วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556

พ่อ

สวัสดีครับ

อาทิตย์กว่าแล้วนับจากวันที่พ่อปิยะวัจน์ สุขสวัสดิ์ได้จากพวกเราไปอย่างไม่มีวันกลับเมื่อวันพฤหัสที่ 20 มิถุนายน 2556 ที่ผ่านมา วันนี้ผมตั้งใจจะมาเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับพ่อไว้ ณ ที่นี้เพื่อเป็นการระลึกถึงพ่ออีกครั้งครับ

วันนั้นผมนั่งทำงานอยู่ที่กรุงเทพตามปกติครับ ก่อนเที่ยงวันไม่กี่นาทีก็มีโทรศัพท์แม่เลี้ยงที่เลี้ยงผมมาตั้งแต่ยังเล็กโทรเข้ามาพูดด้วยเสียงสั่นเครือสั้นๆว่า "เป็ด... พ่อเสียแล้ว กลับบ้านด่วนเลย" ผมถามซ้ำด้วยความไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ได้ยิน แต่แม่ก็พูดกลับมาด้วยประโยคเดิมว่า "พ่อเสียแล้วนะ กลับบ้านด่วนเลย" เท่านั้นแหละครับ ผมปิดเครื่องคอมพ์ทันทีบอกหัวหน้าว่าคุณพ่อเสียผมจะขอกลับบ้าน หัวหน้าก็บอกให้รีบกลับไปดูแลทางบ้าน พร้อมบอกให้ขับรถดีๆ ตอนนั้นผมไม่ค่อยแน่ใจนักว่าผมจะขับรถได้ไหมแต่ก็บอกไปว่าจะขับรถไปเองกับน้องสาว

พ่อเสียชีวิตด้วยอาการสงบครับ เช้าวันนั้นพ่อก็ยังทานอาหารได้นิดหน่อยตามปกติและยังพูดคุยได้เล็กน้อยเหมือนเดิม พวกเราไม่ค่อยแน่ใจนักว่าพ่อเสียชีวิตเนื่องจากสาเหตุใดแต่ท่านก็อายุมากแล้ว อายุเกือบ 83 ปีแล้ว ป่วยเป็นโรคหัวใจ และมีโรคเบาหวานมาหลายปีแล้วเหมือนกัน ช่วงสุดท้ายของชีวิตพ่อ พ่อได้แต่นอนอยู่บนเตียง ขาลีบจึงไม่สามารถเดินได้ แต่ก็สามารถขยับแขนได้ตามปกติและยังมีสติดีอยู่ตลอดเวลา พูดคุยได้เหมือนคนปกติทั่วไป

ในวันที่พ่อจากไปแล้ว พวกเราลูกๆหลานๆเศร้าเสียใจกันมากและได้มาช่วยงานกันครบทุกคน นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ผมเกิดมาจนอายุครบ 42 ปีที่ได้มีโอกาสพบหน้าพี่ๆน้องๆทุกคนซึ่งเป็นเรื่องที่น่าดีใจแต่ก็เป็นเรื่องน่าใจหายที่วันนี้เป็นวันที่พ่อไม่ได้อยู่กับพวกเราแล้ว ไปตลอดกาล

พ่อได้จากพวกเราไปแล้ว แต่สิ่งที่พ่อได้สอนให้พวกเราเป็นคนดีนั้นจะอยู่ในใจของผมเสมอ ผมยังมีสิ่งที่ต้องการทำให้พ่ออยู่ ถึงแม้พ่อจะไม่ได้เห็นมันด้วยตาของพ่อเอง แต่ผมก็จะพยายามทำต่อให้สำเร็จเพราะผมรู้ว่าพ่อจะรับรู้มันได้อย่างแน่นอน...

สวัสดีครับ

วันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เนื้องอกและซีสต์ที่ตับอ่อน บางคนก็ผ่าตัด บางคนก็ไม่ผ่า มีข้อมูลมาแบ่งปันครับ

ภาพจาก cancer.osu.edu

สวัสดีครับ

วันนี้มีเรื่องของผู้ป่วยที่เป็นซีสต์ที่ตับอ่อนมาฝากกันครับ แต่จะเน้นไปทั้งกรณีของซีสต์ (หรือถุงน้ำ) และเนื้องอกที่ตับอ่อน (pancreas) กันนะครับ คือมีผู้ป่วยที่เป็นซีสต์ที่ตับอ่อนและแพทย์ได้วินิจฉัยว่าจะต้องผ่าออกเนื่องจากก้อนซีสต์นี้มันไปเบียดเส้นเลือดหลักเส้นหนึ่งเข้า ผู้ป่วยท่านนี้ก็เลยได้เขียนมาสอบถามความเห็นของคนอื่นๆที่มีประสบการณ์ว่าจะทำอย่างไรดี ซึ่งก็มีหลายท่านเข้ามาแชร์กัน ผมก็เอามาเล่าย่อๆได้ดังนี้นะครับ เน้นนิดหนึ่งนะครับว่านี่เป็นเรื่องของผู้ป่วยที่เอามาเล่ากันไม่ใช่เรื่องทางวิชาการที่แพทย์เป็นคนเขียนนะครับ ... เชิญครับ...

ผู้ป่วยเจ้าของกระทู้บอกว่าในระยะสามปีหลังมานี้เธอไปตรวจพบว่ามีซีสต์ที่ตับอ่อนที่โตขึ้นประมาณปีละหนึ่งเซนต์ ซึ่งมันไปเบียดเส้นเลือดใหญ่เส้นหนึ่งเข้าและแพทย์ก็บอกว่าต้องตัดออก (ตัดส่วนหางของมัน ดูที่รูปข้างบนที่เขียนว่า Tail นั่นแหละครับ) รวมทั้งต้องตัดม้าม (Spleen) ออกไปด้วย ตัวเธอเองก็กังวลครับ กลัวไปสารพัดอย่างว่าจะตัดดีหรือเปล่าแล้วอาการมันจะเป็นอย่างไรต่อไป ก็มีคนมาตอบครับ บางคนก็บอกว่าตัวเองได้ตัดม้ามออกไปแล้วเพราะว่ามะเร็งที่ตับอ่อนได้เบียดแทรกผนังของม้ามจนต้องตัดม้ามออกไป แต่ผลกระทบก็ไม่มีอะไรมาก ก็แค่ระวังอย่ากินอาหารมากหลังผ่าตัด คอยตรวจระดับฮอร์โมนอินซูลินอยู่เสมอๆ ส่วนการพักฟื้นก็ไม่นานเท่าไหร่

อีกคนบอกว่าตัวเองได้ตัดม้ามออกไปแล้ว และตัดตับอ่อนออกไปเหลือเพียงครึ่งเดียว แต่ก็ยังใช้ชีวิตได้ตามปกติอยู่ แถมไม่เป็นเบาหวานอีกต่างหาก (อันนี้น่าอิจฉาครับ ของผมแค่มีซีสต์ที่ตับอ่อนก็เป็นเบาหวานแล้ว ขนาดยังมีตับอ่อนอยู่เต็มก้อนนะครับเนี่ย)

มีอีกคนครับ อันนี้เจ๋งมาก เค้าบอกว่าคุณแม่มีซีสต์ที่ตับอ่อนมาสามสิบปีแล้ว ยังไม่เป็นอะไรเลย คุณหมอตัดแต่ซีสต์ก้อนที่โตกว่า 3 เซนติเมตรออกไป นอกนั้นก็ไม่ได้ทำอะไร และทางโรงพยาบาลก็บอกว่าสำหรับซีสต์ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ แต่ถ้าเป็นเนื้องอกล่ะก็ควรเอาออก

ครับ อันนี้ก็คงแล้วแต่อาการและการวินิจฉัยของหมอแต่ละคนแล้วล่ะครับ เพราะว่าอาการหรือลักษณะการเกิดของโรคของแต่ละคนก็มีรายละเอียดที่แตกต่างกันนี่ครับ คงแล้วแต่กรณีไป

ขอให้ทุกท่านโชคดีครับ สวัสดีครับ

ออกกำลังกาย เอาแรงไว้สู้กับโรคกันเถอะครับพวกเรา

Photo: Dancers sitting in costume
ภาพจาก nationalgeographic.com

สวัสดีครับ

หายไปนานแต่ก็ยังคงคิดหาเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังอยู่เสมอนะครับ หลายครั้งที่หายไปนานๆผมก็รู้สึกไม่ค่อยดีต่อตัวเองเหมือนกัน มันรู้สึกว่าเป็นความรับผิดชอบอยู่เหมือนกันนะครับที่จะต้องหาเรื่องราวดีๆโดยเฉพาะที่จะเป็นประโยชน์กับพวกเราชาวผู้ป่วยทั้งหลาย (และญาติๆด้วย) มาให้อ่านกัน นึกถึงความตั้งใจตั้งแต่แรกของตัวเองที่เขียนบล็อกนี้ขึ้นมาที่ตั้งใจจะหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับพี่ๆน้องๆและทุกคนมาให้อ่านกันแล้ว ผมก็อยากจะเขียนต่อไปเรื่อยๆครับ จนถึงวันหนึ่งที่ทุกคนจะได้เฮ เมื่อมีข่าวดีว่ามีการค้นพบยารักษาโรคนี้แล้วนั่นแหละครับ ผมนึกถึงวันนั้นแล้วก็รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกัน... สงสัยว่ามันจะเป็นยังไงบ้างนะ...

ไม่นานหรอกครับ ผมคิดว่าคงอีกไม่นานเกินไปเพราะตอนนี้ความก้าวหน้าทางการแพทย์ก็เริ่มก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆครับ วันละนิดวันละหน่อย อย่างน้อยก็มีตัวยาอยู่หลายตัวที่ดูเหมือนว่าจะมีผลต่อการรักษาในทางที่ดี ถึงแม้ว่าจะยังไม่ถึงขนาดรักษาให้หายขาดได้ก็ตาม ถ้ามีอะไรที่ผมพอจะหามาได้อีกก็จะเอามาลงให้อ่านกันต่อไปนะครับ

ช่วงนี้สำหรับต่างประเทศก็มีผู้ป่วยที่ต้องตัดไต ตัดโน่นตัดนี่เนื่องจากอวัยวะเหล่านั้นมีเนื้องอกพวกนี้อยู่กันอยู่เรื่อยๆครับ ผมเห็นข้อมูลจนรู้สึกได้ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาเลยครับที่ผู้ป่วย VHL เหล่านั้นจะต้องเข้าโรงพยาบาล ถูกผ่าสมอง ผ่าไต ตัดตับอ่อน ตัดต่อมหมวกไต และอีกหลายๆอย่างครับ ใครที่โชคดีหน่อยก็อยู่ต่อได้ยาวหน่อย... แต่ก็ต้องสู้กันอีกยาวเช่นกัน... บางคนก็โชคไม่ค่อยดีก็อาจจะต้องทรมานและทนเจ็บกันต่อไปครับ ถึงแม้จะได้อยู่ต่ออีกไม่นานแต่ก็ไม่ต้องทนเจ็บนานเกินไปครับ ก็โชคดีกันคนละแบบนะ ผมว่า...

วันนี้ผมก็ไปหาหมอมาครับ ไปตรวจน้ำตาลตามปกติ วันนี้ดีครับ ดีที่สุดในชีวิตตั้งแต่เป็นเบาหวานมาเลย น้ำตาลสะสมลดครับ ลดจาก 8.2 ไป 7.2 ครับ แต่นั่นก็เป็นเพราะว่ายาที่ทานเยอะขึ้นด้วยครับ จริงๆแล้วคงไม่ใช่เป็นผลจากยาเพียงอย่างเดียว เพราะผมก็ออกกำลังกายเพิ่มขึ้นด้วย วิดพื้นครับ แล้วก็แกว่งแขนด้วย พยายามทำทุกเย็นครับ วันไหนอารมณ์ดีก็แถมตอนเช้าด้วย ก็ดีนะครับ รู้สึกเลยว่าร่างกายเราดีขึ้นเยอะ ฟิตและเฟิร์มครับ ฮ่าๆ ยังไม่ยอมแก่อะไรประมาณนั้น วันนี้ตั้งใจจะชวนมาออกกำลังกายกันครับ ออกได้ทุกวันยิ่งดี พอเราทำบ่อยๆเข้ามันเหมือนเป็นนิสัยไปโดยไม่รู้ตัวเหมือนกันนะครับ นานวันเข้ามันเหมือนกับเป็นอัตโนมัติ ถึงเวลามันก็ทำของมันเองครับ ดีเหมือนกัน มีเพื่อนบางคนบอกว่าอะไรก็ตามถ้าเราทำติดๆกันติดต่อกันเป็นเวลาถึง 21 วันแล้ว มันจะกลายเป็นนิสัยครับ อันนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงเท็จแค่ไหน และผมก็ไม่ได้นับด้วยว่าวิดพื้นต่อเนื่องกันมากี่วันแล้ว แต่ก็ใกล้เป็นนิสัยแล้วครับ ลองดูกันนะครับ ออกกำลังกายแบบที่ท่านถนัด แบบไหนก็ได้ครับ รับรองว่ามันดีจริงๆถ้าทำต่อเนื่องนะครับ

มีข้อความของน้อง Siriporn Rungsri เข้ามาทักทายเขียนว่าตัวน้องต้องผ่าตัดต่อมหมวกไตข้างซ้ายด้วย ในฐานะพี่ที่ผ่านเหตุการณ์อย่างนั้นมาก่อนก็ต้องขออวยพรไว้ตรงนี้ว่าขอให้น้องสบายใจและโชคดีในการผ่าตัด ขอให้เรียบร้อยดี และไม่ต้องกังวลอะไรนะครับ การแพทย์ของเราเดี๋ยวนี้ก้าวไปไกลมากแล้วครับ สำหรับพี่ที่ตัดข้างขวาออกไปสองปีกว่าแล้วตอนนี้ก็สบายดี ใช้ชีวิตได้ตามปกติ และไม่ต้องกินยาหรือฮอร์โมนอะไรเพิ่มเติมด้วย

แล้วพบกันใหม่ครับ สวัสดีครับ