สวัสดีครับ
วันนี้มีข่าวดีที่สุดข่าวหนึ่งในชีวิตเมื่อไปพบหมอเพื่อตรวจน้ำตาลในเลือดตามนัดหลังจากที่ตรวจไปล่าสุดเมื่อ 4 เดือนที่แล้ว คุณหมอบอกว่า "ดีขึ้นทุกอย่างเลย" .. เย้ๆ ผมแสดงอาการดีใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ไม่ถึงกับกระโดดหรอกครับ ก็ดีใจแบบเล็กๆและไม่ให้เสียมารยาทต่อหน้าคุณหมอแค่นั้นแหละครับ นี่นับเป็นครั้งที่สองถ้าจำไม่ผิดว่าน้ำตาลลงเมื่อเทียบกับการตรวจก่อนหน้า ที่ผ่านมาผมเครียดมาตลอดเมื่อต้องไปพบหมอตามนัด คือนอกจากจะต้องรอนานแล้วยังต้องมาลุ้นกับผลเลือดอีก แล้วที่ผ่านมามันก็มีแต่คงที่กับสูงขึ้นตลอด พอตรวจเสร็จออกจากห้องหมอก็จะมีความตั้งใจขึ้นมาทีหนึ่งครับ ว่าจะเอาใหม่ ต่อไปจะตั้งใจให้มากขึ้นละ คราวหน้ามาตรวจ น้ำตาลต้องลง ต้องเป็นเท่านั้นเท่านี้ ก็ตั้งใจได้ไม่นานหรอกครับ พอผ่านไปสักระยะก็กลับมาเป็นอีกเหมือนเดิม คือก็ยังกินเหมือนเดิม ออกกำลังกายเท่าเดิม นอนเท่าเดิม ใช้ชีวิตแบบเดิม... อย่างนี้มันก็คงมีแต่แย่ลงสิครับ ก็ตัวเราเองก็คงแก่ลงไปทุกวันด้วย ร่างกายมันคงไม่แข็งแรงเหมือนตอนที่ยังเป็นละอ่อนอยู่แน่นอน ทีนี้การกำจัดน้ำตาลมันก็คงจะไม่ค่อยดีเหมือนตอนอายุยังน้อยหรอกมั้งครับ อันนี้ผมคิดเอาเองนะ ไม่รู้เหมือนกันว่าพออายุมากแล้ว ร่างกายมันจะมีโอกาสจัดการกับสิ่งที่ร่างกายไม่ต้องการได้ดีขึ้นในบางเรื่องได้หรือเปล่า แต่คิดว่าโดยทั่วไปก็คงจะไม่..
ผมไปหาหมอพร้อมกับได้ยาเพิ่มมาตลอด จนกระทั่งล่าสุดผมทานยามากขึ้นจนกระทั่งมีอาการน้ำตาลต่ำตอนกลางคืนช่วงประมาณตีสองถึงตีสามอยู่สองสามครั้ง ซึ่งมันเป็นตอนที่เรากำลังหลับสนิทเลยครับ โชคดีที่ยังตื่นมาหาอะไรหวานๆทานได้ทันเวลา ผมกลัวว่าถ้าวันหนึ่งผมนอนจนไม่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมามันจะเป็นยังไง กลัวจะหลับยาวแบบไม่ตื่นนะสิครับ หรืออาจจะตื่นมาแล้วเจอคนมีเขาอะไรประมาณนี้.. หลังจากนั้นผมตัดสินใจเลยว่า เอาละ จะไม่กินยามากเท่าเดิมอีกแล้ว ผมลองเปลี่ยนการกินยาไปมาสองสามแบบ จนสุดท้ายผมคิดว่าจะกินแค่ยา Glipezide ก่อนอาหารเช้า และยา Miformin หลังอาหารเช้า-กลางวัน-เย็น เท่านั้น ผมทดลองทำอย่างนี้มาตลอด 4 เดือนก่อนไปพบหมอและได้ผลตามที่รายงานไปนั่นแหละครับ แต่เดี๋ยวก่อนครับ นอกจากการกินยาแล้ว ในช่วงที่ผ่านมามันมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญมากอันหนึ่งร่วมด้วย นั่นก็คือผมได้หยุดงานในออฟฟิศที่กรุงเทพฯ แบบระยะยาวไป 3 เดือน เพื่อพักผ่อนและดูและสุขภาพด้วยครับ ผมมีเวลาอยู่กับต้นไม้มากขึ้น มีเวลาอยู่กับธรรมชาติมากขึ้น เรื่องอาหารการกินก็พอจะควบคุมได้ดีขึ้นอีกนิดหน่อย คือเลือกกินได้บ้าง ไม่จำเป็นต้องไปซื้อกินทุกมื้อเหมือนเดิม ทำให้ลดการทานอาหารพวกไขมัน และแป้งลงไปได้เหมือนกัน ผมว่านี่น่าจะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้นนะครับ
วันนี้ตอนเข้าห้องไปพบคุณหมอผมก็ถามท่านว่าสบายดีไหม คุณหมอก็บอกก็ตามสภาพ สบายดี ชีวิตมันก็อย่างนี้แหละ อย่าไปอะไรมากเลยคุณ... อืม ดูเหมือนจะเป็นการตอบแบบคุยกันธรรมดา แต่พอมาคิดอีกทีผมว่านี่เป็นเรื่องของคนที่เข้าใจในชีวิต และเข้าถึงธรรมะในระดับหนึ่งเลยทีเดียวนะครับ ใช่ครับ ผมคิดว่าท่านพูดถูกเลยทีเดียว ผมค่อนข้างมั่นใจว่าการใช้ชีวิตแบบปล่อยวางและพอใจในความเป็นไปของมันจะทำให้มีความสุขที่แท้จริงได้ ที่ผ่านมาผมไม่ได้เข้มงวดกับการกินอาหารและเรื่องอื่นๆ เช่น การนอน หรือการทำงานเท่าใดนัก ผมค่อนข้างปล่อยสบายๆ แต่ก็ไม่หลวมเกินไปนะครับ ทานหวานได้บ้างถ้าในช่วงนั้นไม่ค่อยได้ทานอะไรนัก หรืออาจจะมีหมูกรอบที่มันๆบ้าง แต่ก็ไม่มาก ที่สำคัญคือผมปล่อยวางได้เยอะขึ้น ผมว่าเรื่องนี้สำคัญ หลายครั้งผมพิสูจน์และเห็นกับตัวเองว่า อารมณ์มีส่วนสำคัญอย่างมากกับเรื่องของระดับน้ำตาลในเลือด อย่าเครียดครับ ผมว่าความเครียดไม่มีประโยชน์อะไรเลยครับ เรื่องอื่นๆที่สำคัญต่อร่างกายก็อย่างเช่น อาหาร อากาศ การออกกำลังกายเป็นต้น ยังไงก็ลองดูนะครับ เรื่องนี้ต้องใช้ทั้งทางกายและทางใจ ต้องลองหัดเชื่อในสิ่งใหม่ๆดูบ้าง เชื่อแบบมีเหตุผลนะครับ แล้วลองดูนะครับ ผมว่าชีวิตมันก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีๆได้เหมือนกัน สวัสดีครับ