วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2556

พังผืดที่จอประสาทตา

Picture of penitent snow, or nieve penitente, Chile
                             Photograph by Art Wolfe, Getty Images (จาก Nationalgeographic.com)

สวัสดีครับบบ

กลับมาอีกครั้ง วันนี้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจเนื้องอกในตาตามนัดที่ศิริราชมาครับ ก็ตามธรรมเนียมคือเอาผลมารายงานให้ฟังกัน จะได้เป็นข้อมูลสำหรับท่านที่สนใจนะครับ เผื่อมีใครจะไปบ้างจะได้เตรียมตัวกันได้พร้อมนะครับ วันนี้ผมรีบตื่นแต่เช้าเพราะรู้ว่าถ้าสายจากที่บ้านก็แปลว่าได้ตรวจบ่ายแน่ๆ จากประสบการณ์มันบังคับครับ ว่าต้องตื่นแต่เช้า ห้ามขี้เกียจเด็ดขาด ว่าแล้วก็ตื่นตีห้าตรงเป๊ะ แล้วก็ได้ผลครับ เพราะผมได้คิวหยอดยาขยายม่านตาเป็นคนแรกเลย ได้หยอดตาประมาณเจ็ดโมงห้าสิบครับ หลังจากที่ยื่นบัตรนัดไปตอนหกโมงครึ่ง แล้วลงไปทานข้าวเช้าก่อน...

นั่งหลับตารอให้ม่านตาขยายไปได้สักยี่สิบนาทีเจ้าหน้าที่ก็มาเอาไฟฉายส่องดูตาแล้วก็หยอดยาเพิ่มอีกครั้ง คราวนี้นั่งหลับตาต่อไปอีกไม่นาน (แต่ก็หลับเลยแหละครับ) เค้าก็มาเรียกดูตาอีกทีว่าขยายได้ที่หรือยัง พอเห็นว่าม่านตาขยายได้ที่แล้วก็บอกให้ไปถ่ายรูปจอตาที่ห้องถ่ายรูป ซึ่งก็ได้คิวแรกอีกเหมือนกัน (แน่นอนครับ เพราะขยายม่านตาคนแรก) ถ่ายรูปใช้เวลาไม่นานนัก น่าจะแค่สิบนาทีมังครับ แป๊บเดียวแต่ก็ไม่ค่อยน่าสนุกสักเท่าไร เพราะว่าต้องทำตาโตๆสู้กับแสงแฟลตจากกล้องถ่ายรูปนี่ครับ แต่ยังไงก็ตามผมผ่านการถ่ายรูปมาหลายครั้งแล้ว ก็เลยชินๆ กับการที่ต้องลืมตาสู้แสง แล้วก็เหลือบตามองไปในทิศทางที่บางครั้งก็ต้องฝืนกันมากๆ เช่นมองไปข้างบนเพดานให้สุดๆ (อีกๆ) อะไรอย่างนี้เป็นต้นครับ จบแล้วก็สนุกดีครับ แล้วก็ไปต่อที่หน้าห้องหมอ เอาแฟ้มคนไข้ไปใส่ตะกร้าไว้ แล้วเจ้าหน้าที่ก็จะมาเรียกชื่อเราให้ไปนั่งรอหน้าห้องคุณหมออีกทีครับ ซึ่งหน้าห้องตรวจนี่แหละครับ ที่คนไข้อาจจะไม่มีที่ให้นั่งกันเพียงพอ ต้องยืนรอครับ ยกเว้นคนที่กำลังจะเป็นคิวต่อไปก็จะได้นั่ง แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่นานมากครับ พอทนได้ แต่ผมว่าก่อนไปก็ไปฝึกกำลังขากันมาหน่อยก็ดีเหมือนกันนะครับ จะได้ยืนกันได้นานๆ ไม่ต้องบ่นปวดเมื่อยครับ ...

ผลตรวจออกมาคุณหมอบอกว่าเห็นคล้ายๆพังผืดที่จอประสาทตาซ้ายครับ! คุณหมอชี้ให้ดูที่หน้าจอคอมพ์ด้วย เจ้าพังผืดที่ว่านี้ก็มีลักษณะคล้ายๆร่มเล็กๆกางออกอยู่ตรงด้านล่างๆใกล้ๆส่วนกลางของตาครับ แต่มันคงอยู่ติดกับผนังด้านหลัง อันนี้ผมเดาครับ เพราะคิดว่าจอประสาทตามันคงอยู่ทางด้านหลังของลูกตากลมๆน่ะครับ ดูแล้วก็ไม่น่ากลัวอะไร และมันก็สีจางๆด้วย คุณหมอก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เช่นว่ามันมีอันตรายอะไรบ้าง อะไรอย่างนี้เป็นต้นครับ ผลอีกอย่างคือคุณหมอบอกว่าไม่มีเบาหวานขึ้นตาครับ ผมก็เลยเฮ(ในใจ)ได้อีก ฮ่าๆ ข่าวดีทั้งนั้นนี่ครับ

คุณหมอบอกว่าคราวหน้านัดยาวๆเลยก็แล้วกัน คราวหน้าก็อีกแปดเดือนครับ ค่อยไปลุยกันใหม่

ค่าใช้จ่ายวันนี้สองร้อยห้าสิบบาทครับ ค่าตรวจห้าสิบ ค่าถ่ายรูปและอื่นๆอีกสองร้อยครับ ไปรับใบนัดแล้วก็ชำระเงิน เรียบร้อยครับสำหรับวันนี้ ได้กลับบ้านตอน 11 โมงเช้าพอดี

พบกันใหม่ครับ สวัสดีครับ

วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2556

เนื้องอกในสมองอาจยุบเองได้ด้วย

สวัสดีครับ

ช่วงนี้ไม่ค่อยมีรูปมาแบ่งปันกันคงไม่เป็นไรนะครับ ที่จริงก็ยังเดินทางไปโน่นมานี่อยู่เหมือนเดิมแต่ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปก็เลยไม่มีมาลง อีกอย่างถ้าไม่จำเป็นผมไม่ค่อยอยากเอารูปของคนอื่นมาลงครับ ก็เลยขอเชิญอ่านอย่างเดียวไปก่อนก็แล้วกันนะครับช่วงนี้

ไม่แน่ใจว่าผมเคยเขียนไว้หรือเปล่าว่าพออายุมากขึ้นการเกิดเนื้องอกในสมองของคนที่เป็นโรค VHL นี้มักจะลดลง อันนี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไปสำหรับทุกคนหรอกนะครับ แต่ส่วนใหญ่แล้วอาจจะเป็นอย่างนี้ เค้าก็เลยเขียนไว้อย่างนี้ ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับผมไม่น้อย แฮ่ๆ ทำไมเหรอครับ...ก็เพราะว่าอายุมากขึ้นยังไงล่ะครับ ตอนนี้ก็เลยหวังอย่างจริงจังว่าเจ้าพวกเนื้องอกกับซีสต์ต่างๆ มันน่าจะเพลาๆมือลงไปได้แล้ว อย่าขยันทำงานกันนักเลย ยิ่งช่วงนี้มีข่าวเรื่องที่ผู้ใหญ่ทางการเมืองท่านหนึ่งได้เสียชีวิตไปเนื่องจากภาวะไตวายเฉียบพลันแล้วด้วย นี่ก็ทำให้ผมต้องกลับมามองตัวเองอยู่เหมือนกันครับ ผมไม่ทราบจริงๆว่าในสภาพที่ร่างกายเป็นเบาหวานและต้องทานยาจำนวนมากอยู่เป็นประจำนั้น จะมีผลกับไตอย่างไร? อันนี้ที่จริงแล้วก็ทำให้กังวลอยู่เหมือนกัน เคยได้ยินมีคนบอกว่าเบาหวานมีผลต่อไตโดยตรงเลยนะครับ ที่จะทำให้ไตเสื่อมได้ ยังไงก็ระวังกันบ้างก็แล้วกันครับ สำหรับคนที่มีน้ำตาลในเลือดสูง

สำหรับเรื่องเนื้องอกในสมองที่ผมบอกว่าอาจจะยุบเองได้นั้น จริงๆแล้วก็ได้ข้อมูลมาจากคุณหมอด้วยครับ คือมีการพบว่าคนไข้บางคนนั้นเนื้องอกในสมองยุบหายไปเองก็มี ล่าสุดเพื่อนในเฟสบุ้ค (ฝรั่ง) ก็บอกว่าสามีเค้าตรวจพบว่าเนื้องอกในสมองมีขนาดลดลงด้วย ... ก็เป็นข่าวดีมากๆครับ ที่มีเรื่องอย่างนี้ด้วย มันทำให้เรามีความหวังว่าสักวันหนึ่งเรื่องอย่างนี้จะเกิดขึ้นกับตัวเราเองบ้าง แต่ที่สำคัญคือเราก็ไม่รู้ว่าอะไรทำให้มันยุบนี่สิครับ ผมเคยคิดเล่นๆว่าบางทีการสวดมนต์ทำสมาธิอาจจะมีผลบ้างก็ได้ แต่ก็ไม่รู้จะพิสูจน์อย่างไร และการทำสมาธิก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับตัวผมเองด้วย ทำยากครับ จิตใจมักจะล่องลอยไปที่ไหนๆ อยู่เรื่อยเลย เคยอ่านหนังสือของท่านพุทธทาสท่านบอกว่าจิตตอนแรกๆมันก็เหมือนลิงนี่แหละ มันไม่ยอมอยู่นิ่งๆหรอก เราต้องฝึก ต้องฝึกจนเราควบคุมมันได้ก่อนแล้วมันจึงจะใช้งานได้ต่อไป ก็คงต้องพยายามต่อไปเรื่อยๆครับ ตราบใดที่ยังมีโอกาสทำอยู่

พบกันใหม่ครับ ขอให้มีความสงบ สะอาด และเบิกบานใจกันทุกคนนะครับ สวัสดีครับ

วันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2556

Von Hippel-Lindau (VHL) คืออะไร...อีกครั้งครับ

สวัสดีอีกครั้งครับสำหรับวันนี้

มาเขียนต่อจากเรื่องก่อนหน้านี้อีกหน่อยนะครับ แต่คราวนี้จะเปลี่ยนเรื่องนิดหน่อยครับ เอาเรื่องเก่าๆมาเขียนใหม่ แต่ก็เป็นเรื่องที่สำคัญและมีความกระชับมากขึ้นครับ พอดีได้เข้าไปเจอบทความในอินเตอร์เน็ตซึ่งกล่าวถึงโรคนี้ได้กระชับดี ก็เลยอยากจะเอามาเขียนไว้ให้อ่านกันอีกสักครั้ง ก็สำหรับท่านที่เพิ่งเข้ามาเจอเว็บบล็อกด้วยครับ ซึ่งผมเดาว่าคงจะไม่ได้อ่านบทความตอนแรกๆที่เขียนเกี่ยวกับโรคนี้ไว้บ้างแล้ว วันนี้ก็เป็นโอกาสที่ดีครับที่จะได้เอามาเขียนไว้อีกครั้ง เชิญครับผม

โรค VHL นี้เป็นความผิดปกติทางกายที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมโดยผู้ป่วยจะเป็นเนื้องอก (tumors) และมีถุงน้ำ (cysts) เกิดขึ้นในส่วนต่างๆของร่างกาย ซึ่งมีทั้งแบบที่เป็นมะเร็งและไม่ใช่มะเร็ง โดยมักจะเกิดขึ้นในช่วงวัยผู้ใหญ่ตอนต้นเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดทุกช่วงอายุเช่นกัน

เนื้องอกที่เรียกว่า hemangioblastoma (ฮี แมง จิ โอ บลาส โต มา) เป็นลักษณะเฉพาะของโรค VHL ซึ่งเกิดจากการสร้างหลอดเลือดขึ้นมาใหม่ และมักจะไม่ใช่มะเร็ง นะครับ ซึ่งถ้าเกิดขึ้นที่สมอง หรือไขสันหลังจะทำให้ปวดหัว อาเจียน อ่อนเพลีย และกล้ามเนื้ออ่อนแรงได้ และยังสามารถเกิดขึ้นในส่วนที่ไวต่อแสงในจอประสาทตา ซึ่งเรียกว่า retinal angioma ครับ (เรียกง่ายๆว่าเนื้องอกจอประสาทตาก็ได้ครับ) ซึ่งจะทำให้มีผลต่อการมองเห็นได้ ถ้ามันโตมากๆก็อาจจะทำให้มองไม่เห็นได้นะครับ ดังนั้นควรได้รับการตรวจรักษาตั้งแต่เนิ่นๆนะครับ

โรคนี้ยังทำให้เกิดถุงน้ำในไต ตับอ่อน ส่วนของอวัยวะสืบพันธุ์เพศชายได้อีกด้วย และโรคนี้มักจะมีส่วนทำให้เกิดมะเร็งไต หรือเนื้องอกที่ไตแบบที่ไม่ใช่มะเร็ง ที่เรียกว่า Pheochromocytoma หรือ ฟี-โอ-โคร-โม-ไซ-โต-มา ซึ่งจะมีผลต่อต่อมหมวกไต โดยอาจทำให้เกิดความดันโลหิตที่สูงจนเป็นอันตรายได้ (แต่ในหลายๆกรณีก็อาจจะไม่มีอาการอะไรเลยก็ได้เช่นกัน)

สิบเปอร์เซนต์ของคนที่เป็นโรคนี้จะมีอาการเนื้องอกในหูชั้นใน ซึ่งไม่ใช่มะเร็ง และเรียกว่า endolymphatic sac tumors ซึ่งอาจจะทำให้เกิดปัญหาในการได้ยิน และการทรงตัวได้ด้วย

โรค VHL แบ่งออกเป็นสองชนิดตามลักษณะความเสี่ยงต่อการเกิด Pheochromocytomas ดังนี้ครับ
  1. ชนิดที่1 โอกาสในการเกิดเนื้องอกชนิดนี้ (Pheochromocytoma) น้อย
  2. ชนิดที่2 โอกาสในการเกิดเนื้องอกชนิดนี้ (Pheochromocytoma) มาก
โดยชนิดที่2 ยังแบ่งออกเป็น 2A 2B และ 2C โดยขึ้นอยู่กับโอกาสในการเกิดเนื้องอกที่ไต (renal cell carcioma and hemangioblastoma) ด้วย สำหรับชนิดย่อย 2A 2B 2C นี้ผมไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันว่าเค้าแบ่งอย่างไรนะครับ เอาเป็นว่าแบ่งย่อยๆได้ประมาณนี้แหละครับ

ตามสถิติมีคนที่เป็นโรค VHL ในโลกเฉลี่ยแล้ว หนึ่งคนใน 32,000 คนครับ หรือ 0.003% นั่นเอง

ทีนี้มาถึงกระบวนการเกิดในระดับยีน (gene) กันนะครับ มาดูว่ามีรายละเอียดอย่างไรกันบ้าง เอาแบบง่ายๆนะครับ คงไม่ลงลึกเท่าไร อีกอย่างผมก็ห่างๆกับเรื่องทางวิชาการด้านนี้มานานแล้วด้วยครับ ความรู้ล่าสุดก็คือตอนเรียนวิชาชีววิทยาตอนมัธยมปลายโน่นแหละครับ นานนนนมากแล้วจริงๆด้วย... เค้าบอกว่าโรคมันเกิดจากการผ่าเหล่า (mutation) ของยีน VHL ครับ ทำไมล่ะครับ ก็เพราะว่าเจ้ายีน VHL นี้ที่จริงแล้วมีหน้าที่ในการควบคุมการเกิดของเนื้องอกโดยการควบคุมไม่ให้เซลล์มีการเจริญเติบโตโดยการแบ่งตัวที่เร็วมากเกินไปจนผิดปกติครับ ซึ่งหากมีการเกิดการผ่าเหล่าของยีน VHL ขึ้นมันจะทำให้ไม่มีการสร้างโปรตีน VHL หรือมีการสร้างแต่ผิดปกติ ซึ่งนั่นแหละครับที่จะเป็นสาเหตุของโรคนี้ เข้าใจไม่ยากใช่ไหมครับ แฮ่ๆ..

พอก่อนไหมครับ เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกันครับ ค่อยมาต่อ วันนี้ก็ขอให้มีความสุขสนุกสนานกับทุกงานทุกกิจกรรมที่ทำกันนะครับ สวัสดีครับ

สู้กับเบาหวาน ยกต่อไป


สวัสดีเช้าวันอาทิตย์ครับ

เมื่อวานไปหาหมอเบาหวานที่ศิริราชตามนัดมาครับ มีทั้งตรวจเลือดและตรวจปัสสาวะเพื่อดูการทำงานของไตด้วย คือดูว่ามีโปรตีนรั่วหรือเปล่า ผลคือไม่มีครับ คุณหมอบอกว่าไตทำงานปกติดีมาก! เยี่ยมไปเลยครับ... ผมก็เลยคลายความกังวลลงไปเยอะเลย เพราะจากเมื่อคราวที่แล้วที่ไปตรวจไตแล้วคุณหมอสั่งให้ทำ MRI ภายในสามเดือน ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมกังวลอยู่ไม่น้อย อีกอย่างครับที่บอกไปว่ามีติ่งเนื้อในถุงน้ำดีจากการตรวจอัลตร้าซาวด์นั้น เมื่อวานคุณหมอบอกว่าไม่มีปัญหา ก็เลยโล่งไปอีกเหมือนกัน

แต่ปัญหาที่ยังแก้ไม่ตกก็เรื่องน้ำตาลสูงนี่แหละครับ เมื่อวานผลออกมาว่าน้ำตาลสะสม (HbA1c) ยังอยู่ที่ 8.3 ซึ่งต่ำกว่าเมื่อสี่เดือนที่แล้วอยู่นิดเดียวเอง คุณหมอบอกว่ามันน่าจะเป็นเจ็ดกว่าอะไรประมาณนั้นครับ คุณหมอก็เลยปรับยาให้โดยการเพิ่มยาทานพร้อมอาหารเช้า-เย็นมาอีกหนึ่งตัว คือยา Basen FDT ครับ ตัวยาคือ Voglibose 0.2mg ครับ พร้อมกับต้องทานตัวไมฟอร์มินเพิ่มตอนกลางวันอีกหนึ่งเม็ด หวังว่าคราวนี้คงจัดการได้สักทีครับ

นอกจากเพิ่มยาแล้ว ส่วนตัวผมเองก็คงจะระมัดระวังเรื่องอาหารให้มากขึ้นอีก ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ก็ระวังแล้ว แต่หลายๆ ครั้งก็ยังตามใจตัวเองอยู่บ้าง เช่น บางครั้งก็ยังทานกาแฟใส่น้ำตาลอยู่ โดยเฉพาะตอนที่ขับรถเดินทางไกลผมมักจะมีนิสัยที่ไม่ดีอย่างหนึ่งคือชอบทานกาแฟเย็นครับ ถึงแม้จะบอกคนขายว่าเอาหวานน้อยแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่ดีอยู่ดี ก็กาแฟสดมันหอมนี่ครับ อีกอย่างที่สำคัญมากก็คือบรรยากาศมันให้ ผมเป็นพวกแพ้บรรยากาศครับ ลองนึกดูสิครับ ได้ขับรถเดินทางไกลๆ มีแต่ธรรมชาติ ต้นไม้เขียวขจี ภูเขาที่ขนาบอยู่สองข้างทาง พร้อมกาแฟสดหอมๆ... โอย... นี่มันสวรรค์ชัดๆ ฮ่าๆ แล้วเป็นไงครับ สุดท้ายก็เลยต้องเพิ่มยาไงครับ ดังนั้นต่อไปนี้คงต้องเอาน้ำเปล่าเย็นๆมาแทนกาแฟดำๆ เครื่องดื่มสีดำดั่งนรกที่มาจากสวรรค์กันเสียทีนะครับ อีกอย่างหนึ่งที่ต้องมาคู่กันและจะขาดไม่ได้คือการออกกำลังกายครับ ต้องทำให้สม่ำเสมอเหมือนเดิม ซึ่งที่จริงตอนนี้ผมทำจนแทบจะเป็นนิสัยไปแล้ว ตอนค่ำๆต้องใส่รองเท้าไปเดิน-วิ่งครับ หยุดไม่ได้แล้ว อีกเรื่องก็คืออารมณ์ครับ ที่ต้องทำให้ดีอยู่เสมอ อย่าเครียดครับ อย่าเครียด (บอกตัวเอง...)

วันนี้ว่าจะเขียนเรื่อง VHL อีกสักนิด แต่เดี๋ยวก่อนครับ ขอเวลานิด แล้วกลับมาพบกันใหม่ครับ สวัสดีครับ

วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2556

หลักพุทธศาสนาขั้นมูลฐาน

สวัสดีครับ

วันนี้ผมอยากจะมาแบ่งปันเรื่องสั้นๆที่น่าจะเกี่ยวข้องกับพวกเราที่เป็นชาวพุทธกันอยู่ทุกวันนี้นะครับ คือผมมีหนังสือของท่านพุทธทาสภิกขุอยู่เล่มหนึ่งครับ ที่ชื่อว่าแก่นพุทธศาสน์ ซึ่งเป็นหนังสือที่ดีมากที่ได้รวบรวมคำสอนของท่านคราวที่ไปเทศนาให้กับคณะแพทย์และนักศึกษาแพทย์ โรงพยาบาลศิริราชเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2504 ผมยังอ่านไม่จบหรอกครับ แต่เท่าที่ได้อ่านผ่านๆไปหลายๆหน้าแล้วก็เห็นว่ามีเนื้อหาที่น่าสนใจมากๆที่เราชาวพุทธน่าจะได้ศึกษาไว้บ้างครับ สำหรับวันนี้เรื่องที่ผมอยากจะหยิบยกมาเขียนไว้ไห้ได้อ่านกันบ้างนิดหน่อยก็จะเป็นเรื่องของแก่นของศานาครับ ท่านบอกว่าหลักพุทธศาสนาขั้นมูลฐานนั้นมีจุดมุ่งเฉพาะไปยังความดับทุกข์ครับ... และยังบอกอีกว่าสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดับทุกข์นั้นพระพุทธเจ้าท่านทรงปฏิเสธไม่ยอมเกี่ยวข้องด้วย อย่างเช่นตายแล้วเกิดหรือไม่ ... และอื่นๆอีกหลายอย่าง...

สำหรับวันนี้ผมต้องการยกมาเท่านี้แหละครับ (ขออภัยที่สั้นจริงๆด้วย) เพราะว่าเวลามีน้อยสำหรับวันนี้ซึ่งตอนนี้ก็เกือบสามทุ่มแล้ว อีกอย่างเนื้อหาจริงๆมีอีกเยอะมากครับ ผมก็เลยเอามาเฉพาะส่วนนี้ส่วนเดียว ซึ่งถึงแม้จะนิดเดียวจริงๆ แต่ผมก็เห็นว่าเป็นนิดเดียวที่สำคัญมากๆ สำหรับที่เราจะศึกษาต่อยอดออกไปเพื่อให้เข้าใจศาสนาพุทธได้มากขึ้น และปฏิบัติจนเห็นผลเป็นรูปธรรมแก่ตัวเองได้ครับ

สำหรับตัวผมเองก็พยายามที่จะทำสิ่งต่างๆที่เป็นการดับทุกข์ โดยเฉพาะสิ่งที่เกิดจากสัมผัสที่กาย เช่น ตา หู จมูก... และที่เกิดจากใจ เช่นความคิดอะไรต่างๆที่ผุดขึ้นมา ซึ่งบางครั้งเหตุการณ์ก็เกิดไปนานแล้วไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปี แต่ก็ยังเข้ามาทำร้ายจิตใจเราได้อยู่เรื่อยๆ อะไรพวกนี้เป็นต้นครับ ถ้าเรามีสติอยู่เสมอชีวิตก็น่าจะมีความสุขได้เรื่อยๆนะครับ คือสุขใจนั่นเองครับ ใจที่เบา สบาย และสะอาดครับ เอาล่ะครับ สงสัยต้องตัดสินใจที่จะมีความสุขได้แล้ว ณ บัดนี้... ไม่ต้องรอแล้วครับ

สวัสดีครับ

วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2556

หนทางไปสู่การค้นพบวิธีการรักษา ... มันเยื่ยมมากครับ...

สวัสดีตอนค่ำวันพุธแรกของปี 56 ครับ
เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม ปีที่แล้วผมได้รับอีเมล์จาก VHLFA ซึ่งก็เป็นเมล์ที่ส่งมาตามปกติเป็นประจำเพื่อส่งข่าวคราวความเคลื่อนไหวของกลุ่ม และความก้าวหน้าต่างๆของการศึกษาวิจัยเพื่อหาวิธีการหยุดยั้งโรคนี้ให้ได้ครับ แต่ฉบับนี้ผมค่อนข้างจะรู้สึกดีและตื่นเต้นเป็นพิเศษเพราะเค้าเขียนถึงความก้าวหน้าล่าสุดของวิธีการที่จะหยุดเจ้าโรคนี้ให้ได้ไงครับ ไม่โม้ต่อละครับ เชิญอ่านรายละเอียดกันได้เลยครับ

ยิ่งเราเรียนรู้กระบวนการเกิดและเติบโตของโรคมากเท่าไร เราก็จะมีโอกาสในการค้นพบวิธีการรักษามากขึ้นเท่านั้น ยีน VHL ควบคุมการเจริญเติบโตของหลอดเลือด (โดยเฉพาะหลอดเลือดฝอย...ผู้แปล) โดยกระบวนการที่เรียกว่า Angiogenesis ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับโปรตีน VHL (โปรตีนที่เป็นผลิตผลจากยีน VHL นั่นเอง) และโปรตีนที่เรียกว่า HIF (หรือ hypoxia - inducible factor)

ภายใต้สภาวะปกติ เส้นเลือดฝอยจะมีการเจริญเติบโตในที่ที่สมควรและในช่วงเวลาที่เหมาะสมและเมื่อจำเป็นเท่านั้น แต่ในกรณีที่มีความผิดปกติ (mutation or broken) ของยีน VHL แล้ว จะมีการเจริญเติบโตของเส้นเลือดฝอยที่มากเกินไป ซึ่งนี่เป็นลักษณะทั่วไปของมะเร็ง (มะเร็งทรวงอก ลำใส้ ตับอ่อน ไต ต่อมหมวกไต ปอด ตับ และโรค VHL ด้วย)

ปัจจุบันนี้มีการทดลองเพื่อหาวิธีการที่จะหยุดยั้งกระบวนการ Angiogenesis (หรือกระบวนการเติบโตของหลอดเลือด) ของโรคมะเร็งหลายๆชนิด ซึ่งหลายๆวิธีก็ได้รับการรับรองผลและอยู่ในช่วงของการใช้งานจริง เช่น ในการรักษามะเร็งไต ลำใส้ ทรวงอก และปอด ซึ่งยาเหล่านี้ก็กำลังถูกทดสอบในผู้ป่วยโรค VHL ด้วย ด้วยความหวังที่ว่าจะค้นพบตัวยับยั้งกระบวนการ Angiogenesis ที่มีผลข้างเคียงน้อยที่สุด

ซึ่งนอกจากการทดสอบทางการแพทย์เหล่านี้แล้ว ในขณะเดียวกันการวิจัยในห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ก็กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้นเช่นกัน จุดประสงค์ก็เพื่อจะหาสิ่งใหม่ๆที่จะช่วยหยุดยั้งกระบวนการ Angiogenesis นั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่จะหยุดยั้งโปรตีน HIF โดยตรง

ดังนั้นจะเห็นว่าเงินทุนเป็นส่วนหนึ่งที่จำเป็นและสำคัญมากในขั้นตอนการค้นหาวิธีการรักษานี้ ทุกบาทมีค่าครับ...

ผมแปลบทความนี้จบพร้อมกับมีกำลังใจมากขึ้นและเริ่มเห็นแสงสว่างรำไรๆที่ปลายอุโมงค์เหมือนในรูปที่เอามาลงวันนี้ครับ ในความมีดมิดย่อมมีแสงสว่างที่ใดที่หนึ่งเสมอ... อย่าหยุดยั้งครับ ถ้ายังมีลมหายใจอยู่...

สวัสดีครับ