะมันเจ็บที่ท้องมาก่อนหลายวันครับ คืนนั้นผมหลับสบายซึ่งนับว่าโชคดีมาก เพราะหากเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้นผมไม่แน่ใจว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรครับ ผมจะมีโอกาสได้มาเล่าประสบการณ์หรือเปล่าก็ยังไม่แน่ ผมนั่งเครื่องบินกลับเมืองไทยในวันรุ่งขึ้น ซึ่งผมก็ตรงไปโรงพยาบาลทันทีครับ เล่าอาการและประวัติให้หมอฟังแล้วก็ได้รับการตรวจอัลตราซาวด์เพื่อดูซีสต์ในท้องว่ายังปกติดีหรือไม่ ผลออกมาปกติดีครับ ซึ่งก็ทำให้ผมแปลกใจมากว่าแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ยังโชคดีที่คุณหมอท่านแนะนำให้ไปเอ็กซเรย์สมอง (CT scan) ดูอีกที ซึ่งผลที่ออกมาก็ชัดเลยครับ ผมมีเนื้องอกในสมอง (ส่วนหลัง) ใกล้ๆกับที่เดิมที่เคยผ่ามาแล้ว 3 ครั้งก่อนหน้า คุณหมอแนะนำให้ผ่าเลยทันที ซึ่งผมก็กลับบ้านไปเก็บเสื้อผ้ามานอนโรงพยาบาลเลยในเย็นวันนั้น การผ่าตัดผ่านพ้นไปด้วยดีครับ ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ผมฟื้นตัวดี และอาการทั่วไปก็ปกติดี พักต่อที่โรงพยาบาลอีกสองสามวันผมก็กลับมาพักฟื้นต่อที่บ้านได้ ซึ่งใช้เวลารวมทั้งหมดประมาณสามสี่อาทิตย์ในเมืองไทยผมก็กลับไปทำงานต่อที่ต่างประเทศได้เหมือนเดิม ผมคิดว่าที่ผมฟื้นตัวได้เร็วน่าจะเป็นเพราะว่าผมออกกำลังกายอยู่เสมอครับ ที่จริงไม่ใช่ว่าผมมีระเบียบวินัยอะไรมากหรอกครับ แต่ผมรู้ตัวดีว่าผมไม่มีทางเลือกมากกว่า โรคของผมซึ่งถ่ายทอดทางพันธุกรรม เป็นโรคที่ตอนนี้ยังไม่มียารักษา(ในต่างประเทศด้วย) ทางเดียวที่จะช่วยได้คือผมต้องเตรียมพร้อมอยู่เสมอครับ อาจฟังดูเหมือนผมจะเข้มแข็งแต่ที่จริงบางครั้ง (หลายครั้ง) ผมก็ต้องสารภาพว่าผมก็ร้องให้เหมือนกัน ผมไม่รู้ว่าผมจะต้องผ่าตัดสมอง หรืออวัยวะอื่นๆอีกมากน้อยแค่ไหน แล้วผลจะเป็นอย่างไร ร่างกายผมจะรับไหวได้มากแค่ไหน แล้วถ้าถึงวันที่มันไม่ไหวผมจะเป็นอย่างไร ครอบครัวจะอยู่อย่างไร ฯ คิดไปมากมายสารพัดครับ แต่สุดท้ายความคิดมันก็จบลงตรงที่ว่าเราจะท้อไปทำไม มันไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย ความเข้มแข็งต่างหากที่จะช่วยได้ แล้วผมก็เริ่มกลับมาออกกำลังอีกครั้งครับ อยู่กับมันต่อไป อย่างที่บอกผมผ่าตัดสมองครั้งที่สี่ห่างจากครั้งที่สามเป็นเวลา 1 ปีครับ ดูเหมือนระยะเวลาระหว่างการผ่าตัดแต่ละครั้งมันสั้นลง คือจากสิบปีเป็นสามปีและหนึ่งปีตามลำดับ แต่หลังจากครั้งที่สี่แล้วตอนนี้ก็หกปีเข้าไปแล้วยังไม่มีอะไรผิดปกติครับ ผมก็ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้มีอะไรอีกเลย
แต่มันยังไม่จบครับ คำภาวนาของผมยังคงไม่เป็นผล เมื่อต้นปี 2554 นี้เองที่ผมต้องนอนโรงพยาบาลอีกครั้งซึ่งคราวนี้ก็หนักเหมือนๆกันครับ ผมต้องเข้ารับการผ่าตัดต่อมหมวกไตขวาทิ้งเนื่องจากเป็นเนื้องอก และผ่าตัดไตซ้ายทิ้งเนื่องจากเป็นมะเร็งครับ แล้วผมจะมาเล่าให้ฟังอีกครับ ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านและให้กำลังใจครับ ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพที่ดี และมีความสุขครับ สวัสดีครับ
ผมเข้ารับการผ่าสมองครั้งที่สี่ หลังจากผ่าครั้งที่สาม 1 ปีครับ ที่จริงถึงตรงนี้แล้ว (คือหลังจากผ่าตัดสมองครั้งที่สาม) ผมก็ยอมรับและเริ่มเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันได้ถึงระดับหนึ่งแล้วครับ ดังนั้นการผ่าตัดครั้งที่สี่จึงไม่ทำให้ผมกังวลใจมากนัก นอกจากจะกลัวว่ามันจะปลอดภัยไหม และผมจะกลับมาปกติเหมือนเดิมเหมือนก่อนผ่าตัดหรือไม่ เพราะผมทราบว่าการที่ต้องได้รับการผ่าตัดสมองหลายครั้งย่อมมีผลกระทบต่อสมองแน่นอน อย่างแรกเลยที่ผมทราบจากคุณหมอคือ ในระยะยาวความจำอาจจะไม่ดีเหมือนเก่า แต่ผมก็เลือกไม่ได้นี่ครับ ถึงแม้จะเลือกไม่ได้แต่ผมก็ทำใจได้ครับ การผ่าตัดสมองครั้งที่สี่ เกิดขึ้นขณะที่ผมได้ไปปฏิบัติงานอยู่ต่างประเทศที่เวียดนามครับ ระยะทางไม่ไกลมาก นั่งเครื่องบินประมาณชั่วโมงนิดๆ ก็ถึงแล้วครับ ดังนั้นจึงไม่น่ากังวลใจมากนักในกรณีที่ต้องเข้าโรงพยาบาลด่วน และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆครับ เมื่อวันหนึ่งผมรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับตัวผม มันเจ็บแปลกๆ ที่บริเวณหน้าท้องใต้ชายโครงขวาครับ ตอนแรกผมนึกว่าคงไม่มีอะไรเพราะมันแค่เจ็บนิดเดียว แล้วก็หายไป แต่พอมันเป็นอย่างนี้อยู่สี่ห้าวันผมก็เริ่มไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวผมกันแน่ แล้วยิ่งพอวันที่ห้าที่หกผมเริ่มมีอาการปวดและมึนศีรษะร่วมด้วย ก็ยิ่งทำให้ผมคิดหนักว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผมมาแน่ใจว่าต้องมีอะไรผิดปกติที่ไม่ธรรมดาแน่นอนก็ประมาณวันที่หกครับ คืออาการมึนที่เพิ่มมากขึ้นและจากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้ผมรู้ตัวว่าถึงเวลาต้องไปหาหมอแล้ว ผมรีบไปคอนเฟิร์มเที่ยวบินกลับเมืองไทยทันทีเลยสำหรับวันรุ่งขึ้นซึ่งก็นับว่าโชคดีมากที่ไหวตัวทัน เพราะบ่ายๆ ของวันนั้นเองผมก็ต้องรีบออกจากที่ทำงานกลับมาที่พักและนอนพักอย่างหมดเรี่ยวแรงอยู่นานหลายชั่วโมง มันมีอาการปวดและมึนศีรษะเพิ่มขึ้นครับ และอยากจะอาเจียนร่วมด้วย ผมรู้สึกเหมือนกับว่าจะไม่มีโอกาสลุกจากที่นอนอีกแล้วตั้งแต่ตอนนั้นหลังจากที่ล้มตัวลงนอน มันรู้สึกเหมือนกับตัวจะจมหายเข้าไปในที่นอนเลยครับ ผมบอกกับพี่คนไทยที่ทำงานด้วยกันก่อนจะกลับมานอนพักด้วยว่าถ้าถึงห้าโมงเย็นของวันนั้นให้โทรหาผมด้วย เพราะผมไม่แน่ใจว่าถึงตอนนั้นผมจะเป็นอย่างไรบ้าง คือถ้าผมอาการแย่จริงๆ อย่างน้อยก็ยังจะมีคนทราบครับ ลืมบอกไปว่าผมไปทำงานที่นั่นโดยไม่มีครอบครัวหรือญาติไปด้วยครับ ผมไปคนเดียวเพราะเห็นว่าคงอยู่ไม่นานเท่าไหร่ พอใกล้ห้าโมงเย็นอาการผมก็เริ่มดีขึ้น เริ่มมีเรี่ยวแรง และไม่มึนมากเหมือนเดิม ตอนนั้นถึงแม้จะมึนศีรษะมาก แต่ผมกลับคิดว่าซีสต์ในท้องคงแตกเลยทำให้ปวดท้องและมีอาการลามไปที่ศีรษะด้วยเพราะมันเกิดจากโรคเดียวกัน (ผมทราบมาก่อนแล้วว่าโรค VHL ที่ผมเป็นนั้น สามารถสร้างเนื้องอกและซีสต์ในหลายๆที่ได้ ซึ่งจากการตรวจอัลตราซาวด์ที่ผ่านมาทำให้ผมทราบว่าผมมีซีสต์ก้อนโต (ตอนนั้น เส้นผ่านศูนย์กลาง 9 เซนติเมตร) ที่ตับด้วย ซึ่งผมจะเล่าถึงผลของมันในตอนต่อไปครับ) เพราะมันเจ็บที่ท้องมาก่อนหลายวันครับ คืนนั้นผมหลับสบายซึ่งนับว่าโชคดีมาก เพราะหากเกิดอะไรขึ้นในคืนนั้นผมไม่แน่ใจว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรครับ ผมจะมีโอกาสได้มาเล่าประสบการณ์หรือเปล่าก็ยังไม่แน่ ผมนั่งเครื่องบินกลับเมืองไทยในวันรุ่งขึ้น ซึ่งผมก็ตรงไปโรงพยาบาลทันทีครับ เล่าอาการและประวัติให้หมอฟังแล้วก็ได้รับการตรวจอัลตราซาวด์เพื่อดูซีสต์ในท้องว่ายังปกติดีหรือไม่ ผลออกมาปกติดีครับ ซึ่งก็ทำให้ผมแปลกใจมากว่าแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ยังโชคดีที่คุณหมอท่านแนะนำให้ไปเอ็กซเรย์สมอง (CT scan) ดูอีกที ซึ่งผลที่ออกมาก็ชัดเลยครับ ผมมีเนื้องอกในสมอง (ส่วนหลัง) ใกล้ๆกับที่เดิมที่เคยผ่ามาแล้ว 3 ครั้งก่อนหน้า คุณหมอแนะนำให้ผ่าเลยทันที ซึ่งผมก็กลับบ้านไปเก็บเสื้อผ้ามานอนโรงพยาบาลเลยในเย็นวันนั้น การผ่าตัดผ่านพ้นไปด้วยดีครับ ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ผมฟื้นตัวดี และอาการทั่วไปก็ปกติดี พักต่อที่โรงพยาบาลอีกสองสามวันผมก็กลับมาพักฟื้นต่อที่บ้านได้ ซึ่งใช้เวลารวมทั้งหมดประมาณสามสี่อาทิตย์ในเมืองไทยผมก็กลับไปทำงานต่อที่ต่างประเทศได้เหมือนเดิม ผมคิดว่าที่ผมฟื้นตัวได้เร็วน่าจะเป็นเพราะว่าผมออกกำลังกายอยู่เสมอครับ ที่จริงไม่ใช่ว่าผมมีระเบียบวินัยอะไรมากหรอกครับ แต่ผมรู้ตัวดีว่าผมไม่มีทางเลือกมากกว่า โรคของผมซึ่งถ่ายทอดทางพันธุกรรม เป็นโรคที่ตอนนี้ยังไม่มียารักษา(ในต่างประเทศด้วย) ทางเดียวที่จะช่วยได้คือผมต้องเตรียมพร้อมอยู่เสมอครับ อาจฟังดูเหมือนผมจะเข้มแข็งแต่ที่จริงบางครั้ง (หลายครั้ง) ผมก็ต้องสารภาพว่าผมก็ร้องให้เหมือนกัน ผมไม่รู้ว่าผมจะต้องผ่าตัดสมอง หรืออวัยวะอื่นๆอีกมากน้อยแค่ไหน แล้วผลจะเป็นอย่างไร ร่างกายผมจะรับไหวได้มากแค่ไหน แล้วถ้าถึงวันที่มันไม่ไหวผมจะเป็นอย่างไร ครอบครัวจะอยู่อย่างไร ฯ คิดไปมากมายสารพัดครับ แต่สุดท้ายความคิดมันก็จบลงตรงที่ว่าเราจะท้อไปทำไม มันไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย ความเข้มแข็งต่างหากที่จะช่วยได้ แล้วผมก็เริ่มกลับมาออกกำลังอีกครั้งครับ อยู่กับมันต่อไป อย่างที่บอกผมผ่าตัดสมองครั้งที่สี่ห่างจากครั้งที่สามเป็นเวลา 1 ปีครับ ดูเหมือนระยะเวลาระหว่างการผ่าตัดแต่ละครั้งมันสั้นลง คือจากสิบปีเป็นสามปีและหนึ่งปีตามลำดับ แต่หลังจากครั้งที่สี่แล้วตอนนี้ก็หกปีเข้าไปแล้วยังไม่มีอะไรผิดปกติครับ ผมก็ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้มีอะไรอีกเลย
แต่มันยังไม่จบครับ คำภาวนาของผมยังคงไม่เป็นผล เมื่อต้นปี 2554 นี้เองที่ผมต้องนอนโรงพยาบาลอีกครั้งซึ่งคราวนี้ก็หนักเหมือนๆกันครับ ผมต้องเข้ารับการผ่าตัดต่อมหมวกไตขวาทิ้งเนื่องจากเป็นเนื้องอก และผ่าตัดไตซ้ายทิ้งเนื่องจากเป็นมะเร็งครับ แล้วผมจะมาเล่าให้ฟังอีกครับ ขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านและให้กำลังใจครับ ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพที่ดี และมีความสุขครับ สวัสดีครับ
วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555
ผ่าตัดครั้งที่ 2 และ 3 ปกติดีครับ หายเร็วกว่าครั้งแรกเยอะเลย...
สวัสดีทุกคนครับ วันนี้เอาประสบการณ์ผ่าตัดสมองครั้งที่ 2 และ 3 มาบันทึกไว้ครับ เชิญอ่านครับ...
ผมเข้ารับการผ่าตัดสมองครั้งที่ 2 และ 3 อย่างธรรมดาๆ ครับ เหตุเพราะว่าก็ไม่มีอะไรผิดปกติไปจากการผ่าสมองธรรมดาเนื่องจากผมรู้ตัวเร็วว่าคงจะเป็นเนื้องอกในสมองอีกแล้ว และผมได้เตรียมตัวดีขึ้นสำหรับการผ่าตัดทั้งสองครั้งนั้น คือหลังจากผ่าตัดครั้งแรกแล้ว ผมพอจะทราบจากคุณหมออายุรกรรมและเชี่ยวชาญทางด้านพันธุกรรมจากศิริราชด้วยว่าโรคที่ผมและครอบครัวเป็นกันน่าจะเป็นโรคที่เรียกว่า VHL อันเกิดจากความผิดปกติในระดับยีนในโครโมโซม และสามารถถ่ายทอดได้ทางกรรมพันธุ์ครับ จากลักษณะของโรคคุณหมอยังได้ให้ข้อมูลอีกว่าหลังจากการผ่าตัดแล้ว เนื้องอกหรือซีสต์สามารถเกิดขึ้นได้อีก (หลายครั้ง) ดังนั้นผมจึงตระหนักดีว่าผมมีโอกาสที่จะเป็นอีกเมื่อไหร่ก็ได้ และได้เริ่มดูแลตัวเองมากขึ้นโดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและพร้อมรับมือถ้าต้องทำการผ่าตัดอีกครับ และก็นับว่าผมคิดถูกที่ทำอย่างนั้นเพราะว่าการผ่าตัดสมองเนื่องจากเนื้องอกในสมองส่วนหลังครั้งที่ 2 และ 3 ซึ่งใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง กับ 8 ชั่วโมงตามลำดับ ก็ผ่านไปอย่างเรียบร้อย ผมพักอยู่ในโรงพยาบาลต่ออีกประมาณ 5 วันครับ แล้วกลับมาพักต่อที่บ้านอีกประมาณครั้งละหนึ่งอาทิตย์ก็ไปทำงานได้ตามปกติ ถึงแม้จะยังไม่แข็งแรงเหมือนเดิม แต่ก็พอจะทำได้แล้วครับ
ผ่าสมองครั้งที่ 2 ผมผ่าที่โรงพยาบาลพญาไท 2 ครับ ส่วนครั้งที่ 3 ที่สถาบันประสาทวิทยา ใกล้ๆ โรงพยาบาลรามาฯ ครับ ถามว่าทำไมเปลี่ยนโรงพยาบาลไปเรื่อย? ที่จริงผมไม่อยากเปลี่ยนหรอกครับ แต่ครั้งที่สองผมต้องการรับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนครับ ส่วนครั้งที่สามผมต้องการไปรักษากับคุณหมอคนเดิมที่ผ่าครั้งที่สองและทราบว่าท่านย้ายไปอยู่ที่นั่นก็เลยตามไปครับ การผ่าตัดมาสามครั้งในช่วงระยะเวลา 13 ปี ทำให้ผมพอจับทางได้ว่าผมต้องทำตัวอย่างไรสำหรับเตรียมรับมือถ้าจะต้องผ่าครั้งต่อๆไป ซึ่งก็ได้ผลมากครับ เพราะผมมีครั้งที่ 4 หลังจากครั้งที่ 3 แค่ปีเดียว ซึ่งผมจะเอาไว้เล่าในตอนต่อไปครับ สำหรับการผ่าตัดครั้งที่ 2 ห่างจากครั้งแรก 10 ปี ส่วนครั้งที่ 3 ห่างจากครั้งที่สอง 3 ปี ครับ หลังผ่าตัด ผมไม่มียาอะไรรับประทานต่อเนื่องยาวนาน จะมีก็ยาจำพวกแก้ปวด หรือแก้อักเสบสำหรับทานต่อแค่ประมาณ 1-2 อาทิตย์ครับ สวัสดีครับ
ผมเข้ารับการผ่าตัดสมองครั้งที่ 2 และ 3 อย่างธรรมดาๆ ครับ เหตุเพราะว่าก็ไม่มีอะไรผิดปกติไปจากการผ่าสมองธรรมดาเนื่องจากผมรู้ตัวเร็วว่าคงจะเป็นเนื้องอกในสมองอีกแล้ว และผมได้เตรียมตัวดีขึ้นสำหรับการผ่าตัดทั้งสองครั้งนั้น คือหลังจากผ่าตัดครั้งแรกแล้ว ผมพอจะทราบจากคุณหมออายุรกรรมและเชี่ยวชาญทางด้านพันธุกรรมจากศิริราชด้วยว่าโรคที่ผมและครอบครัวเป็นกันน่าจะเป็นโรคที่เรียกว่า VHL อันเกิดจากความผิดปกติในระดับยีนในโครโมโซม และสามารถถ่ายทอดได้ทางกรรมพันธุ์ครับ จากลักษณะของโรคคุณหมอยังได้ให้ข้อมูลอีกว่าหลังจากการผ่าตัดแล้ว เนื้องอกหรือซีสต์สามารถเกิดขึ้นได้อีก (หลายครั้ง) ดังนั้นผมจึงตระหนักดีว่าผมมีโอกาสที่จะเป็นอีกเมื่อไหร่ก็ได้ และได้เริ่มดูแลตัวเองมากขึ้นโดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและพร้อมรับมือถ้าต้องทำการผ่าตัดอีกครับ และก็นับว่าผมคิดถูกที่ทำอย่างนั้นเพราะว่าการผ่าตัดสมองเนื่องจากเนื้องอกในสมองส่วนหลังครั้งที่ 2 และ 3 ซึ่งใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง กับ 8 ชั่วโมงตามลำดับ ก็ผ่านไปอย่างเรียบร้อย ผมพักอยู่ในโรงพยาบาลต่ออีกประมาณ 5 วันครับ แล้วกลับมาพักต่อที่บ้านอีกประมาณครั้งละหนึ่งอาทิตย์ก็ไปทำงานได้ตามปกติ ถึงแม้จะยังไม่แข็งแรงเหมือนเดิม แต่ก็พอจะทำได้แล้วครับ
ผ่าสมองครั้งที่ 2 ผมผ่าที่โรงพยาบาลพญาไท 2 ครับ ส่วนครั้งที่ 3 ที่สถาบันประสาทวิทยา ใกล้ๆ โรงพยาบาลรามาฯ ครับ ถามว่าทำไมเปลี่ยนโรงพยาบาลไปเรื่อย? ที่จริงผมไม่อยากเปลี่ยนหรอกครับ แต่ครั้งที่สองผมต้องการรับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนครับ ส่วนครั้งที่สามผมต้องการไปรักษากับคุณหมอคนเดิมที่ผ่าครั้งที่สองและทราบว่าท่านย้ายไปอยู่ที่นั่นก็เลยตามไปครับ การผ่าตัดมาสามครั้งในช่วงระยะเวลา 13 ปี ทำให้ผมพอจับทางได้ว่าผมต้องทำตัวอย่างไรสำหรับเตรียมรับมือถ้าจะต้องผ่าครั้งต่อๆไป ซึ่งก็ได้ผลมากครับ เพราะผมมีครั้งที่ 4 หลังจากครั้งที่ 3 แค่ปีเดียว ซึ่งผมจะเอาไว้เล่าในตอนต่อไปครับ สำหรับการผ่าตัดครั้งที่ 2 ห่างจากครั้งแรก 10 ปี ส่วนครั้งที่ 3 ห่างจากครั้งที่สอง 3 ปี ครับ หลังผ่าตัด ผมไม่มียาอะไรรับประทานต่อเนื่องยาวนาน จะมีก็ยาจำพวกแก้ปวด หรือแก้อักเสบสำหรับทานต่อแค่ประมาณ 1-2 อาทิตย์ครับ สวัสดีครับ
วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555
ผ่าตัดครั้งแรก รอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์
ผมเข้ารับการผ่าตัดสมองครั้งแรกตอนอายุ 19 ปีครับ ตอนนี้ผมอายุ 40 ปีแล้ว นับเวลาก็ผ่านมา 21 ปีแล้ว การผ่าตัดครั้งนั้นเป็นการผ่าตัดที่บอบช้ำที่สุดในชีวิต และต้องเรียกว่ารอดตายมาได้อย่างปาฏิหาริย์ ตอนนั้นยังไม่ทราบว่าเป็นโรคอะไรหรอกครับ จำได้ว่าช่วงนั้นเพิ่งเรียนจบเทอมที่สองของชั้นปีที่ 1 ของมหาวิทยาลัยรัฐบาลแห่งหนึ่งในภาคเหนือ ผมกลับบ้านมาอยู่กับพ่อแม่ที่เพชรบูรณ์ในช่วงปิดภาคเรียนครับ อาการปวดหัวเริ่มตั้งแต่ประมาณหนึ่งเดือนก่อนปิดเทอมแล้ว ตอนแรกๆ ปวดไม่มากนักตรงท้ายทอย แต่ก็ปวดมากขึ้นมานิดหน่อยทุกวัน ๆ ซึ่งผมก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรผิดปกติ ปวดอย่างนั้นอยู่เป็นเดือนจนสอบเสร็จกลับมาอยู่บ้าน อาการปวดก็ไม่หายไป แต่กลับเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังทนได้อยู่ ตอนนั้นก็ยังไม่ทราบว่าเป็นอะไรอยู่ดี และไม่ได้ไปหาหมอที่ใดๆ เพราะความที่ปกติร่างกายก็แข็งแรงดี และเคยปวดหัวธรรมดาๆ มาก่อนซึ่งไม่นานก็หายไปได้เอง ผมกินยาแก้ปวดพวกพาราเซตามอลแล้ว แต่ก็ยังไม่หาย ยาแก้ปวดอื่นๆ ก็ทานแต่ก็ยังเอาไม่อยู่อยู่ดี จนวันหนึ่งร่างกายผมเริ่มทนไม่ได้ ต้องนอนซม ขดตัวอยู่กับที่นอนอยู่ตลอดเวลา ผมนอนซมอยู่อย่างนั้นติดต่อกันสองสามวัน จะลุกขึ้นมาก็ตอนทานข้าว เข้าห้องน้ำเท่านั้น แต่ทุกคนทางบ้านก็ไม่ทราบว่าเป็นอะไรและจะทำอย่างไรดี ตอนนั้นผมก็แทบไม่ได้สติอะไรแล้ว ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร และต้องทำอย่างไรต่อไป แต่เหมือนกับยังไม่ถึงเวลาต้องจากไปก่อนวัยอันควรครับ จู่ๆ ขณะที่นอนซมอยู่อย่างนั้นสมองก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า พี่ชายผมคนหนึ่งเพิ่งไปผ่าตัดสมองมาไม่นาน ผมคิดว่าจะลองไปปรึกษาพี่ชายดู เผื่อจะมีอะไรที่คล้ายๆ กันหรือเปล่า ผมบอกพ่อว่าจะไปหาพี่ชายที่ในเมือง พ่ออนุญาต แล้วผมก็นั่งรถสองแถวไปหาพี่ชาย ด้วยสภาพที่อิดโรยเต็มที พี่ชายเห็นสภาพผมและอาการที่ผมเล่าก็รีบจัดแจงขับรถพาไปตรวจสมองที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก ระหว่างการเดินทางซึ่งต้องผ่านเทือกเขาสูงของเขาค้อไปนั้น บางช่วงผมแทบจะสิ้นสติ เพราะความเจ็บปวด ทั้งปวด ทั้งมึน และอยากจะอาเจียนไปตลอดทาง ผมต้องมีถุงพลาสติกถือไว้ในมือตลอด ภาวนาให้ถึงโรงพยาบาลเร็วๆ ด้วย พี่ชายและพี่สะใภ้ ที่นั่งไปด้วย ได้แต่ปลอบผมไปตลอดทาง ในที่สุดก็มาถึงโรงพยาบาลซึ่งผมจำเหตุการณ์อะไรไม่ได้มากนัก รู้แต่ว่าหลังจากเอ็กซเรย์สมองด้วยเครื่องมือ CT scan หมอก็บอกว่าต้องได้รับการผ่าตัดทันที อาการที่หมอพบก็คือ สมองบวม น้ำไขสันหลังคั่งในสมอง เป็นแผลในสมอง และมีเนื้องอกในสมองส่วนหลัง เท่านั้นเองหลังจากที่ทุกอย่างชัดเจน ผมรู้สึกดีขึ้นอย่างประหลาด ที่รู้สึกดีขึ้นแทบจะทันทีเพราะรู้ว่าตัวเองเป็นหลังจากที่เหมือนหมดหวังแล้วมาตลอดเวลาเป็นเวลานานนั่นเองครับ คือรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป แต่อาการทางร่างกายก็ยังแย่เหมือนเดิม พี่ชายแจ้งให้พ่อทราบเรื่องผลการตรวจแล้วขับรถพาผมมาส่งที่โรงพยาบาลราชวิถีในกรุงเทพฯทันที ตอนนั้นผมแทบทรงตัวไม่อยู่แล้ว แข็งใจเดินตามพี่ชายตามทางเดินในโรงพยาบาลไปอย่างอดทนที่สุดเท่าที่ร่างกายจะทำได้ บางช่วงผมจำได้ว่าตาลาย และต้องกระพริบตาหลายๆ ครั้งเพื่อให้ภาพพี่ชายที่เดินอยู่ข้างหน้าชัดขึ้น และแข็งใจเดินต่อไป เมื่อติดต่อเจ้าหน้าที่เรียบร้อย ผมต้องนอนเตียงผ้าใบที่เจ้าหน้าที่เอามาเสริมไว้ระหว่างเตียงผู้ป่วยคนอื่นๆ เนื่องจากมีผู้ป่วยเป็นจำนวนมากจนเตียงไม่มีว่างนั่นเอง ช่วงที่นอนเตียงผ้าใบเพื่อคอยคิวเข้ารับการผ่าตัดอยู่นั้น ผมรู้สึกเหมือนจะอาเจียนอยู่ตลอดเวลา แต่ก็อาเจียนออกมานิดหน่อยเท่านั้นเอง บางช่วงเป็นตะคริวที่ท้อง เพราะเกร็งตอนอาเจียนด้วย ทรมานมากๆ จนในที่สุดก็ได้คิวเข้าห้องผ่าตัดจนได้ ที่จริงสภาพผมก่อนผ่าตัดนี่แทบจะไม่รอดอยู่แล้วครับ แต่หลังผ่าตัดยิ่งกว่านั้นอีก ผมฟื้นขึ้นมาในห้องไอซียูซึ่งตอนนั้นผมไม่มีสติพอที่จะรู้ว่าผมอยู่ที่ไหนและเกิดอะไรขึ้นกับตัวผมเลย จำได้ว่าตรงกลางห้องมีหิ้งพระแขวนอยู่ ซึ่งหลังจากที่ลืมตารู้สึกตัวได้ไม่นานผมได้แต่สวดภาวนาให้หายเจ็บปวดที่ศีรษะ ผมเฝ้าภาวนาอย่างนั้นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรดีขึ้นมาเลย ผมปวดหัวและรู้สึกอยากจะอาเจียนจนแทบทนไม่ได้ แต่ในที่สุด แพทย์ก็ได้ย้ายผมออกจากห้องไอซียูนั้น ผมเข้าใจว่าอาจเป็นเพราะว่าผมรู้สึกตัวดีขึ้นแล้วกระมัง แพทย์ก็เลยให้ออกจากห้องไอซียูได้ ที่จริงอาการผมก็ควรจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่องนะครับ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผมไม่น่าจะมีชีวิตรอดมาเขียนให้ทุกท่านได้อ่านกันด้วยซ้ำ ผมหยุดหายใจครับ ผมหยุดหายใจหลังจากออกจากห้องไอซียูได้ไม่กี่วัน ตอนนั้นทุกคนคิดว่าผมนอนหลับไป เพราะสภาพผมตอนนั้นก็ได้แต่นอนซมอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วครับ แต่เหมือนผมจะยังชดใช้กรรมไม่หมด ท่านเลยยังไม่ให้ตาย พยาบาลมาพบเข้าครับ ว่าผมหยุดหายใจแล้ว ก็เลยรีบพาเข้าไปผ่าตัดซ้ำอีกครั้ง ผมรอดออกมาได้อีกครั้งครับ คราวนี้ในสภาพที่ยิ่งกว่าเดิมอีก จำได้ว่าผมทรมานมากๆ ปวดหัวและเวียนหัวอย่างที่สุด หลับตาลงทีไรรู้สึกเหมือนโลกหมุนและตัวจะหลุดออกจากเตียงอยู่ตลอดเวลาจนผมต้องเอามือจับเหล็กกั้นที่เตียงไว้ พร้อมกับรีบลืมตาขึ้นมาทุกครั้งที่รู้สึกว่าโลกหมุน มันเป็นอยู่อย่างนั้นนานมาก นานหลายวันจนผมแทบจะรับไม่ได้กับความทรมานที่เกิดขึ้น ผมพยายามดิ้นรน และแกะสายทุกอย่างที่พันและเข็มที่เจาะอยู่กับตัวผมจนเจ้าหน้าที่ต้องเอาผ้ามามัดมือมัดเท้าผมติดกับเตียงไว้ จำได้ว่าตอนนั้นผมอยากตายมาก ผมอยากมีปืนและอยากจะฆ่าตัวตายที่สุด ผมไม่ต้องการจะทนทรมานอย่างนั้นต่อไปแล้ว พ่อแม่พี่น้องทุกคนตอนนั้นทำใจไว้แล้ว หลายคนร้องให้เพราะรับไม่ได้กับสภาพที่เห็น อย่างที่เขียนไว้ก่อนหน้านี้ว่ากรรมคงยังไม่หมด ผ่านไปเป็นเดือน ผมเริ่มดีขึ้น ทรมานน้อยลง แต่ก็ยังไม่สามารถลุกนั่งได้ ผมนอนอยู่อย่างนั้นจนผิวหนังข้างๆ ศีรษะ และหูทั้งสองข้างไหม้ คือผิวหนังลอกเนื่องจากการนอนกดทับอยู่ตลอดเวลา ทั้งซ้ายและขวา เพราะว่านอนหงายตรงๆ ไม่ได้นั่นเอง หมอผ่าทางด้านท้ายทอยครับ นอกจากจะมีแผลยาวแล้ว ยังมีสายที่สวมระบายเลือดออกจากสมองอีก ก็เลยทำให้นอนหงายไม่ได้ครับ แพทย์ยังได้ใส่สายระบายน้ำในสมองต่อลงมาที่ทรวงอกด้านขวาของผมด้วย ทุกวันนี้ถ้าไปเอ็กซเรย์ดูก็จะพบสายที่ว่านี้ปรากฏอยู่ในฟิล์มทุกครั้ง เมื่ออาการเริ่มดีขึ้นผมก็เริ่มหัดเดินใหม่ ผมยังเดินไม่ได้เพราะกล้ามเนื้อลีบและฝ่อหมดแล้วจากการนอนอยู่บนเตียงเป็นเวลานานกว่าเดือน ผมไม่แน่ใจว่าผมนอนในโรงพยาบาลนานเท่าไร สุดท้ายผมก็ได้กลับบ้าน ผมมาพักต่อที่บ้านได้ประมาณเดือนกว่าก็กลับไปเรียนต่อในเทอมแรกของปีที่สอง ที่จริงผมยังไม่พร้อมหรอกครับ เพราะนอกจากจะเดินเซแล้ว ผมยังผอมมากๆ อีกด้วย แต่พ่อก็ไม่อยากให้เสียการเรียน และคงมองเห็นว่าผมคงจะต่อสู้กับสภาพอย่างนี้ได้ ซึ่งก็ถูกของพ่อครับ ผมนั่งรถไฟขึ้นเหนือไปเรียนต่อโดยมีพ่อกับแม่นั่งไปด้วย ผมไปเรียนช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันหนึ่งเดือน แต่สุดท้ายผมก็เรียนทันและจบได้ตามกำหนดเวลาของหลักสูตรครับ ผมต้องขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ที่ให้กำลังใจผม รวมทั้งพี่ๆ และน้องๆทุกคน ที่เอาใจใส่และดูแลผมเป็นอย่างดีในช่วงที่ลำบากที่สุดในชีวิตจนผมสามารถผ่านเหตุการณ์ครั้งนั้นมาได้
ตอนนั้นผมไม่ทราบหรอกครับว่าที่ผมผ่านตรงนั้นมาได้ก็เพื่อที่จะเจอกับอะไรอีกมากมาย ผมผ่านการผ่าตัดใหญ่อีกถึง 5 ครั้ง และผ่าตัดเล็ก รวมทั้งการรักษาด้วยแสงเลเซอร์ที่ตาอีกกว่า 3 ครั้ง ตอนนั้นผมยังไม่ทราบเลยว่าโรคที่เกิดขึ้นกับผมคือโรคอะไร และผมจะต้องเจอกับอะไรบ้างในอนาคต ผมไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลยครับ นอกจากการออกกำลังกายที่ผมชอบส่วนตัวอยู่แล้ว แล้วผมจะมาเล่าให้ฟังในตอนต่อไปครับ ทุกวันนี้ผมสบายดี แต่ผมก็ต้องมีชีวิตอยู่กับไตแค่ข้างเดียว และผมยังเป็นเบาหวานด้วย แต่ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจชีวิตดีว่าการมีโรคเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต สำหรับตอนนี้ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพกายที่แข็งแรง มีความสุขกันทุกคนครับ สวัสดีครับ...
ตอนนั้นผมไม่ทราบหรอกครับว่าที่ผมผ่านตรงนั้นมาได้ก็เพื่อที่จะเจอกับอะไรอีกมากมาย ผมผ่านการผ่าตัดใหญ่อีกถึง 5 ครั้ง และผ่าตัดเล็ก รวมทั้งการรักษาด้วยแสงเลเซอร์ที่ตาอีกกว่า 3 ครั้ง ตอนนั้นผมยังไม่ทราบเลยว่าโรคที่เกิดขึ้นกับผมคือโรคอะไร และผมจะต้องเจอกับอะไรบ้างในอนาคต ผมไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลยครับ นอกจากการออกกำลังกายที่ผมชอบส่วนตัวอยู่แล้ว แล้วผมจะมาเล่าให้ฟังในตอนต่อไปครับ ทุกวันนี้ผมสบายดี แต่ผมก็ต้องมีชีวิตอยู่กับไตแค่ข้างเดียว และผมยังเป็นเบาหวานด้วย แต่ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจชีวิตดีว่าการมีโรคเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต สำหรับตอนนี้ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพกายที่แข็งแรง มีความสุขกันทุกคนครับ สวัสดีครับ...
วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2555
ลองเปลี่ยนดูมั้ย?
สวัสดีค่ำๆ วันอาทิตย์ครับ พรุ่งนี้ก็เป็นวันจันทร์ที่จะได้ไปทำงานกันอีกแล้ว วันนี้เอาเรื่องที่ใครๆก็รู้มาเขียนถึงนิดหน่อย เป็นเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพครับ ทุกคนคงเคยได้ยินหรือรู้มาก่อนแล้วว่าบางครั้งการเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตหรือเรื่องของการใช้ชีวิตประจำวันก็อาจจะทำให้เกิดผลอะไรที่ดีๆขึ้นกับเราได้ ใช่ไหมครับ ที่จริงเรื่องที่อ่านมานั้นเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมซะมากกว่า แต่ผมว่าในความเป็นจริงแล้วร่างกายกับจิตใจก็เกือบจะเป็นเรื่องเดียวกันอยู่แล้วนะครับ คือมีงานวิจัยที่เอามาเสนอที่การประชุมของ American Urological Association ในรัฐชิคาโก สหรัฐอเมริกาครับ เกี่ยวกับเรื่องของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการใช้ชีวิต เช่นการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและการกินอาหารไขมันต่ำนั้น อาจจะมีผลทำให้มะเร็งต่อมลูกหมากเติบโตช้าลง หรืออาจหายไปได้ ซึ่งเค้าก็บอกว่าเรื่องของมะเร็งอื่นๆก็น่าจะมีลักษณะที่ตอบสนองต่อพฤติกรรมเหมือนๆกันด้วย.. อันนี้แหละครับที่สำคัญ ซึ่งผมก็เชื่ออย่างนั้นเช่นกันครับ ผมมั่นใจว่าการปรับเปลี่ยนนิสัยในการกิน การออกกำลังกายต้องมีผลต่อร่างกายแน่นอน ซึ่งทุกคนก็คงคิดเหมือนกันใช่ไหมครับ
ในการศึกษาที่กล่าวมา เค้าได้ใช้วิธีการศึกษาในเรื่องของการออกกำลังกายโดยให้เดินอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 30 นาทีต่อครั้ง และอย่างน้อยสามครั้งต่อสัปดาห์ครับ นอกจากนั้นก็ให้ทานอาหารไขมันต่ำ ให้ควบคุมอารมณ์ เช่น การทำสมาธิ การยืดเส้นยืดสายหรือผ่อนคลายเบาๆ การใช้เทคนิกการหายใจ การฝึกจินตนาการ เป็นต้นครับ ซึ่งก็เช่นเคยของการศึกษาทางวิทยาศาสตร์เค้าทดลองกับกลุ่มอาสาสมัครที่แยกเป็นกลุ่มๆครับ
ก่อนจากกันผมอยากจะย้ำอีกครั้งครับว่า การออกกำลังกายหรือการทานอาหารที่มีไขมันต่ำ ย่อมดีกับร่างกายแน่นอน ที่สำคัญถ้าเราอารมณ์ดีด้วยทุกอย่างก็คงแจ๋วเลยนะครับ อารมณ์ดีสร้างได้ครับ สร้างได้ด้วยตัวเองนี่แหละครับ แล้วพบกันใหม่ สวัสดีครับ...
ในการศึกษาที่กล่าวมา เค้าได้ใช้วิธีการศึกษาในเรื่องของการออกกำลังกายโดยให้เดินอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 30 นาทีต่อครั้ง และอย่างน้อยสามครั้งต่อสัปดาห์ครับ นอกจากนั้นก็ให้ทานอาหารไขมันต่ำ ให้ควบคุมอารมณ์ เช่น การทำสมาธิ การยืดเส้นยืดสายหรือผ่อนคลายเบาๆ การใช้เทคนิกการหายใจ การฝึกจินตนาการ เป็นต้นครับ ซึ่งก็เช่นเคยของการศึกษาทางวิทยาศาสตร์เค้าทดลองกับกลุ่มอาสาสมัครที่แยกเป็นกลุ่มๆครับ
ก่อนจากกันผมอยากจะย้ำอีกครั้งครับว่า การออกกำลังกายหรือการทานอาหารที่มีไขมันต่ำ ย่อมดีกับร่างกายแน่นอน ที่สำคัญถ้าเราอารมณ์ดีด้วยทุกอย่างก็คงแจ๋วเลยนะครับ อารมณ์ดีสร้างได้ครับ สร้างได้ด้วยตัวเองนี่แหละครับ แล้วพบกันใหม่ สวัสดีครับ...
วันเสาร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2555
สมองจะเริ่มเสื่อมสมรรถภาพเมื่ออายุ 45 ปีขึ้นไป...
สวัสดีค่ำๆวันเสาร์ครับ วันนี้จะเอาเรื่องของสมองที่ได้อ่านเจอมาเล่าให้ฟังกันสักหน่อยนะครับ ที่จริงแล้วอยากจะแลกเปลี่ยนมากกว่า แต่หลายๆคนคงไม่สะดวกที่จะมาเขียนอะไรแลกเปลี่ยนกัน แบบว่าอ่านอย่างเดียวสนุกกว่า งั้นผมเล่าอย่างเดียวเหมือนเดิมก็แล้วกันครับ คือมีงานวิจัยเรื่องความสามารถของสมองในการจดจำ ในการคิดคำนวณต่างๆ เหล่านี้น่ะครับซึ่งนิตยสาร British Medical Journal ได้เอามาเขียนไว้ จับใจความสั้นๆก็ได้ความว่าเค้าได้ทำการวิจัยจากอาสาสมัครจำนวนประมาณ 7,000 กว่าคนเป็นเวลาหลายปี ก็เป็นสิบปีได้ครับ เกี่ยวกับการทำงานของสมอง การจดจำคำศัพท์ และความสามารถในการเข้าใจเรื่องราวต่างๆ อะไรประมาณนี้ แล้วพบว่าสมองของคนเราทั้งชายหญิงจะลดสมรรถภาพลงเมื่ออายุเริ่มเข้า 45 ปีครับ ซึ่งข้อสรุปตรงนี้แตกต่างจากความเข้าใจก่อนหน้าที่บอกว่าสมองจะเริ่มเสื่อมสมรรถภาพเมื่ออายุแก่กว่านี้ครับ...
ที่เขียนถึงเรื่องราวทั้งหลายเหล่านี้ก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอกครับที่อยากจะแลกเปลี่ยน คืองานวิจัยก็คืองานวิจัยครับ เรื่องอายุก็ไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไรมากมาย แต่ที่สำคัญก็คือถ้าเราบริหารสมองอยู่เป็นประจำโดยการคิด (ในเรื่องที่ดีๆ ที่มีประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น) หรือสร้างสรรค์เรื่องราวต่างๆอยู่เป็นประจำ สมองก็จะไม่เสื่อมง่ายๆ หรอกครับ อันนี้เป็นความจริงที่ใครก็ไม่อาจปฏิเสธนะครับ
ที่จริงสมองกับร่างกายหรือจิตใจก็มีความสัมพันธ์กันอย่างแนบแน่น หาช่องว่างแทบไม่ได้ครับ ยกตัวอย่างเช่นเวลาเราเจ็บป่วย ร่างกายอ่อนแอ หรือกำลังทรมานจากความเจ็บป่วยอยู่ จิตใจเราก็มักจะห่อเหี่ยว หมดกำลังใจ ถึงตอนนั้นสมองก็คิดอะไรไม่ค่อยออก ไม่อยากจะคิดด้วยซ้ำไปนะครับ แล้วเราก็เห็นว่ายามเจ็บไข้ได้ป่วย กำลังใจนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ ใช่ไหมครับ
ก่อนจากกัน ขอให้ทุกคนมีกำลังกายที่สมบูรณ์ กำลังใจที่เข้มแข็ง และกำลังปัญญาที่สูงยิ่งกันทุกคนนะครับ until next time สวัสดีครับ
วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555
ดื่มชาร้อนที่เมืองจีน
สวัสดีครับ อยากเล่าเรื่องดื่มชาต่ออีกสักหน่อยนะครับ คือนึกขึ้นได้ว่าเมื่อประมาณห้าปีมาแล้วผมได้มีโอกาสไปเมืองจีน บริษัทจัดให้พนักงานไปเที่ยวพักผ่อนประจำปีกันพอดีครับ พอดีปีนั้นไปเมืองจีนกัน ก็เลยได้ไปเห็นกำแพงเมืองจีนพร้อมกับบ้านเมืองและผู้คนเยอะแยะ ยังจำได้เลยครับว่าครั้งหนึ่งต้องขึ้นรถไฟไปยังที่ท่องเที่ยวที่หนึ่ง ได้เห็นครอบครัวคนจีนที่นั่งไปในตู้นอนเดียวกับผม เห็นครอบครัวนี้แล้วผมทึ่งจริงๆ ครับ เพราะทุกคนมีตาที่เหมือนเอาดินสอมาลากเส้นขีดเฉียงๆชี้ขึ้นไปทางหางตาเท่านั้นเองครับ ผมทึ่งมากที่เห็นตาของพวกพี่น้องของเราเหล่านั้นมีตาที่เหมือนกับที่เคยเห็นในการ์ตูนมากๆ แต่นี่มันเป็นของจริงครับ...
วันหนึ่งได้ไปที่ไร่ชา บรรยากาศดีมากครับ ไร่ชาและโรงงานอยู่ติดกับภูเขา อากาศช่วงนั้นก็เย็นมากด้วย ทำให้บรรยากาศการชิมชาเป็นไปอย่างเยี่ยมยอดไปเลย เจ้าหน้าที่สาวน้อยจัดแจงเอาแก้วชามาวางเรียงไว้ตรงหน้าแขกผู้มาชมไร่ชา แล้วก็เริ่มบรรยายถึงสรรพคุณของการดื่มชา และเรื่องราวอะไรต่างๆ อีกมากมาย พอทุกคนเริ่มจะเคลิ้มๆ และเริ่มจะหนาวๆ เพราะอากาศเย็นแล้ว เธอก็เริ่มกระบวนการรินชาที่อร่อยที่สุดในโลกให้กับแขกทุกคน ... อร่อยที่สุดในโลกครับ เพราะอะไรหรือครับ ก็เพราะว่าหลังจากที่เราเริ่มจะเคลิบเคลิ้มไปกับสรรพคุณของชาแล้ว เราก็คาดหวังว่าจะได้ลิ้มลองรสชาที่มาจากแหล่งปลูกที่ดีที่สุด เท่านั้นยังไม่พอยังมีการเก็บเกี่ยวและกระบวนการชงที่ใช้ผู้เยี่ยมยุทธอีกด้วย... โอย. ได้ฟังเท่านี้ก็อยากดื่มสุดๆ แล้ว แล้วนี่อากาศยิ่งเป็นใจอีกด้วย เริ่มจะหนาวแล้วนี่ครับ ได้ชาอุ่นๆ สักถ้วยนี่... สวรรค์รำไรเลยครับ...เอ้าดื่ม...
หลังจากทุกคนได้ลิ้มลองชาร้อนๆ ที่สุดพิเศษแล้ว คราวนี้ก็ถึงกระบวนการขายของครับ เจ้าหน้าที่ ขาย ขาย แล้วก็ขาย ซึ่งทุกคนก็ซื้อ ซื้อ แล้วก็ซื้อครับ
แปลกมากนะครับ ตอนดื่มชาที่โน่นรู้สึกเหมือนเป็นเจ้าแห่งภูผา มันอิ่มเอิบ ยิ่งใหญ่และ... บรรยายไม่ถูก แต่พอเอามาชงเองดื่มที่บ้าน... อ้าว มันก็งั้นๆ เอง ทำไม่เป็นอย่างตอนที่ชิมอยู่ที่ไร่ชาก็ไม่รู้นะครับ หรือว่าจะถูกมนต์สะกด (ร่ายมนต์เป็นภาษาจีน เลยไม่รู้ตัว ฮ่าๆ)... สวัสดีครับ
วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2555
ชาเขียวเขียว...
สวัสดีครับ วันนี้เอาเรื่องชาเขียวที่ทุกคนรู้ดีอยู่แล้วมาเขียนถึงสักนิดนะครับ เอาเกร็ดเล็กๆที่ผมอ่านเจอจาก VHLFA มาน่ะครับ เค้าบอกว่าชาเขียวอาจช่วยต้านมะเร็งได้นะครับ... อย่างที่รู้กันว่าชาเขียวมีประโยชน์มาก ชาวจีนและชาวอินเดียก็ดื่มกันมาก ดื่มกันมาเป็นพันๆ ปีเชียวนะครับ และจากการวิจัยก็พบว่าการดื่มชาเขียวมีความสัมพันธ์กับการต่อต้านโรคหัวใจและมะเร็งครับ อืม.. ดูน่าสนใจขึ้นมาแล้วใช่ไหมครับ
จริงๆ แล้วหลายๆคนก็ดื่มชาเขียวกันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่บางคนก็ดื่มบ้างไม่ดื่มบ้าง อย่างผมก็ดื่มตามโอกาส อย่างเช่นถ้าอากาศร้อนมาก ได้ชาเขียวขวดเย็นๆ หวานนิดๆจากตู้แช่ก็จะเยี่ยมไปเล้ยย อย่างนี้เป็นต้น หรือบางทีอากาศเย็นๆ เช่นที่ยอดดอยแม่สลอง ได้ชาเขียวร้อนๆสักถ้วยก็ยอดไปอีกแบบ การที่ชาเขียวได้รับความนิยมมากอย่างนี้เราก็เลยเห็นผลิตภัณฑ์จากชาเขียวออกมาวางขายกันมากมายตามท้องตลาดบ้านเรานะครับ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีบางคนที่ยังไม่ทันใจกับชาเขียวธรรมดา ก็เลยว่ากันถึงขนาดกินพวกชาเขียวสกัดเข้มข้นกันไปเลยต่างหาก จากงานวิจัยเค้าบอกว่าการได้รับสารจากชาเขียวอย่างปกติเช่นจากการดื่มเป็นประจำนั้น ผลค่อนข้างจะแน่ว่าช่วยในการป้องกันโรคหัวใจ และมะเร็งบางชนิดได้ แต่การได้รับสารสกัดเข้มข้นนั้นอาจจะให้ผลตรงกันข้าม คือแทนที่จะไปยับยั้ง กลับไปกระตุ้นซะนี่... ต้องระวังครับ ค่อยๆ จิบ ใจเย็นๆ ก็ดีเหมือนกันครับ
ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ก็กำลังดำเนินการศึกษาเรื่องเหล่านี้อยู่อย่างต่อเนื่องครับ ผลก้าวหน้าถ้ามีแล้วผมจะเอามาเล่าให้ฟังในคราวต่อๆไปนะครับ สำหรับคืนนี้หลับฝันดีกันทุกคนนะครับ...
จริงๆ แล้วหลายๆคนก็ดื่มชาเขียวกันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่บางคนก็ดื่มบ้างไม่ดื่มบ้าง อย่างผมก็ดื่มตามโอกาส อย่างเช่นถ้าอากาศร้อนมาก ได้ชาเขียวขวดเย็นๆ หวานนิดๆจากตู้แช่ก็จะเยี่ยมไปเล้ยย อย่างนี้เป็นต้น หรือบางทีอากาศเย็นๆ เช่นที่ยอดดอยแม่สลอง ได้ชาเขียวร้อนๆสักถ้วยก็ยอดไปอีกแบบ การที่ชาเขียวได้รับความนิยมมากอย่างนี้เราก็เลยเห็นผลิตภัณฑ์จากชาเขียวออกมาวางขายกันมากมายตามท้องตลาดบ้านเรานะครับ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีบางคนที่ยังไม่ทันใจกับชาเขียวธรรมดา ก็เลยว่ากันถึงขนาดกินพวกชาเขียวสกัดเข้มข้นกันไปเลยต่างหาก จากงานวิจัยเค้าบอกว่าการได้รับสารจากชาเขียวอย่างปกติเช่นจากการดื่มเป็นประจำนั้น ผลค่อนข้างจะแน่ว่าช่วยในการป้องกันโรคหัวใจ และมะเร็งบางชนิดได้ แต่การได้รับสารสกัดเข้มข้นนั้นอาจจะให้ผลตรงกันข้าม คือแทนที่จะไปยับยั้ง กลับไปกระตุ้นซะนี่... ต้องระวังครับ ค่อยๆ จิบ ใจเย็นๆ ก็ดีเหมือนกันครับ
ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ก็กำลังดำเนินการศึกษาเรื่องเหล่านี้อยู่อย่างต่อเนื่องครับ ผลก้าวหน้าถ้ามีแล้วผมจะเอามาเล่าให้ฟังในคราวต่อๆไปนะครับ สำหรับคืนนี้หลับฝันดีกันทุกคนนะครับ...
วันอังคารที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2555
ป่วยตั้งแต่ต้นปี...
สวัสดีปีใหม่ครับ เริ่มวันทำงานวันแรกของปี 55 ผมก็แย่เลย ไม่สบายมาตั้งแต่ช่วงปีใหม่แล้วครับ ปวดหัว แล้วก็ปวดหัว แต่ก็ไม่มีไข้นะครับ สงสัยอากาศเปลี่ยน ร่างกายเลยเอาไม่อยู่ กลับจากบ้านที่เพชรบูรณ์ตั้งแต่ก่อนเที่ยงถึงบ้านสามทุ่ม วันรุ่งขึ้นก็นอนทั้งวัน เช้าวันนี้ลุกอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว แต่ก็ไปไม่ไหว ตัดสินใจอยู่บ้าน ลาป่วยหนึ่งวันครับ อาการมันแปลกๆ มึนศีรษะมาก จนคิดว่าถ้าขับรถไปทำงานก็คงแย่แน่ๆ วัดน้ำตาลในเลือดก็ไม่สูงเกินครับ ได้ 150 ซึ่งก็เป็นระดับปกติของผมมาหลายปีแล้ว สงสัยเป็นเพราะว่าเดินทางไกลบวกกับร่างกายอ่อนแอลง ก็เลยป่วยเลย เอาไว้คุยกันใหม่นะครับ ขอให้ทุกคนรักษาสุขภาพให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอนะครับ สวัสดีครับ...
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)