วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2554
สวัสดีปีใหม่ หัวใจสดชื่นกันทุกคนครับ
วันนี้เป็นวันทำงานอย่างเป็นทางการวันสุดท้ายของผมครับ พรุ่งนี้จะเดินทางไปเพชรบูรณ์ ไปเยี่ยมพ่อแม่ที่อยู่ที่นั่นอยู่แล้ว และจะได้เจอกับพี่ๆ น้องๆ ที่มาเยี่ยมบ้านเนื่องในโอกาสวันปีใหม่กันด้วย พรุ่งนี้จะเป็นวันสุดท้ายของปี 2554 นี้ครับ ผมขอถือโอกาสนี้สวัสดีปีเก่ากับทุกท่านครับ เอาไว้เจอกันคราวหน้าค่อยมาสวัสดีปีใหม่กันอย่างเป็นทางการนะครับ ขอให้คุณพระคุณเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ท่านเคารพนับถือจงคุ้มครองให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง มีกำลังใจที่เข้มแข็ง ห้าวหาญ ตลอดไป และอย่าลืมสนุกกับชีวิตที่กำลังจะผ่านเข้ามาในวันข้างหน้าด้วยนะครับ สวัสดีครับ...
วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2554
แอบถ่าย...
สวัสดีเกือบปีใหม่ครับ ใกล้ปีใหม่แล้ว ดูบรรยากาศคึกคักดีนะครับ มีของน่ารัก น่าใช้ วางขายสำหรับซื้อไปเป็นของขวัญเต็มไปหมดเลยนะครับ หลายอย่างก็มีริบบิ้นผูกไว้เรียบร้อย ถ้าไม่คิดอะไรมากก็ซื้อไปให้เป็นของขวัญได้เลยต่างหาก ไม่ต้องห่อกระดาษ ช่วงนี้อากาศก็เย็นๆ ช่างเป็นใจให้มีแต่ความสำราญจริงๆ เลยช่วงนี้
ผมเอาภาพนี้มาลงให้ดูเพราะมันน่ารักดีแล้วก็มีความหมายต่อผมเองด้วย ผมถ่ายภาพนี้ (ที่จริงเป็นชุด มีหลายภาพครับ) ในวันหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นฤดูร้อน ปี 2542 วันนั้นผมไปชัยนาท แล้วพอดีตอนกลางวันไปเดินเล่นใต้ต้นมะม่วงก็เลยเห็นเจ้ากิ้งก่าท้องแก่ตัวนี้กำลังสาละวนอยู่กับการหาที่วางไข่ ผมชอบอะไรที่เป็นธรรมชาติๆอยู่แล้ว ก็เลยเฝ้ามองพร้อมถ่ายรูปไปด้วย ตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการวางไข่เลย
เจ้ากิ้งก่าน้อย เริ่มจากการกวาดพื้นเอาใบไม้ออกไปห่างๆ ให้เห็นพื้นดินโล่งๆ คือโล่งขึ้นมาหน่อยครับ แต่คงไม่ถึงกับเตียนเลยทีเดียวเพราะว่ามันคงจะปวดท้องมาก อยากออกลูกเต็มที เราก็เลยยังเห็นมีใบไม้เกะกะอยู่สองสามใบตรงนั้นอยู่นะครับ พอเห็นว่าโอเคแล้ว (มั้ง) มันก็เริ่มขุด ขุด แล้วก็ขุด โดยเอาขาหน้าตะกุย ตะกุย ระหว่างที่ขุดมันก็จะเงยหน้าขึ้นมาดูว่ามีอะไรมาป้วนเปี้ยนหรือจะเป็นอันตรายกับมันหรือเปล่า ก็ไม่มีอะไรครับ นอกจากผมที่นั่งจ้องอยู่พร้อมกับกล้องในมือ แต่ผมก็อยู่นิ่งๆ พอมันจ้องดูจนคิดว่าไม่มีอะไรแล้ว มันก็ขุดต่อ มันขุดๆ เงยๆ อยู่อย่างนี้พักหนึ่งจนได้หลุมที่ลึกพอ แล้วมันก็หยุดครับ จากนั้นก็เริ่มวางไข่ ทีละฟอง ทีละฟอง จนหมด ผมจำไม่ได้ว่ากี่ฟอง แต่ประมาณได้ว่า 4-5 ฟองครับ พอผมเห็นว่าไข่คงหมดท้องแล้ว ก็เลยเดินจากมา พร้อมกับนึกขอบใจที่เจ้ากิ้งก่าน้อยได้มอบประสบการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจให้กับผมในวันนั้น...
แล้วพบกันใหม่ครับ สวัสดีครับ...
วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2554
ตำรวจผู้ต่อกรกับโรค VHL!
นี่คือรูปคุณ Jeff ครับ เป็นตำรวจซึ่งผมเดาว่าน่าจะที่สหรัฐอเมริกาครับ คุณเจฟอายุ 43 ปี และตรวจพบว่าตัวเองเป็นโรค VHL ครับ จากความตั้งใจเดิมที่อยากจะเป็นตำรวจเพื่อต่อสู้กับผู้ร้าย ตอนนี้คุณเจฟต้องมาผจญกับโรค VHL แทนครับ คุณเจฟผ่านการผ่าตัดมาหลายครั้งรวมทั้งได้รับการปลูกถ่ายไตด้วย ตอนนี้คุณเจฟต้องต่อสู้กับโรคร้ายนี้เพื่อครอบครัวซึ่งก็มีลูกด้วย และเนื่องจากว่าโรคนี้ยังไม่มีทางรักษา คุณเจฟก็เลยตั้งใจที่จะหาทุนช่วยเหลือโครงการวิจัยของโรคนี้ครับ จริงๆ แล้วจดหมายจาก VHLFA ที่ผมได้รับนี้เป็นจดหมายเชิญชวนให้บริจาคเพื่องานวิจัยครับ ผมเอามาลงให้ดูเพราะต้องการบอกต่อว่ายังมีคนที่เป็นโรคนี้อยู่อีกเยอะ และทั่วโลก เราไม่ได้อยู่คนเดียวหรอกครับ สวัสดีครับ
วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554
สมาชิกในครอบครัว... ของเสือธรรมแข้งดาบ... คุณพ่อผมเองคร้าบบ
สวัสดีครับ พบกันวันนี้จะขอแนะนำสมาชิกในครอบครัวหน่อยนะครับ ภาพนี้ลูกสาวคนเล็กวาดไว้เมื่อสักสองสามเดือนที่แล้วครับ เห็นน่ารักดีก็เลยเอามาลงไว้ เป็นภาพสมาชิกในครอบครัวครับ รวมกันหมดทั้งสี่แม่รวมทั้งแม่ผม แม่ผมหรือแม่เทียมจิต ซึ่งเป็นชื่อของ blog นี้ด้วย เสียชีวิตแล้วประมาณปี 2517 ครับ พ่อมีแม่ใหม่อีกสามคน ซึ่งตอนนี้ก็อยู่กับแม่สองคนที่เพชรบูรณ์ ลูกๆ ของทั้งสี่แม่รวมกันแล้วก็ 14 คนครับ ประมาณนี้ ถ้านับเฉพาะพี่น้องท้องแม่เดียวกันกับผมก็ 8 คน ในจำนวนนี้เป็นโรค VHL ซะ 4 คนครับ ซึ่งก็ผ่าตัดสมองกันแล้วทั้งหมด เข้าใจว่าพี่ชายผมอีกคนที่ยังไม่มีอาการใดๆ จะมียีน VHL ผิดปกติด้วยครับ เพียงแต่ยังไม่แสดงอาการใดๆ เท่านั้นเอง ถึงอย่างนั้นก็ต้องระวังครับ เพราะมีหลักฐานปรากฏแล้วว่าบางคนอาจมีอาการเมื่ออายุปาเข้าไป 80 แล้วก็ได้...
ตั้งใจว่าจะเขียนเรื่องของลูกๆ แต่ละคน เอาเฉพาะเรื่องที่สนุกๆ แทรกสลับไปกับเรื่องของโรค VHL ครับ
พบกันคราวหน้าครับ ขอให้มีความสุขกันทุกคน ราตรีสวัสดิ์ครับ...
วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2554
วันนี้เหนื่อยมาก อากาศก็เย็นสบายน่านอนมากด้วยครับ
สวัสดีครับ วันนี้เข้ามาทักทายเฉยๆ ครับ ไม่มีเวลาหาอะไรที่พอจะเป็นประโยชน์มาเล่าให้ฟังเลยครับ แต่ก็อยากเข้ามาบันทึกอะไรไว้สักหน่อย เพราะเว็บบล็อกก็เหมือนอะไรที่เป็นการบันทึกเรื่องราวส่วนตัวนิดๆอยู่แล้ว เอาไว้เผยแพร่สิ่งที่เป็นประโยชน์แล้วก็บางทีสิ่งที่คนเขียนอยากแลกเปลี่ยนครับ
ตอนนี้ลูกสาวทั้งสองคนก็มี blog เป็นของตัวเองทั้งคู่เลย แต่ลูกๆ ยังไม่ค่อยมีเวลาหรือวัตถุดิบมาเขียนสักเท่าไร สงสัยจะเลียนแบบพ่อในการเขียน blog ครับ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีนะครับ เพราะกว่าจะเขียนได้ก็ต้องมีข้อมูล ก็เป็นการฝึกทักษะในการหาข้อมูลและการเขียนด้วยไปในตัวเลย
ช่วงนี้ก็ถือว่าเป็นเทศกาลปีใหม่นะครับ ที่ทำงานผมก็จะมีการจับฉลากของขวัญกันพรุ่งนี้ และกินอะไรกันนิดหน่อย ส่วนของลูกทางโรงเรียนก็จัดงานปีใหม่กันไปเรียบร้อยแล้ว มีการจับของขวัญแล้วก็เอาพวกขนม เอาอาหารต่างๆ ข้าวเหนียว ไก่ทอดไปกินกันด้วย มองไปทางไหนตอนนี้ก็ช่างน่ารื่นรมย์ไปซะหมด อากาศก็เป็นใจอีกต่างหาก ที่จริงอากาศเย็นก็ดีครับ ผมชอบมาก แต่ตอนนี้ก็เริ่มจะเจ็บคอเพราะอากาศเย็นนี่แหละครับ รู้สึกไม่ค่อยสบายด้วย วันนี้คงต้องนอนเร็วและตื่นสายหน่อยละครับ...ราตรีสวัสดิ์ครับผม
ตอนนี้ลูกสาวทั้งสองคนก็มี blog เป็นของตัวเองทั้งคู่เลย แต่ลูกๆ ยังไม่ค่อยมีเวลาหรือวัตถุดิบมาเขียนสักเท่าไร สงสัยจะเลียนแบบพ่อในการเขียน blog ครับ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีนะครับ เพราะกว่าจะเขียนได้ก็ต้องมีข้อมูล ก็เป็นการฝึกทักษะในการหาข้อมูลและการเขียนด้วยไปในตัวเลย
ช่วงนี้ก็ถือว่าเป็นเทศกาลปีใหม่นะครับ ที่ทำงานผมก็จะมีการจับฉลากของขวัญกันพรุ่งนี้ และกินอะไรกันนิดหน่อย ส่วนของลูกทางโรงเรียนก็จัดงานปีใหม่กันไปเรียบร้อยแล้ว มีการจับของขวัญแล้วก็เอาพวกขนม เอาอาหารต่างๆ ข้าวเหนียว ไก่ทอดไปกินกันด้วย มองไปทางไหนตอนนี้ก็ช่างน่ารื่นรมย์ไปซะหมด อากาศก็เป็นใจอีกต่างหาก ที่จริงอากาศเย็นก็ดีครับ ผมชอบมาก แต่ตอนนี้ก็เริ่มจะเจ็บคอเพราะอากาศเย็นนี่แหละครับ รู้สึกไม่ค่อยสบายด้วย วันนี้คงต้องนอนเร็วและตื่นสายหน่อยละครับ...ราตรีสวัสดิ์ครับผม
วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2554
กินไก่ย่างกับอะไรดี?
วันนี้ขออนุญาติเอารูปไก่ย่างวิเชียรบุรีมาจากเมืองไทยดอทคอมมาลงนะครับ เพราะว่าลืมถ่ายรูปมาเอง ที่จริงแล้วผมขับรถผ่านไก่ย่างวิเชียรบุรีทุกวัน คือทุกวันเพราะเดี๋ยวนี้ที่ไหนทั่วบ้านทั่วเมืองก็เห็นร้านขายไก่ย่างวิเชียรทั่วไปหมด และที่ผ่านร้านขายไก่ย่างที่วิเชียรบุรีจริงๆ ก็บ่อยครับ อย่างน้อยที่สุดก็เดือนละครั้ง บางเดือนกลับบ้านบ่อยหน่อยก็สามครั้งครับ กินทีไรก็ยังอร่อยอยู่ครับ ใครที่เคยผ่านไปทางนั้นจะเห็นว่าพอถึงเขตขายไก่ย่างก็จะเห็นกลุ่มควันโขมงจากเตาย่างไก่อบอวลไปทั่วบริเวณเลยทีเดียว นั่งกินไก่ย่างข้าวเหนียวที่นั่นก็บรรยากาศดี สบายๆ ไปอีกแบบครับ มีภูเขาเป็นแนวอยู่ข้างหลัง ลมพัดมาเย็น ๆ นั่งกินกันสบายๆ อาหารก็มีให้เลือกหลากหลาย โอย... ยอดเยี่ยม
นอกจากไก่ย่างแล้ว สิ่งที่ทุกท่านจะพบเมื่อไปจอดรถซื้อไก่ย่างหรือเข้าไปนั่งในร้านก็ตามก็คือจะมีคนขายข้าวหลามขับรถมอเตอร์ไซค์มาให้บริการถึงที่ครับ ทุกครั้งครับ... ผมก็ซื้อบ้างไม่ซื้อบ้าง ส่วนใหญ่ไม่ได้ซื้อครับ แต่เมื่อไรที่ซื้อมากินก็พบว่าอร่อยดีเหมือนกันครับ มีทั้งแบบข้าวเหนียวขาว ข้าวเหนียวดำ (ข้าวก่ำ) ใส่ถั่วดำ กระทิ หรือบางทีก็ใส่มะพร้าวอ่อนด้วย อร่อยมากครับ ต้องลอง ส่วนขนาดของบ้องข้าวหลามก็แล้วแต่ร้าน ใหญ่บ้างน้อยบ้าง มัดละ 30 บาทหรือไม่ก็ไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้สักเท่าไรครับ ผมเห็นมีข้าวหลามขายกับไก่ย่างมาตั้งแต่สมัยที่ผมเริ่มจะรู้จักไก่ย่างวิเชียรใหม่ๆ นั่นแหละครับ ไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่าทำไมต้องข้าวหลาม กับไก่ย่าง...?
แต่ไก่ย่างวิเชียรที่ขายกันที่อื่นที่ไม่ใช่ที่อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ ก็ไม่เห็นมีข้าวหลามขายคู่นะครับ อันนี้ก็ไม่ทราบว่าทำไมเหมือนกัน อ้อ เรื่องนี้ก็ทำให้ผมนึกถึงอีกเรื่องที่คู่กันก็คือก๋วยเตี๋ยวเรือที่รังสิตมักจะมีขนมถ้วยขายคู่กันด้วยเสมอ ถ้าเป็นก๋วยเตี๋ยวเรือรังสิตแต่ขายที่อื่นผมก็ยังไม่เจอขนมถ้วยเหมือนกัน ... แต่ก็อาจจะมีครับ เพียงแต่ผมยังไม่เจอเท่านั้นเอง
เที่ยวปีใหม่กันให้สนุกครับ อาทิตย์หน้าก็จะส่งท้ายปีเก่าและเข้าสู่วันปีหม่กันแล้ว ร้านไก่ย่างวิเชียรบุรีที่อำเภอวิเชียรบุรีตอนนี้ก็มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อันนี้ก็แสดงว่าคนนิยมกินกันมากขึ้นครับ ก็ดีใจกับเจ้าของร้านกันด้วย กลับบ้านปลอดภัย เมาไม่ขับนะครับ
สวัสดีครับ...
วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554
ปลาม้าลายผู้เยี่ยมยุทธ
สวัสดีเช้าวันเสาร์ครับ อากาศเย็นสบายอีกแล้ว วันนี้จะมาเล่าเรื่องปลาม้าลายพระเอกของเราต่อจากคราวที่แล้วอีกหน่อยนะครับ คราวที่แล้วเขียนเรื่องของนักวิทยาศาสตร์ที่เอาปลาม้าลายมาทำการวิจัยเรื่องโรค VHL นี้เอง วันนี้ผมไปค้นข้อมูลมาเพิ่มเติมเกี่ยวกับปลาม้าลายอีกนิดนะครับ
ปลาม้าลายถูกใช้ในวงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์มานานแล้วครับ เริ่มตั้งแต่ทศวรรษที่ 70 ที่สหรัฐอเมริกา โดยนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโอเรกอนครับ และในปัจจุบันการใช้ปลาม้าลายในงานวิจัยก็เป็นที่นิยมกันมากขึ้นทั่วโลกครับ นักวิทยาศาสตร์ใช้ปลาม้าลายในการศึกษาชีววิทยาของเซลล์ต้นกำเนิด ระบบประสาท และการแสดงออกของยีนต่างๆ ครับ ล่าสุดมีการจัดประชุมนานาชาติเรื่องของเจ้าปลาม้าลายนี้ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ไปเมื่อกลางปีที่ผ่านมานี้เองครับ
เค้าบอกว่าปลาม้าลายนี้มีความสามารถในการซ่อมแซมเซลล์ที่เสียหาย (เช่นเดียวกับพวกสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ) เนื่องจากมีเซลล์ต้นกำเนิด หรือสเต็มเซลล์จำนวนมากนั่นเอง มากกว่าในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมหลายเท่า สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมก็อย่างเช่น มนุษย์ สุนัข แมว และอื่นๆอีกมากมายที่ใช้น้ำนมเลี้ยงลูกอ่อนนั่นแหละครับ การทดลองต่างๆกับปลาม้าลายยกตัวอย่างเช่นการตัดเส้นประสาทที่ตา การทำให้บาดเจ็บที่ไขสันหลัง หรือการตัดกล้ามเนื้อหัวใจออกบางส่วน ... หวังว่าคงไม่โหดร้ายเกินไปนะครับ... แล้วเจ้าพระเอกของเราก็สามารถซ่อมแซมอวัยวะต่างๆ เหล่านั้นที่เสียหายได้! เห็นมั้ยครับว่าน่าทึ่งแค่ไหน...
ไม่เท่านั้นครับ ยังมีการทดลองกับการทนต่อสารพิษอีกด้วย อันนี้ก็เพื่อจะดูเรื่องของการปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมว่าอย่างนั้นครับ
เห็นมั้ยครับว่าเค้าเป็นผู้เยี่ยมยุทธและเป็นพระเอกของเราจริงๆ เรื่องราวต่างๆ ของปลาม้าลายยังมีอีกมากมายนะครับ ถ้าสนใจสามารถหาอ่านได้จากอินเตอร์เน็ตไม่ว่าจะของไทยหรือต่างประเทศ คราวหน้าผมอาจจะเอามาเล่าให้ฟังอีกสักตอนนะครับ แล้วก็คงจะไปต่อที่เรื่องอื่นๆบ้าง
สำหรับวันนี้หวังว่าทุกคนคงจะสบายๆกับวันที่อากาศดีๆ และทำงานหรือพักผ่อนกันอย่างมีความสุขนะครับ สวัสดีครับ...
วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2554
ปลาม้าลายป่วยเป็นโรค VHL อะไรนะ??
สวัสดีครับ ปกติเราจะเห็นข่าวนักวิทยาศาสตร์ค้นพบผลงานใหม่ๆ ผ่านการทดลองกับหนู (หรือหนูทดลองนั่นเอง) อยู่ตลอดเวลานะครับ แต่เดี๋ยวนี้มีการทดลองกับสัตว์พวกอื่นและที่ผมเพิ่งทราบก็คือกับปลาม้าลายครับ (zebrafish) น่าแปลกใจและน่าสงสารครับ ปลาม้าลายเป็นปลาตู้เลี้ยงไว้ดูเพื่อความเพลิดเพลินครับ เพราะมันมีลวดลายสวยงามแปลกตาดี แต่ก็นั่นแหละครับ พวกหนูก็น่าสงสารเหมือนกัน ไม่เป็นไรครับ เอาเป็นว่าเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ สัตว์เหล่านี้ก็เลยถูกใช้ในการทดลองทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ครับ
เอาละครับ เข้าเรื่องกันดีกว่า มีข่าวจาก VHLFA (VHL Family Alliance) ครับ ว่าคุณ Rachel Giles ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้าน Nephrology ไม่แน่ใจว่าแปลว่าอะไร แต่เข้าใจว่าเป็นทางด้านไตครับ จากประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งได้รับทุนวิจัยจากมูลนิธิ VHLFA ให้ทำการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับโรคนี้ครับ เธอได้ส่งผลการวิจัยมาให้อ่านกันดังนี้ครับ คือแรกเริ่มเธอได้ทำการศึกษาโรค VHL ในหนูทดลองซึ่งปกติหนูจะมีระบบร่างกายที่เหมาะกับการทำการวิจัยเรื่องโรคต่างๆที่เกิดขึ้นกับมนุษย์มาก แต่การทำให้หนูเป็นโรค VHL นั้นยากมากครับ
ก็เลยเปลี่ยนมาทำกับปลาม้าลายแทน!!!
เค้าบอกว่าปลาม้าลายทำให้เป็นโรคนี้ได้ง่ายมาก และจะเห็นผลเพียง 7 วันหลังจากมันปฏิสนธิเท่านั้นเอง... น่าสงสารนะครับ ปลาเป็นโรค VHL ซะแล้ว... เธอยังบอกอีกว่าเจ้าปลาม้าลายนี้มีอาการของโรคนี้เหมือนมนุษย์อย่างมากด้วย เช่นการเกิดเนื้องอกในสมอง ไขสันหลัง ตา ต่อมหมวกไต และที่ไตเองด้วย จากการศึกษายังพบอีกว่าเมื่อให้เซลล์ VHL ที่ปกติของคนลงไปในปลา มันก็จะกลับมามีสุขภาพที่ดีได้อีก อันนี้ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรว่าอย่างไร ก็งงงงอยู่เหมือนกันครับว่าทำอย่างไรกันแน่... เธอบอกว่านี่แสดงให้เห็นว่าเซลล์ของปลาม้าลายนี้กับของคนสามารถทดแทนกันได้อย่างดีอีกด้วย อันนี้ก็ไม่แน่ใจครับ ว่าผมเข้าใจถูกหรือเปล่า เอาไว้คราวหน้าจะมาอัพเดทอีกทีครับ
ตอนนี้เธอกำลังศึกษาปลาม้าลายที่เป็นโรค VHL อยู่จำนวนเป็นพันๆตัวจาก 13 ครอบครัวปลา ต่อไปจะเป็นการศึกษาว่าการเกิดโรคและการรักษาจะสามารถทำได้เหมือนที่ทำกับมนุษย์หรือไม่ วัตถุประสงค์ก็เพื่อจะเอามาปรับใช้กับมนุษย์นี่แหละครับ
ครับ... อ่านแล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้าง เอาเป็นว่ายังไงเราก็ต้องสู้กับโรคนี้ต่อไปนะครับ พออ่านเสร็จผมก็บริจาคเงินเพื่อการวิจัยของกลุ่ม VHLFA นี้ไปตามกำลังครับ เพื่อสนับสนุนการวิจัยต่อ ในอนาคตลูกหลานจะได้มีโอกาสที่ดีขึ้นครับ
สวัสดีครับ
วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554
จดหมายจาก VHL Family Alliance
มีจดหมายจากพันธมิตรครอบครัว VHL ฉบับวันที่ 31 ต.ค. 2554 ส่งมาถึงผม (เข้าใจว่าคงส่งให้ทุกคนที่เป็นสมาชิกของครอบครัว VHL นี้หรือได้เข้าไปเกี่ยวข้องบ้าง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อย่างเช่นเข้าไปสั่งซื้อหนังสือเป็นต้นครับ) จดหมายก็แจ้งข่าวสารธรรมดาครับ รวมถึงเรื่องที่จะมีการประชุมนานาชาติทางการแพทย์ของโรคนี้ (the 10th International VHL Medical Symposium) ในปีหน้า ที่จะจัดขึ้นที่เมืองฮุสตัน สหรัฐอเมริกาในช่วงวันที่ 26-29 มกราปีหน้าด้วยครับ ซึ่งทางครอบครัวพันธมิตรก็มีความหวังว่าผลการวิจัยทางการแพทย์จะมีความก้าวหน้าและค้นพบวิธีการรักษาได้ในที่สุด ทั้งนี้ทั้งนั้นเค้าก็ขอแรงสนับสนุนจากทุกๆท่านที่สามารถจะทำได้ ไม่ว่าจะเป็นเงินที่จะช่วยในงานวิจัย เป็นการบริจาคเนื้อเยื่อ หรืออะไรอื่นๆ ที่จะพอช่วยได้ เค้ามีเว็บไซต์ครับ ที่ http://www.vhl.org/ ครับ ลองเข้าไปดูนะครับ
วันนี้ง่วงแล้วครับ คงขอตัวเข้านอนก่อน แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าครับ สวัสดีครับ...
วันนี้ง่วงแล้วครับ คงขอตัวเข้านอนก่อน แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าครับ สวัสดีครับ...
วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2554
ชีวิตเหมือนภาพยนตร์ที่สร้างไว้จบแล้ว
สวัสดีตอนเช้าครับ วันนี้วันอาทิตย์กลางๆเดือนธันวา ใกล้ปีใหม่แล้วนะครับ หลายคนคงวางแผนไปเที่ยวปีใหม่กันแล้ว เห็นข่าวบอกว่าภาคเหนืออากาศเย็นมากแล้ว หลายที่มีน้ำค้างแข็งหรือแม่คะนิ้งเกิดขึ้นบนยอดหญ้า น่าไปเที่ยวมากเลยนะครับ ปีใหม่ปีนี้นักท่องเที่ยวคงพากันแห่ไปเที่ยวเหนือกับอีสานกันอย่างคึกคักแน่ๆ ส่วนผมก็คงกลับบ้านไปหาพ่อแม่ที่เพชรบูรณ์เหมือนทุกปีที่ผ่านมาครับ อากาศที่บ้านก็หนาวเย็นเหมือนกัน ช่วงเดือนที่ผ่านมาที่บ้านก็เย็นมากครับ นอนตอนกลางคืนต้องห่มผ้าห่มนวมครับ พัดลมก็ไม่ต้องเปิด อากาศดีมาก เหมาะกับการหามันเทศมาเผากินท่ามกลางลมหนาวและดาวเดือนครับ
วันนี้ตั้งใจจะเอาคำที่พ่อเคยพูดให้ฟังอยู่เสมอๆ ในอดีตมาเล่าสู่กันฟังครับ พ่อเคยบอกว่าชีวิตเหมือนภาพยนตร์ที่สร้างไว้จบแล้ว... ฟังตอนแรกผมรู้สึกไม่ค่อยเห็นด้วย และขัดใจมาก ตอนนั้นยังเป็นวัยรุ่นอยู่ครับ เป็นนักเรียนมัธยม ความรู้สึกตอนนั้นก็คือ เราต้องเป็นผู้กำหนดชีวิตของเราสิ ใครจะมาสร้างไว้แล้วได้ยังไง?? ไม่ยอมเด็ดขาด...
แต่พอเวลาล่วงเลยมานานๆ ความรู้สึกนั้นก็เริ่มจะเอนๆ นิดๆ ไปในทางที่เริ่มให้น้ำหนักไปในทางเชื่อคำพูดนั้นมากขึ้น แต่ก็ยังไม่เชื่อทั้งหมดหรอกครับ ที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องเชื่อไม่เชื่ออะไร มันเป็นประมาณเรื่องของทัศนะคติในการใช้ชีวิตมากกว่า หลายๆ เรื่องที่เกิดขึ้นเราไม่รู้ว่าทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้น ทำไมมันจึงเป็นอย่างนี้ บางคนอาจไปโทษกรรมเก่าครับ ในขณะที่บางคนก็บอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุ เป็นอย่างนั้นเอง อย่างนี้เอง อันนี้ก็แล้วแต่แต่ละบุคคลครับ
จะยกตัวอย่างให้ฟังนะครับ เมื่อสามสี่วันก่อนตอนค่ำๆขณะที่ผมขับรถกลับบ้านที่รังสิตคลองสาม ตอนรถติดอยู่ที่ถนนเลียบคลองซึ่งกำลังติดอยู่อย่างมาก แทบไม่ขยับเลยนั้นเอง ก็มีเด็กวัยประมาณอนุบาลหรืออย่างมากก็ป1 ขี่จักรยานคันเล็กๆ ตัดออกจากแถวรถยนต์ฝั่งที่จอดติดอยู่ออกไปอีกเลนที่รถว่างมากเพื่อจะข้ามไปยังฝั่งตรงข้าม ซึ่งผมเหลือบไปเห็นพอดีอยู่เยื้องๆ กับรถผมไปทางด้านหลัง ทันใดนั้นสิ่งที่ทำให้ผมแทบหัวใจหยุดเต้นก็เกิดขึ้นครับ มีรถมอเตอร์ไซค์ขับมาอย่างเร็วมากๆ แล้วก็ชนเด็กอย่างแรงทันทีตรงนั้นนั่นเอง ทั้งเด็กทั้งจักรยานและมอเตอร์ไซค์กระเด็นไปสี่ห้าเมตร ไปกองอยู่ใกล้ๆ กันตรงขอบถนนใกล้กันนั่นเองครับ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และอย่างเงียบๆ แล้วทุกอย่างก็นิ่งไปเฉยๆ เพราะไม่มีใครกระดุกกระดิกครับ ความรู้สึกผมตอนนั้นบอกไม่ถูกครับว่าเป็นอย่างไร... สุดท้ายรถของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งก็เข้ามาจัดการครับ นี่แหละครับเป็นเพียงเหตุการณ์หนึ่งที่เราไม่อาจรู้ล่วงหน้าได้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น... คงมีเหตุการณ์อีกหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวท่านเองหรือที่ได้พบเห็นมานะครับซึ่งไม่รู้ว่าจะอธิบายได้อย่างไรว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร และทำไม...
ผมพยายามจะเชื่อว่าเราเองเป็นผู้กำหนดชีวิตของเราเอง แต่หลายๆอย่างที่เกิดขึ้นมันชัดเจนครับว่ามันไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไป... เรากำหนดได้บางส่วนเท่านั้น? หรือว่าไม่ได้เลย? ลองไปคิดกันต่อนะครับ สวัสดีครับ...
วันนี้ตั้งใจจะเอาคำที่พ่อเคยพูดให้ฟังอยู่เสมอๆ ในอดีตมาเล่าสู่กันฟังครับ พ่อเคยบอกว่าชีวิตเหมือนภาพยนตร์ที่สร้างไว้จบแล้ว... ฟังตอนแรกผมรู้สึกไม่ค่อยเห็นด้วย และขัดใจมาก ตอนนั้นยังเป็นวัยรุ่นอยู่ครับ เป็นนักเรียนมัธยม ความรู้สึกตอนนั้นก็คือ เราต้องเป็นผู้กำหนดชีวิตของเราสิ ใครจะมาสร้างไว้แล้วได้ยังไง?? ไม่ยอมเด็ดขาด...
แต่พอเวลาล่วงเลยมานานๆ ความรู้สึกนั้นก็เริ่มจะเอนๆ นิดๆ ไปในทางที่เริ่มให้น้ำหนักไปในทางเชื่อคำพูดนั้นมากขึ้น แต่ก็ยังไม่เชื่อทั้งหมดหรอกครับ ที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องเชื่อไม่เชื่ออะไร มันเป็นประมาณเรื่องของทัศนะคติในการใช้ชีวิตมากกว่า หลายๆ เรื่องที่เกิดขึ้นเราไม่รู้ว่าทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้น ทำไมมันจึงเป็นอย่างนี้ บางคนอาจไปโทษกรรมเก่าครับ ในขณะที่บางคนก็บอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุ เป็นอย่างนั้นเอง อย่างนี้เอง อันนี้ก็แล้วแต่แต่ละบุคคลครับ
จะยกตัวอย่างให้ฟังนะครับ เมื่อสามสี่วันก่อนตอนค่ำๆขณะที่ผมขับรถกลับบ้านที่รังสิตคลองสาม ตอนรถติดอยู่ที่ถนนเลียบคลองซึ่งกำลังติดอยู่อย่างมาก แทบไม่ขยับเลยนั้นเอง ก็มีเด็กวัยประมาณอนุบาลหรืออย่างมากก็ป1 ขี่จักรยานคันเล็กๆ ตัดออกจากแถวรถยนต์ฝั่งที่จอดติดอยู่ออกไปอีกเลนที่รถว่างมากเพื่อจะข้ามไปยังฝั่งตรงข้าม ซึ่งผมเหลือบไปเห็นพอดีอยู่เยื้องๆ กับรถผมไปทางด้านหลัง ทันใดนั้นสิ่งที่ทำให้ผมแทบหัวใจหยุดเต้นก็เกิดขึ้นครับ มีรถมอเตอร์ไซค์ขับมาอย่างเร็วมากๆ แล้วก็ชนเด็กอย่างแรงทันทีตรงนั้นนั่นเอง ทั้งเด็กทั้งจักรยานและมอเตอร์ไซค์กระเด็นไปสี่ห้าเมตร ไปกองอยู่ใกล้ๆ กันตรงขอบถนนใกล้กันนั่นเองครับ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และอย่างเงียบๆ แล้วทุกอย่างก็นิ่งไปเฉยๆ เพราะไม่มีใครกระดุกกระดิกครับ ความรู้สึกผมตอนนั้นบอกไม่ถูกครับว่าเป็นอย่างไร... สุดท้ายรถของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งก็เข้ามาจัดการครับ นี่แหละครับเป็นเพียงเหตุการณ์หนึ่งที่เราไม่อาจรู้ล่วงหน้าได้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น... คงมีเหตุการณ์อีกหลายอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวท่านเองหรือที่ได้พบเห็นมานะครับซึ่งไม่รู้ว่าจะอธิบายได้อย่างไรว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร และทำไม...
ผมพยายามจะเชื่อว่าเราเองเป็นผู้กำหนดชีวิตของเราเอง แต่หลายๆอย่างที่เกิดขึ้นมันชัดเจนครับว่ามันไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไป... เรากำหนดได้บางส่วนเท่านั้น? หรือว่าไม่ได้เลย? ลองไปคิดกันต่อนะครับ สวัสดีครับ...
ไปหาหมอเบาหวานวันนี้ - คนเยอะอย่างกับหนอน!
สวัสดีครับ วันนี้ไปพบหมอเบาหวานตามนัดที่ศิริราชมาครับ คนเยอะมากๆ แทบไม่มีที่ยืนเลยนะครับ ยิ่งเรื่องที่นั่งนั้นไม่ต้องพูดถึงเลยครับ ถ้าหาเจอก็นับว่าโชคดีจริงๆ แต่ถึงแม้ว่าจะหาที่นั่งยากและผมใช้เวลาตั้งแต่ไปถึงโรงพยาบาลจนถึงได้รับยานับได้ 8 ชั่วโมงก็ตาม ผมก็แอบไปหาที่นั่งจนได้ครับ คือผมไปโรงพยาบาลบ่อยจนพอจะทราบว่าต้องรออะไรในขั้นตอนไหนนานแค่ไหน จึงรู้ว่าช่วงไหนจะหนีไปหาที่นั่งข้างนอกได้ และนานเท่าไร... ครับ ก็เลยไม่เมื่อยมาก แต่ช่วงยืนก็ต้องคอยหลบผู้คนที่เดินไปมา และเปลผู้ป่วยที่เจ้าหน้าที่เข็ญผ่านไปมานะครับ สภาพอย่างนี้น่าเห็นใจทั้งคนไข้และเจ้าหน้าที่ ทั้งหมอ พยาบาล ผู้ช่วยต่างๆ ไปจนถึงคนทำความสะอาดห้องน้ำเลยครับ ทุกคนเหนื่อยจริงๆ แต่ที่น่าประทับใจก็คือว่าผมเห็นเจ้าหน้าที่ทุกคนยิ้มแย้ม อารมณ์ดีกันหมดเลย ไม่มีใครเครียด ถึงแม้ว่าบางครั้งเจ้าหน้าที่จะต้องใช้เสียงดังมากในการจัดระเบียบคนไข้กับญาติที่มาใช้บริการก็ตาม ก็ไม่รู้สึกว่าถูกด่าหรือต่อว่าให้เสียอารมณ์อะไร ผมคิดว่าทางโรงพยาบาลคงจะมีวิธีการดูแลเจ้าหน้าที่ที่ดีมาก จนทำให้ทุกคนทำงานแบบเครียดแต่กาย แต่ใจมีแต่รอยยิ้ม ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ครับ คิดว่าคนอื่นก็คงรู้สึกอย่างผมเหมือนกัน คนก็เลยหลั่งไหลกันมาจากทั่วประเทศอยู่ตลอดเวลาเลยจริงๆ
วันนี้ผมไปตรวจน้ำตาลในเลือดและการทำงานของไต ต้องเจาะเลือดและเก็บปัสสาวะส่งตรวจด้วย ผลก็คือน้ำตาลสะสมในเลือดสูงขึ้นอีกครับ วัดได้ 8.6 ซึ่งผมเข้าใจว่าน่าจะสูงมากเกินไปแล้ว ที่ผ่านมาตั้งใจจะลดแต่ก็ทำไม่ได้สักที เห็นทีคราวนี้คงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้แล้ว ผมยังไม่อยากต้องตัดนิ้วเท้าตอนอายุมากกว่านี้หรอกครับ... น่ากลัวมาก เพราะจะมีลักษณะคล้ายโดราเอมอนที่ไม่มีนิ้วนะครับ.. ฮ๋าๆ หมอก็เลยเพิ่มยาเบาหวานให้ ให้กินยา Glipizide เพิ่มอีกเม็ดก่อนอาหารเย็น ตอนนี้ก็เลยเป็นว่า กิน Miformin 850mg หลังอาหารเช้าเย็นมื้อละเม็ด Glipizide ก่อนอาหารเช้าเย็นมื้อละสองเม็ด และ Amlopine ยาลดความดันหลังอาหารเช้าอีกเม็ด เฮ้อ... กลัวไตจะพังก่อนนะสิครับ ยิ่งเหลือแค่ข้างเดียวอยู่ด้วย คราวนี้คงต้องเอาจริงแล้ว จะมามัวหยวนๆ กับพวกของหวาน ขนมปังอย่างเดิมคงไม่ได้แล้ว เพราะนี่คงไม่ค่อยน่าสนุกเท่าไรถ้าต้องตัดโน่นตัดนี่ทิ้งนะครับ
ส่วนเรื่องไตหมอไม่ได้บอกค่าไต หรือค่าการทำงานของไตครับ เพียงแต่ถามว่ากินน้ำน้อยมั้ย? ผมเลยเดาเอาว่าค่าไตอาจจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แล้วหมอก็ถามอีกว่าหมอรักษาไตนัดอีกเมื่อไหร่ ผมบอกไปว่านัดเดือนมกราปีหน้า ก็เดือนหน้านี่แหละครับ คือหมอห่วงว่าถ้าต้องตรวจเอ็กซ์เรย์ไตนั้นจะมีความยุ่งยากนิดนึง ผมไม่ได้ถามครับว่ายุ่งยากอย่างไร แต่เดาว่าคงเป็นเพราะต้องฉีดสีเข้าเส้นเลือดนั่นเอง ที่อาจจะมีผลต่อการขับออกของไต แล้วไตจะต้องทำงานหนักขึ้น เหมือนตอนที่พ่อผมจะต้องทำบอลลูนเส้นเลือดหัวใจนั่นแหละครับ ที่คุณหมอต้องระวังเรื่องการให้สารสีเข้าเส้นเลือดมากเป็นพิเศษ แต่พอผมบอกหมอว่านัดตรวจอัลตราซาวนด์ครับ ไม่ได้เอ็กซ์เรย์ คุณหมอก็เลยไม่ได้ว่ายังไงต่อ อ้อ หมอบอกว่าตามปกติถึงจะเหลือไตแค่ข้างเดียวแต่ก็ทำงานเหมือนมีสองข้างนะครับ
เบาหวาน แล้วก็กินยา แล้วก็ต้องระวังไต... เหนื่อยครับ แต่ก็ต้องลองดูสักตั้ง...
วันนี้พอตรวจเสร็จผมเอาช็อกโกแลตมาฝากคุณหมอด้วยครับ เพื่อเป็นการขอบคุณที่หมอได้ให้การรักษาดูแลมาอย่างยาวนาน ถึงตอนนี้ก็สิบปีได้แล้วครับ คุณหมอบอกว่าขนมเหรอ? หมออ้วนแล้วเนี่ย น้ำหนักขึ้นเป็น 70กิโลแล้ว ฮ่าๆ... ผมเห็นมีของฝากจากคนไข้เต็มชั้นหลังห้องตรวจคุณหมอเลย ทุกคนก็คงอยากตอบแทนหมอบ้างกระมังครับ เล็กๆ น้อยๆ ก็ยังดี คือจะให้อะไรที่ใหญ่ๆ มีค่ามากๆ ก็คงไม่เหมาะ แค่อะไรที่เป็นการแสดงความขอบคุณก็น่าจะพอแล้ว แล้วผมก็มีช็อกโกแลตฝากเจ้าหน้าที่พยาบาลหน้าห้องด้วยเหมือนกัน รู้สึกขอบคุณน้องเค้าด้วย เห็นทำงานหนักมากมาตลอดเหมือนกัน พวกเราคนไข้ยังหลบไปโน่นไปนี่ได้ถ้าเหนื่อย แต่นี่หมอกับพยาบาลต้องนั่งอยู่ตรงนั้นจนกว่าคนไข้จะหมด ไม่ได้กิน ไม่ได้เข้าห้องน้ำกันเลยครับ น่าเห็นใจมาก ในขณะเดียวกันก็รู้สึกยกย่องในความเสียสละและอดทนมากครับ
ผมขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลทุกคนอย่างจริงใจอีกครั้งครับ หัวใจพวกเค้าช่างยิ่งใหญ่จริงๆ.. สวัสดีครับ
วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554
หลังผ่าสมองน้องฝ้ายกินเก่งขึ้น
สวัสดีครับ วันนี้จะมาอัพเดทเรื่องราวของน้องฝ้ายครับ ว่าหลังจากผ่าตัดไปประมาณสามเดือนแล้ว ตอนนี้น้องฝ้ายอ้วนขึ้นเยอะเลยครับ ก่อนผ่าสมองนั้นตัวผอมๆ กะหร่องๆ แล้วก็ดูห่อเหี่ยวมาก แต่หลังจากผ่าก็กิน กิน แล้วก็กิน ตั้งแต่ฟื้นออกจากห้องผ่าตัดเลยนะครับ เพราะว่าพอฟื้นขึ้นมาในห้องไอซียูก็ขอกินเค้กแล้ว แล้วก็กินไม่หยุดเลยตั้งแต่นั้นมา ถึงแม้จะกินได้มากแต่ก็ไม่ได้อ้วนเกินครับ กำลังดี แค่เสื้อผ้าเก่าใส่ไม่ค่อยได้แค่นั้นเอง... :-)
วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554
หมาน้อยที่บ้านผู้เอาแต่นอน...
ที่บ้านมีลูกสุนัขตัวเล็กอายุประมาณสองเดือนได้ครับ เป็นพันธุ์ชิสุ วันๆมันเอาแต่นอน นอนจริงๆ ครับ เดินไปได้สองสามก้าวก็ล้มตัวลงนอนแผละแล้ว เค้าเรียกมันว่าเจ้า "บริดเจต" แต่ผมเรียกว่าเจ้าถั่วน้อยเพราะเวลามองจากที่ไกลๆหน่อยก็จะเห็นก้อนอะไรสีเทาๆ ดำๆ เหมือนเม็ดถั่วดำขนาดใหญ่วางอยู่ที่พื้นครับ ฮ่าๆ วันนี้รู้สึกว่ามันจะร่าเริงขึ้นมานิดหน่อยหลังจากที่ไปฉีดวัคซีน กับกินยาถ่ายพยาธิมา เอาไว้เล่าให้ฟังต่อคราวหน้าครับ สวัสดีครับ...
วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554
ยังชาในแนวใต้แผลผ่าตัดอยู่เลย
สวัสดีครับ ผมผ่าตัดต่อมหมวกไตขวาไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ถึงตอนนี้ก็เกือบปีแล้วครับ ส่วนไตซ้ายนั้นก็หลังต่อมหมวกไตขวาสามเดือนครับ ตอนนี้ผิวหนังบริเวณใต้แผลผ่าตัด (ใต้แนวสีส้มในรูป) ยังไม่รู้สึกเลยครับ มันชาๆครับ บางทีเวลาคันก็เกาไม่หายสักที ที่เป็นอย่างนี้เพราะเส้นประสาทบริเวณนั้นถูกตัดขาดออกจากกันครับ บริเวณเหนือแผลยังมีความรู้สึกเป็นปกติอยู่ แต่ใต้แผลลงมานั้นไม่รู้สึกเลย ตอนนี้ชินกับความรู้สึกนี้แล้วครับ แต่ก่อนหงุดหงิดมาก ก็ลองนึกถึงตอนที่เราคันแล้วเราเกาไม่ถูกที่คันดูซีครับ คิดว่าหลายๆคนคงเคยเจอ... เห็นมั้ยครับว่ามันน่าหงุดหงิดแค่ไหน
ส่วนตัวแผลเองก็ยังรู้สึกตึงๆ ภายในอยู่เลยครับ ไม่หายสักที... แล้วพบกันใหม่ครับ สวัสดีครับ...
วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554
การ์ดอีเลคทรอนิคส์อวยพรปีใหม่จาก VHL Family Alliance
ได้รับอีเมลส่งการ์ดอวยพรปีใหม่จาก VHL Family Alliance สำหรับปีใหม่ 2012 หรือ 2555 มาวันนี้ครับ เห็นสวยดีก็เลยเอามาลงให้ดูกัน นอกจากการ์ดอวยพรปีใหม่แล้วก็ยังมีแจ้งข่าวสารอื่นๆอีกด้วยนะครับ อย่างเช่นการจัดงานประชุมนานาชาติที่เมืองฮุสตันในเดือนมกราคมปีหน้า ซึ่งจะมีการอัพเดทข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับการวิจัยโรคนี้ และการดูแลผู้ป่วยเป็นต้น
ที่ต่างประเทศนั้นมีการศึกษาโรคนี้กันอย่างจริงจังมากนะครับ อยากให้เมืองไทยมีการศึกษาวิจัยลึกๆอย่างนั้นบ้างจังเลยนะครับ หวังว่าในอนาคตคงจะมีสถาบันการแพทย์ โดยเฉพาะโรงเรียนแพทย์ทำการวิจัยอย่างเข้มข้นนะครับ พวกเราจะได้มีความหวังมากขึ้น ผมเข้าไปอ่านเว็บของต่างประเทศ ผู้ป่วยบางคนต้องเสียชีวิตเนื่องจากไตวาย หรือต้องฟอกไตกันจนเสียชีวิตไปเลยก็มีเยอะครับ เป็นเรื่องที่น่าเศร้านะครับที่คนเหล่านั้นต้องมาเป็นโรคนี้ โรคที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย ก็เกิดมาแล้วนี่ครับ
สำหรับวันนี้ถึงแม้ว่าจะยังไม่ถึงวันปีใหม่ แต่ผมก็ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ท่านนับถือจงโปรดอำนวยพรให้ทุกท่านมีความสุข ความเข้มแข็ง และกล้าหาญตลอดไปครับ สวัสดีครับ...
วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554
น้องฝ้ายไปโรงเรียนได้ตามปกติครับ
สวัสดีตอนอากาศหนาวๆ ครับ อากาศเย็นเข้ามาเยือนกรุงเทพกับแถวๆรังสิตที่ผมอยู่มาหลายวันแล้วนะครับ ผมชอบมากๆ และคิดว่าหลายคนก็ชอบเหมือนกัน วันนี้อยู่บ้านทั้งวันครับ ตั้งใจว่าจะกลับมาเขียนบล็อก (blog) ให้ได้สม่ำเสมอเหมือนเดิมครับ ที่ผ่านมานอกจากจะหนีน้ำท่วมไปต่างจังหวัดแล้ว บางครั้งก็ไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไรเหมือนกันเพราะว่าเรื่องของโรค VHL ที่ตั้งใจจะแปลบทความการศึกษาของต่างประเทศนั้นพอเอาเข้าจริงๆ ก็ไม่ง่ายเท่าไรครับ เพราะว่าส่วนใหญ่บทความมักจะเป็นเรื่องของแพทย์ หรือไม่อย่างนั้นก็เป็นเรื่องของงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ก็ไม่ง่ายเหมือนกัน แต่ก็ยังตั้งใจจะทำต่อครับ
ตัวผมเองตอนนี้สุขภาพพอไปได้ครับ แผลผ่าตัดไตซ้ายและต่อมหมวกไตขวายังเจ็บๆตึงๆอยู่ แต่โดยรวมก็ต้องถือว่าปกติครับ เพราะสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ขับรถไปทำงานได้เหมือนเดิม เดินนานๆได้เหมือนเดิมแถมยังออกกำลังกายเบาๆได้เหมือนเดิมอีกครับ ตอนนี้ผมพยายามออกกำลังกายโดยการเหวี่ยงแขน หรือยีดเส้นยีดสาย วิดพื้นก็ยังได้เลยนะครับ บอกลูกว่าจะทำซิกแพ็กค์ให้ดู ฮ่าๆ ยังไม่เจียมตัวอีกนะครับ ...
ตอนนี้น้องฝ้ายไปโรงเรียนแล้วครับ โรงเรียนเปิดเมื่อวานนี้ครับ น้องฝ้ายอยู่จุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย ต้องนอนหอพักที่โรงเรียนครับ ปกติสองอาทิตย์กลับบ้านครั้งนึง ไม่แน่ใจว่าเทอมนี้จะได้กลับบ้านเหมือนเดิมหรือว่าเปลี่ยนแปลง คือช่วงที่น้ำท่วมโรงเรียนก็เลื่อนเปิดเทอมครับ ก็เลยเดาว่าอาจจะเร่งสอนทำให้ได้กลับบ้านน้อยลง แต่ไม่เป็นไรครับ น้องฝ้ายดูเหมือนจะปรับตัวได้เยอะแล้ว เมื่อเช้าก็โทรศัพท์มาคุยและรายงานผลการเรียนเทอมที่ผ่านมาว่าได้เกรดเฉลี่ยดีมากเลยด้วยครับ ผมในฐานะที่เป็นพ่อก็ต้องปลื้มมากๆเป็นธรรมดาครับ หลังผ่าตัดน้องฝ้ายน้ำหนักมากขึ้นเพราะว่ากินเก่งขึ้นครับ กินได้มากโดยเฉพาะของหวาน พวกเค้กช็อกโกแล็ตนี่แหละครับ...อร่อยมาก... เปิดเทอมนี้ก็เลยต้องหาเสื้อผ้าใหม่กันวุ่นไปเลย ปัญหาสุขภาพอื่นๆก็ไม่มีอะไรครับ น้องฝ้ายแข็งแรงดีและไม่มีอาการที่เป็นผลกระทบจากการผ่าตัดสมองแต่อย่างใด ที่ผ่านมาน้องฝ้ายยังขยันเพิ่มอีกอย่างด้วยนะครับ คือน้องฝ้ายเขียน web blog ด้วยครับ ก็เป็นเรื่องของส่วนตัวที่โรงเรียนและยังแปลเรื่อง VHL จากหนังสือที่ผมซื้อมาให้ด้วย ที่อยู่ตามนี้นะครับ เผื่อใครสนใจอยากเข้าไปดู http://jp16422.wordpress.com/
ดูแลสุขภาพรับลมหนาวกันด้วยนะครับ สวัสดีครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)