สวัสดีครับ
วันนี้จะเอาเรื่องเนื้องอกในไตมาเล่าต่อกันสักนิด หลังจากที่ไปค้นข้อมูลได้มาเพิ่มอีกนิดหน่อย คืออย่างนี้ครับ โดยทั่วไปผมมักจะได้ยินว่าเรามีถุงน้ำหรือซีสต์ที่ไตพร้อมๆกับเนื้องอกด้วย หลายคนก็สงสัยว่าเราผ่าออกได้มั้ย หรือบางทีก็ถามว่าแล้วหมอว่ายังไง อะไรพวกนี้เป็นต้นครับ จากที่ผมเป็นนี้ถ้ามีเฉพาะถุงน้ำหมอไม่เอาออกให้ครับ ถึงแม้ว่ามันจะใหญ่ขึ้นมามากก็ตาม อย่างของผมตอนนี้เส้นผ่าศูนย์กลางวัดได้ 6 เซนติเมตรแล้ว แต่หมอก็บอกว่าไม่จำเป็นต้องเอาออก ประมาณว่ามันก็ไม่ได้ทำอันตรายใดๆต่อตัวเรา อย่าไปยุ่งกับมันอะไรอย่างนี้แหละครับ ผมเดาเอาเองว่าในเมื่อมันไม่ได้เป็นอันตรายกับเรา เราก็ไม่ต้องไปทำอะไรกับมันเพราะว่าการผ่าตัดเอาออกมันไม่ใช่เรื่องเล็กๆกระมังครับ คิดดูว่าต้องผ่าเข้าไปในท้องไปถึงด้านในลึกๆตรงตำแหน่งไตที่เจ้าถุงน้ำนี้มันอยู่ โห ต้องผ่าโดนอะไรๆตั้งมากมายเลยนะครับ มันคงไม่คุ้มและไม่จำเป็นนะครับ อ้อ แต่หมอจะทำการผ่าตัดให้ครับ ถ้ามันเกิดเจ็บปวดขึ้นมาถ้ามีอะไรผิดปกติกับมัน อย่างเช่นติดเชื้อ (โรค) หรืออะไรประมาณนั้น อย่างคราวที่แล้วที่ผมเป็น ก็ปวดมากครับ ปวดแบบยาวนานต่อเนื่องหลายวันเลย
ก็เป็นอันว่าเข้าใจง่ายๆครับ ว่าถ้าเป็นแค่ซีสต์หรือถุงน้ำ ไม่จำเป็นต้องไปทำอะไรกับมัน ยกเว้นว่ามันปวด แต่ถ้ามีเนื้องอกเกิดร่วมด้วย อันนี้คุณหมอคงต้องเอาออกล่ะครับ แต่ถ้ามันยังเล็กอยู่ก็ยังไม่จำเป็นเช่นกันครับ หมอจะทำการผ่าตัดเอาออกให้ก็ต่อเมื่อมันมีขนาดประมาณ 3 เซนติเมตรครับ อันนี้ผมเอามาจากของต่างประเทศที่เค้าแชร์ๆกันมา ผมก็ไม่เคยถามคุณหมอที่เมืองไทยเหมือนกัน คือทุกครั้งที่ไปหาหมอก็จะเกร็งๆและไม่กล้าพูดมาก กลัวหมอดุเอา... ก็ไม่รู้สิครับ ก็มันกลัว ยิ่งเห็นคนไข้เยอะ รอคิวกันนานๆเราก็ไม่อยากจะใช้เวลาหมอเยอะ ก็เลยแล้วแต่ละกัน ถ้าคุณหมอบอกก็ดีไป ถ้าไม่บอกก็ถามเฉพาะที่จำเป็น อย่างเช่น เป็นมะเร็งมั้ยครับ ต้องผ่ามั้ยครับ ต้องทำอะไรมั้ยครับ.. อะไรพวกนี้
วันนี้รูปที่ผมเอามา ผมเอามาจากเว็บไซต์หนึ่ง เป็นรูปจาก CT ครับ ซึ่งแสดงก้อนเนื้องอกที่ไตซ้าย ตรงที่ลูกศรสีเหลืองๆชี้อยู่นั่นแหละครับ เรียกว่า Hypernephroma หรือ Renal Cell Carcioma ขอรับ ซึ่งสำหรับอาการนี้สำหรับผมคุณหมอก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าจะเป็นหรือเปล่าเมื่อเดือนที่แล้ว แต่พอทำ CT ออกมาแล้วก็ปรากฎว่าไม่เป็นครับ ก็โล่งใจกันไป...
สำหรับวันนี้ก็ขอให้ทุกท่านมีความสุขกาย สบายอารมณ์กันไปนะครับ แล้วพบกันใหม่ครับ
สวัสดีครับ
วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2557
วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2557
น้ำตาลสะสม เอาไม่อยู่... ลงยากมาก
สวัสดีครับ
วันนี้อยากจะมาอัพเดทเรื่องสุขภาพกันสักหน่อยครับ ห่างหายไปนานจากเรื่องธรรมดาๆ แต่มีความหมายมากอย่างนี้นะครับ ถ้านับตั้งแต่รู้ตัวว่าเป็นเบาหวานครั้งแรก ถึงตอนนี้ก็เกือบแปดปีเข้าไปแล้ว ทานยาทุกวันครับ มีแต่เพิ่มไม่มีลดเลย เพราะว่าผลของน้ำตาลสะสมไม่เคยลดลงเลย ไปตรวจทีไรก็มีแต่คงที่กับเพิ่มขึ้น เคยลดเหมือนกันอยู่นะครับ แต่น้อยมาก สุดท้ายก็ต้องเพิ่มยา ผมเคยพยายามลดอาหารและออกกำลังกาย แต่ก็ทำได้ยาก คือทำให้สม่ำเสมอนี่เป็นอะไรที่ยากมาก ทำได้อย่างมากก็อาทิตย์สองอาทิตย์แล้วก็กลับไปทำตัวนุ่มนิ่มอีก... ฮ่าๆ ก็ประมาณว่าพอมันเพลียๆเหนื่อยๆ เราก็ตามใจตัวเองเหมือนเดิมนั่นแหละครับ ไม่ค่อยออกกำลังกาย บางครั้งก็หาข้ออ้างในการกินขนมหวาน อย่างเช่น เอานะ นิดหน่อย นานๆ ครั้ง อะไรพวกนี้เป็นต้น พอมันนานๆครั้งบ่อยๆเข้ามันก็เอาไม่อยู่นั่นแหละ ไปหาหมอทีไรก็ตั้งใจใหม่ทุกครั้งว่าคราวหน้าเจอหมอต้องทำให้หมอประหลาดใจให้ได้ โดยการเห็นน้ำตาลลดลงยอะๆ แต่ก็ทุกครั้งแหละครับ คุณหมอคงไม่ประหลาดใจเพราะว่ามันไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงสักเท่าไร...
บางครั้งรูปแบบการใช้ชีวิตที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมันก็ทำให้คุณภาพชีวิตเราไม่เปลี่ยนเหมือนกัน ผมว่านะ... อยากหายจากโรคก็คงต้องทำอะไรที่มันต่างออกไปให้ได้ ก็เราเป็นอย่างนี้เพราะเรามีการใช้ชีวิตอย่างนี้ ดังนั้นถ้าจะให้มันหายมันก็คงต้องทำอะไรที่มันแตกต่างออกไปใช่ไหมครับ เอาไว้วันไหนที่ผมเอาชนะน้ำตาลได้แล้วจะมาเล่าสู่กันฟังนะครับ ว่าทำอย่างไร ตอนนี้ยังไม่กล้าเล่าเพราะว่ายังทำไม่สำเร็จ ไม่แค่นั้นยังทำท่าว่าจะแพ้อีกต่างหาก
แล้วพบกันใหม่ สวัสดีครับ
วันนี้อยากจะมาอัพเดทเรื่องสุขภาพกันสักหน่อยครับ ห่างหายไปนานจากเรื่องธรรมดาๆ แต่มีความหมายมากอย่างนี้นะครับ ถ้านับตั้งแต่รู้ตัวว่าเป็นเบาหวานครั้งแรก ถึงตอนนี้ก็เกือบแปดปีเข้าไปแล้ว ทานยาทุกวันครับ มีแต่เพิ่มไม่มีลดเลย เพราะว่าผลของน้ำตาลสะสมไม่เคยลดลงเลย ไปตรวจทีไรก็มีแต่คงที่กับเพิ่มขึ้น เคยลดเหมือนกันอยู่นะครับ แต่น้อยมาก สุดท้ายก็ต้องเพิ่มยา ผมเคยพยายามลดอาหารและออกกำลังกาย แต่ก็ทำได้ยาก คือทำให้สม่ำเสมอนี่เป็นอะไรที่ยากมาก ทำได้อย่างมากก็อาทิตย์สองอาทิตย์แล้วก็กลับไปทำตัวนุ่มนิ่มอีก... ฮ่าๆ ก็ประมาณว่าพอมันเพลียๆเหนื่อยๆ เราก็ตามใจตัวเองเหมือนเดิมนั่นแหละครับ ไม่ค่อยออกกำลังกาย บางครั้งก็หาข้ออ้างในการกินขนมหวาน อย่างเช่น เอานะ นิดหน่อย นานๆ ครั้ง อะไรพวกนี้เป็นต้น พอมันนานๆครั้งบ่อยๆเข้ามันก็เอาไม่อยู่นั่นแหละ ไปหาหมอทีไรก็ตั้งใจใหม่ทุกครั้งว่าคราวหน้าเจอหมอต้องทำให้หมอประหลาดใจให้ได้ โดยการเห็นน้ำตาลลดลงยอะๆ แต่ก็ทุกครั้งแหละครับ คุณหมอคงไม่ประหลาดใจเพราะว่ามันไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงสักเท่าไร...
บางครั้งรูปแบบการใช้ชีวิตที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมันก็ทำให้คุณภาพชีวิตเราไม่เปลี่ยนเหมือนกัน ผมว่านะ... อยากหายจากโรคก็คงต้องทำอะไรที่มันต่างออกไปให้ได้ ก็เราเป็นอย่างนี้เพราะเรามีการใช้ชีวิตอย่างนี้ ดังนั้นถ้าจะให้มันหายมันก็คงต้องทำอะไรที่มันแตกต่างออกไปใช่ไหมครับ เอาไว้วันไหนที่ผมเอาชนะน้ำตาลได้แล้วจะมาเล่าสู่กันฟังนะครับ ว่าทำอย่างไร ตอนนี้ยังไม่กล้าเล่าเพราะว่ายังทำไม่สำเร็จ ไม่แค่นั้นยังทำท่าว่าจะแพ้อีกต่างหาก
แล้วพบกันใหม่ สวัสดีครับ
วันอังคารที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2557
รอดแล้ว วินิจฉัยว่าไม่มีก้อนเนื้อครับ
สวัสดีครับ
เมื่อวานไปพบคุณหมอเพื่อตรวจผลทำซีทีมาเรียบร้อยแล้ว ผลปรกฎว่า "ไม่มีก้อนเนื้อ" ครับ ... เย้ ข่าวดีมากเลยครับ ต่อไปก็ไม่ต้องกังวลแล้ว คุณหมอบอกว่าไม่มีก้อนเนื้อ ก็เลยโล่งใจครับ เหมือนยกภูเขาออกจากอกเลย คุณหมอนัดอีกทีเก้าเดือนข้างหน้าครับ ให้มาทำอัลตร้าซาวนด์ นี่แสดงว่าสบายใจได้ครับว่าต่อไปก็คงแค่มาตรวจตามปกติ
ผมไปค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Cystic RCC ก็ได้ข้อมูลเพิ่มเติมอยู่พอสมควรแต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจมากหรอกครับ โดยเฉพาะสาเหตุที่ทำให้มันเกิด เพราะว่าเรื่องที่เขียนเห็นมีแต่ภาษาอังกฤษและเป็นเรื่องของการวิจัยทางการแพทย์ซึ่งผมเองก็ไม่เข้าใจความหมายของคำศัพท์หลายๆอย่างด้วย รู้แต่ว่ามันอาจจะเกิดจากถุงน้ำได้ด้วย อะไรประมาณนั้น โดยที่ลักษณะของมันจะมีลักษณะเป็นช่องๆ (Septation) และผนังไม่เรียบ ซึ่งไม่เหมือนกับถุงน้ำ (cyst) ที่มักจะกลมๆหรือรีๆและมีผนังเรียบครับ ประมาณนี้ครับ
เอาเป็นว่าก็สบายใจขึ้นมาเยอะเลย และต่อไปก็จะได้ระมัดระวังเรื่องสุขภาพให้ดี ทำสมาธิเพิ่มขึ้นครับ
สวัสดีครับ
เมื่อวานไปพบคุณหมอเพื่อตรวจผลทำซีทีมาเรียบร้อยแล้ว ผลปรกฎว่า "ไม่มีก้อนเนื้อ" ครับ ... เย้ ข่าวดีมากเลยครับ ต่อไปก็ไม่ต้องกังวลแล้ว คุณหมอบอกว่าไม่มีก้อนเนื้อ ก็เลยโล่งใจครับ เหมือนยกภูเขาออกจากอกเลย คุณหมอนัดอีกทีเก้าเดือนข้างหน้าครับ ให้มาทำอัลตร้าซาวนด์ นี่แสดงว่าสบายใจได้ครับว่าต่อไปก็คงแค่มาตรวจตามปกติ
ผมไปค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Cystic RCC ก็ได้ข้อมูลเพิ่มเติมอยู่พอสมควรแต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจมากหรอกครับ โดยเฉพาะสาเหตุที่ทำให้มันเกิด เพราะว่าเรื่องที่เขียนเห็นมีแต่ภาษาอังกฤษและเป็นเรื่องของการวิจัยทางการแพทย์ซึ่งผมเองก็ไม่เข้าใจความหมายของคำศัพท์หลายๆอย่างด้วย รู้แต่ว่ามันอาจจะเกิดจากถุงน้ำได้ด้วย อะไรประมาณนั้น โดยที่ลักษณะของมันจะมีลักษณะเป็นช่องๆ (Septation) และผนังไม่เรียบ ซึ่งไม่เหมือนกับถุงน้ำ (cyst) ที่มักจะกลมๆหรือรีๆและมีผนังเรียบครับ ประมาณนี้ครับ
เอาเป็นว่าก็สบายใจขึ้นมาเยอะเลย และต่อไปก็จะได้ระมัดระวังเรื่องสุขภาพให้ดี ทำสมาธิเพิ่มขึ้นครับ
สวัสดีครับ
วันอาทิตย์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2557
CT scan ช่องท้องอีกครั้งเพื่อตรวจไตอย่างละเอียด
สวัสดีครับ
เมื่อสองวันที่แล้วผมไปตรวจไตอย่างละเอียดโดยใช้เครื่องซีที (CT scan) มาครับ วันนี้เลยจะเอามาเล่าสู่กันฟัง เผื่อพี่น้องท่านใดจะไปตรวจหรืออยากทราบรายละเอียดจะได้ใช้เป็นข้อมูลกันนะครับ ผมมีนัดที่หน่วยตรวจที่โรงพยาบาลศิริราชตอนหนึ่งทุ่มครับ เจ้าหน้าที่โทรมาก่อนเวลานัดประมาณสามชั่วโมงได้ครับ ถามว่าจะไปตามนัดได้หรือไม่ ก็คงจะได้เตรียมเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์ไว้ให้พร้อมเวลาเราไปทำกระมังครับ ซึ่งผมรู้สึกว่าดีมากที่เจ้าหน้าที่โทรมาเพื่อยืนยันการนัดหมายของเราไว้ก่อน เพราะที่แน่ๆเราก็จะได้คิวตามที่นัด ไม่ต้องไปรอนานเกินไปนั่นเองครับ
เมื่อไปถึงก็ยื่นใบนัด เจ้าหน้าที่ก็ให้ไปรอตรงห้องตรวจ วันที่ผมไปไม่มีคนรอก่อนหน้าเลยครับ สงสัยเป็นเพราะว่าค่ำแล้ว ใกล้ๆหนึ่งทุ่มแล้วนั่นเองครับ นั่งรอได้นิดเดียวเจ้าหน้าที่ที่ห้องตรวจก็เรียกชื่อเข้าไปเตรียมตัวก่อนตรวจครับ ไม่มีอะไรมาก สำหรับการเตรียมตัวก็เปลี่ยนเสื้อผ้า ถอดทุกอย่างที่เราใส่ไปทั้งหมด เสื้อผ้า นาฬิกา กางเกงใน ยกเว้นถุงเท้ากับรองเท้าครับ เพราะต้องเดินไปอีกห้องหนึ่ง ใส่ชุดตรวจสีชมพูซึ่งเป็นชุดยาวถึงหน้าแข้ง ไม่มีกางเกงนะครับ ผูกเชือกรอบเอวแล้วก็เดินไปนั่งรอ เจ้าหน้าที่ก็จะให้ดื่มน้ำหวานครับ เป็นน้ำหวานเฮลส์บลูบอยผสมสารทึบแสงไส่ไว้ในขวดพลาสติกเหมือนขวดน้ำดื่มขนาดครึ่งลิตรประมาณนั้น เจ้าหน้าที่บอกให้ดื่มให้หมดเลย ซึ่งดีมากครับ ผมกำลังหิวพอดีเพราะต้องอดอาหารมาตั้งแต่เที่ยง (ก่อนตรวจหกชั่วโมง) ก็เลยดีใจมากได้น้ำหวานช่วยชีวิตไว้พอดี.. ฮ่าๆ ดีจริงๆนะครับ เพราะผมเป็นเบาหวานด้วย กลัวน้ำตาลจะต่ำเกินแล้วเป็นลมในห้องตรวจแล้วคงแย่เหมือนกัน ก่อนเข้าห้องเกือบจะแอบกินลูกอมที่พกมาด้วยแล้วครับ แต่กลัวว่าเวลาพูดแก้มมันจะบวมๆเค้าจะว่าเอา (ไม่รู้ว่าจะว่าหรือเปล่า กลัวไว้ก่อน..) หลังจากกินน้ำหวานหมดขวดก็ไปทำการเปิดเส้นที่แขน ซึ่งก็คือการเจาะต่อเข็มและสายเอาไว้สำหรับตอนฉีดสารเข้าเส้นอีกครั้งตอนตรวจในห้องตรวจครับ แล้วก็ต้องดื่มน้ำเปล่าอีกสองแก้วตามไป พอหมดก็เข้าไปในห้องตรวจซีทีครับ
ในห้องมีเจ้าหน้าที่อยู่สองคน ลุงผู้ชายคนหนึ่งกับน้องพยาบาลผู้หญิงอีกคน ที่เรียกลุงก็เพราะว่าเรียกตามที่พยาบาลเรียกนะครับ ตอนไปจ่ายเงินพยาบาลเค้าบอกว่าให้ตามคุณลุงคนนั้นไป ผมก็เลยเรียกลุงตามไปด้วย ฮ่าๆ.. ในห้องเจ้าหน้าที่จัดให้นอนแล้วก็บอกว่าใช้เวลาตรวจประมาณ 10 นาที แต่ก่อนที่จะเริ่มทำการตรวจด้วยเครื่อง ซีที เจ้าหน้าที่พยาบาลก็บอกว่าต้องฉีดน้ำเข้าไปทางก้นก่อนนะ แล้วก็เปิดผ้าขึ้นเอาอุปกรณ์เป็นท่อเล็กๆใส่เข้าไปแล้วก็จัดการกรอกน้ำเข้าไปประมาณหนึ่งหลอด ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่ากี่ซีซีกันแน่นะครับ แต่เหลือบไปดูหลอดที่ใส่น้ำแล้วก็น่าจะประมาณค่อนขวดนมเด็กนั่นแหละครับ อาจจะไม่ถึงหรอกครับ เจ้าหน้าที่บอกว่าเพื่อให้อวัยวะมันเห็นแยกกันเป็นส่วนๆ (ผมเดาว่าเราดื่มสารทึบแสงเข้าไปทางปากมันก็คงเข้าไปในกระเพาะอาหารแล้วก็ลำใส้เล็ก แล้วก็ลำใส้ใหญ่ รวมทั้งอวัยวะต่างๆที่อยู่ข้างในด้วย ในขณะที่น้ำเปล่ามันเข้าไปอยู่ในปลายลำใส้ใหญ่ทางรูทวารเท่านั้น) เมื่อเรียบร้อยแล้วก็เข้าเครื่องตรวจครับ เราก็นอนราบลงกับที่นอนแล้วเครื่องก็จะเลื่อนเข้าไปในอุโมงค์ให้ตำแหน่งท้องเราไปอยู่ตรงอุปกรณ์ที่ต้องการครับ เจ้าหน้าที่จะสั่งการว่าหายใจเข้าลึกๆ-กลั้นใจไว้ แล้วเตียงก็จะเลื่อนออกมา-หายใจได้ค่ะ ทำอย่างนี้อยู่ประมาณสี่ห้าครั้งก็เรียบร้อยสำหรับขั้นแรกครับ รู้สึกว่าเร็วมาก
แล้วเจ้าหน้าที่ก็เข้ามาฉีดสารอะไรสักอย่างเข้าทางเส้นเลือดที่เปิดไว้ รู้สึกอุ่นๆจากแขนเข้ามาที่ลำคอแล้วก็หน้าอกแล้วก็ช่องท้องด้านที่ใกล้กับแขนที่ฉีดครับ ก็อุ่นๆดี ไม่แพ้ไม่มีอาการคันอะไรเลยครับ จากนั้นก็ให้รอประมาณห้านาทีเพื่อให้สารที่ฉีดนั้นเข้าไปถึงกะเพาะปัสสาวะ ผมนอนนับลมหายใจแบบหายใจเร็วๆกว่าปกตินิดหน่อยได้ 55 ครั้งครับ เจ้าหน้าที่ก็เลื่อนเข้าไปตรวจในอุโมงค์ต่อ ซึ่งขั้นนี้นั้นเร็วมากก็เสร็จ ลุกออกไปเข้าห้องน้ำได้ เพราะน้ำที่ฉีดเข้าทางก้นนั้นมันทำให้รู้สึกมวนๆในท้องเหมือนเวลาเราปวดอุจจาระนั่นแหละครับ อีกอย่างน้ำที่ดื่มเข้าไปตั้งเยอะก่อนหน้าก็ทำให้รู้สึกปวดฉี่เหมือนกัน ก็เลยไปเข้าห้องน้ำ แล้วมานั่งรอเพื่อสังเกตุอาการต่ออีกพักเล็กๆครับ ก็เป็นอันเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ก็มาถอดสายที่แขน เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วตามคุณลุงคนหล่อไปจ่ายสตางค์ก็กลับบ้านได้ รวมแล้วใช้เวลาประมาณ 40นาทีครับ รวดเร็วครับ ผมประทับใจเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลศิริราชทุกท่าน ตั้งแต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย แม่บ้าน พยาบาล ไปจนถึงแพทย์ทุกท่านเลยครับ ทุกคนทำงานเพื่อบริการคนไข้ให้ดีที่สุด รู้สึกดีและอบอุ่นมากครับถึงแม้บางครั้งเจ้าหน้าที่อาจจะดุบ้างเวลาบอกคนไข้ไห้ทำตัวให้เป็นระเบียบหรือให้ไปยืนรอตรงนั้นตรงนี้เพื่อให้การให้บริการและการใช้บริการเป็นไปอย่างเรียบร้อย รวดเร็วต่อทุกคนที่สุด แต่บอกด้วยเสียงอันดังก็ตาม แต่ก็ลงท้ายด้วยค่ะทุกครั้ง... ฮ่าๆ เห็นมั้ยครับ ไม่เห็นโหดเลย...
ค่าใช้จ่ายรวม 14,000 บาทครับ พรุ่งนี้จะไปพบแพทย์เพื่อฟังผล แล้วจะมาเล่าต่อนะครับ โชคดีครับทุกคน สวัสดีครับ
ขอบคุณภาพจาก thaigoodview.com ครับ
เมื่อสองวันที่แล้วผมไปตรวจไตอย่างละเอียดโดยใช้เครื่องซีที (CT scan) มาครับ วันนี้เลยจะเอามาเล่าสู่กันฟัง เผื่อพี่น้องท่านใดจะไปตรวจหรืออยากทราบรายละเอียดจะได้ใช้เป็นข้อมูลกันนะครับ ผมมีนัดที่หน่วยตรวจที่โรงพยาบาลศิริราชตอนหนึ่งทุ่มครับ เจ้าหน้าที่โทรมาก่อนเวลานัดประมาณสามชั่วโมงได้ครับ ถามว่าจะไปตามนัดได้หรือไม่ ก็คงจะได้เตรียมเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์ไว้ให้พร้อมเวลาเราไปทำกระมังครับ ซึ่งผมรู้สึกว่าดีมากที่เจ้าหน้าที่โทรมาเพื่อยืนยันการนัดหมายของเราไว้ก่อน เพราะที่แน่ๆเราก็จะได้คิวตามที่นัด ไม่ต้องไปรอนานเกินไปนั่นเองครับ
เมื่อไปถึงก็ยื่นใบนัด เจ้าหน้าที่ก็ให้ไปรอตรงห้องตรวจ วันที่ผมไปไม่มีคนรอก่อนหน้าเลยครับ สงสัยเป็นเพราะว่าค่ำแล้ว ใกล้ๆหนึ่งทุ่มแล้วนั่นเองครับ นั่งรอได้นิดเดียวเจ้าหน้าที่ที่ห้องตรวจก็เรียกชื่อเข้าไปเตรียมตัวก่อนตรวจครับ ไม่มีอะไรมาก สำหรับการเตรียมตัวก็เปลี่ยนเสื้อผ้า ถอดทุกอย่างที่เราใส่ไปทั้งหมด เสื้อผ้า นาฬิกา กางเกงใน ยกเว้นถุงเท้ากับรองเท้าครับ เพราะต้องเดินไปอีกห้องหนึ่ง ใส่ชุดตรวจสีชมพูซึ่งเป็นชุดยาวถึงหน้าแข้ง ไม่มีกางเกงนะครับ ผูกเชือกรอบเอวแล้วก็เดินไปนั่งรอ เจ้าหน้าที่ก็จะให้ดื่มน้ำหวานครับ เป็นน้ำหวานเฮลส์บลูบอยผสมสารทึบแสงไส่ไว้ในขวดพลาสติกเหมือนขวดน้ำดื่มขนาดครึ่งลิตรประมาณนั้น เจ้าหน้าที่บอกให้ดื่มให้หมดเลย ซึ่งดีมากครับ ผมกำลังหิวพอดีเพราะต้องอดอาหารมาตั้งแต่เที่ยง (ก่อนตรวจหกชั่วโมง) ก็เลยดีใจมากได้น้ำหวานช่วยชีวิตไว้พอดี.. ฮ่าๆ ดีจริงๆนะครับ เพราะผมเป็นเบาหวานด้วย กลัวน้ำตาลจะต่ำเกินแล้วเป็นลมในห้องตรวจแล้วคงแย่เหมือนกัน ก่อนเข้าห้องเกือบจะแอบกินลูกอมที่พกมาด้วยแล้วครับ แต่กลัวว่าเวลาพูดแก้มมันจะบวมๆเค้าจะว่าเอา (ไม่รู้ว่าจะว่าหรือเปล่า กลัวไว้ก่อน..) หลังจากกินน้ำหวานหมดขวดก็ไปทำการเปิดเส้นที่แขน ซึ่งก็คือการเจาะต่อเข็มและสายเอาไว้สำหรับตอนฉีดสารเข้าเส้นอีกครั้งตอนตรวจในห้องตรวจครับ แล้วก็ต้องดื่มน้ำเปล่าอีกสองแก้วตามไป พอหมดก็เข้าไปในห้องตรวจซีทีครับ
ในห้องมีเจ้าหน้าที่อยู่สองคน ลุงผู้ชายคนหนึ่งกับน้องพยาบาลผู้หญิงอีกคน ที่เรียกลุงก็เพราะว่าเรียกตามที่พยาบาลเรียกนะครับ ตอนไปจ่ายเงินพยาบาลเค้าบอกว่าให้ตามคุณลุงคนนั้นไป ผมก็เลยเรียกลุงตามไปด้วย ฮ่าๆ.. ในห้องเจ้าหน้าที่จัดให้นอนแล้วก็บอกว่าใช้เวลาตรวจประมาณ 10 นาที แต่ก่อนที่จะเริ่มทำการตรวจด้วยเครื่อง ซีที เจ้าหน้าที่พยาบาลก็บอกว่าต้องฉีดน้ำเข้าไปทางก้นก่อนนะ แล้วก็เปิดผ้าขึ้นเอาอุปกรณ์เป็นท่อเล็กๆใส่เข้าไปแล้วก็จัดการกรอกน้ำเข้าไปประมาณหนึ่งหลอด ซึ่งผมก็ไม่ทราบว่ากี่ซีซีกันแน่นะครับ แต่เหลือบไปดูหลอดที่ใส่น้ำแล้วก็น่าจะประมาณค่อนขวดนมเด็กนั่นแหละครับ อาจจะไม่ถึงหรอกครับ เจ้าหน้าที่บอกว่าเพื่อให้อวัยวะมันเห็นแยกกันเป็นส่วนๆ (ผมเดาว่าเราดื่มสารทึบแสงเข้าไปทางปากมันก็คงเข้าไปในกระเพาะอาหารแล้วก็ลำใส้เล็ก แล้วก็ลำใส้ใหญ่ รวมทั้งอวัยวะต่างๆที่อยู่ข้างในด้วย ในขณะที่น้ำเปล่ามันเข้าไปอยู่ในปลายลำใส้ใหญ่ทางรูทวารเท่านั้น) เมื่อเรียบร้อยแล้วก็เข้าเครื่องตรวจครับ เราก็นอนราบลงกับที่นอนแล้วเครื่องก็จะเลื่อนเข้าไปในอุโมงค์ให้ตำแหน่งท้องเราไปอยู่ตรงอุปกรณ์ที่ต้องการครับ เจ้าหน้าที่จะสั่งการว่าหายใจเข้าลึกๆ-กลั้นใจไว้ แล้วเตียงก็จะเลื่อนออกมา-หายใจได้ค่ะ ทำอย่างนี้อยู่ประมาณสี่ห้าครั้งก็เรียบร้อยสำหรับขั้นแรกครับ รู้สึกว่าเร็วมาก
แล้วเจ้าหน้าที่ก็เข้ามาฉีดสารอะไรสักอย่างเข้าทางเส้นเลือดที่เปิดไว้ รู้สึกอุ่นๆจากแขนเข้ามาที่ลำคอแล้วก็หน้าอกแล้วก็ช่องท้องด้านที่ใกล้กับแขนที่ฉีดครับ ก็อุ่นๆดี ไม่แพ้ไม่มีอาการคันอะไรเลยครับ จากนั้นก็ให้รอประมาณห้านาทีเพื่อให้สารที่ฉีดนั้นเข้าไปถึงกะเพาะปัสสาวะ ผมนอนนับลมหายใจแบบหายใจเร็วๆกว่าปกตินิดหน่อยได้ 55 ครั้งครับ เจ้าหน้าที่ก็เลื่อนเข้าไปตรวจในอุโมงค์ต่อ ซึ่งขั้นนี้นั้นเร็วมากก็เสร็จ ลุกออกไปเข้าห้องน้ำได้ เพราะน้ำที่ฉีดเข้าทางก้นนั้นมันทำให้รู้สึกมวนๆในท้องเหมือนเวลาเราปวดอุจจาระนั่นแหละครับ อีกอย่างน้ำที่ดื่มเข้าไปตั้งเยอะก่อนหน้าก็ทำให้รู้สึกปวดฉี่เหมือนกัน ก็เลยไปเข้าห้องน้ำ แล้วมานั่งรอเพื่อสังเกตุอาการต่ออีกพักเล็กๆครับ ก็เป็นอันเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ก็มาถอดสายที่แขน เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วตามคุณลุงคนหล่อไปจ่ายสตางค์ก็กลับบ้านได้ รวมแล้วใช้เวลาประมาณ 40นาทีครับ รวดเร็วครับ ผมประทับใจเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลศิริราชทุกท่าน ตั้งแต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย แม่บ้าน พยาบาล ไปจนถึงแพทย์ทุกท่านเลยครับ ทุกคนทำงานเพื่อบริการคนไข้ให้ดีที่สุด รู้สึกดีและอบอุ่นมากครับถึงแม้บางครั้งเจ้าหน้าที่อาจจะดุบ้างเวลาบอกคนไข้ไห้ทำตัวให้เป็นระเบียบหรือให้ไปยืนรอตรงนั้นตรงนี้เพื่อให้การให้บริการและการใช้บริการเป็นไปอย่างเรียบร้อย รวดเร็วต่อทุกคนที่สุด แต่บอกด้วยเสียงอันดังก็ตาม แต่ก็ลงท้ายด้วยค่ะทุกครั้ง... ฮ่าๆ เห็นมั้ยครับ ไม่เห็นโหดเลย...
ค่าใช้จ่ายรวม 14,000 บาทครับ พรุ่งนี้จะไปพบแพทย์เพื่อฟังผล แล้วจะมาเล่าต่อนะครับ โชคดีครับทุกคน สวัสดีครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)