วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2554

ไม่ได้เจอกันนาน วันนี้ขอคุยเบาๆไปก่อนครับ

สวัสดีครับทุกท่าน

ผมไม่ได้เขียนบล็อกนานเลยช่วงนี้ หายไปสองสามอาทิตย์ติดกันเลยนะครับ ช่วงนี้มีธุระติดพันเยอะครับ ทำให้ไม่มีเวลาค้นข้อมูลเลย มีทั้งงานเลี้ยงที่ทำงาน มีทั้งต้องเร่งงานให้เสร็จทันส่งตามกำหนดเส้นตาย และอะไรอีกหลากหลายครับ ก็เลยหายไปนาน หายไปนานๆ อย่างนี้ก็กลัวว่าผู้อ่านหลายๆ ท่านจะเบื่อเหมือนกันนะครับ หลายท่านอาจจะแวะเข้ามาดูแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรเพิ่มเติม ก็อย่าเพิ่งเบื่อเลยนะครับ เพราะจำนวนของคนอ่านนี่แหละครับที่ทำให้ผมมีกำลังใจที่จะค้นคว้าหาข้อมูลมาเขียนต่อไปได้เรื่อยๆ ไม่งั้นหมดแรงแน่เลยครับ ที่สำคัญคือมันทำให้ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมพยายามหามามันคงมีประโยชน์กับหลายๆท่านบ้างไม่มากก็น้อย

สำหรับช่วงนี้หลังจากที่พี่สาวและลูกสาวผ่านมรสุมลูกใหญ่มาได้พักหนึ่งจากการผ่าตัดสมอง ก็เริ่มจะมีอะไรให้ทำต่ออีกแล้วครับ ลูกสาวต้องไปตรวจสมองหลังการผ่าตัด 1 เดือนในวันพฤหัสที่ 6 ต.ค.ที่จะถึงนี้ พอดีช่วงนี้ปิดเทอมก็เลยไม่ลำบากมากนักที่จะไปโรงพยาบาล จะเหนื่อยหน่อยก็ตรงที่ต้องรอคิวพบแพทย์ที่เข้าใจว่าคนไข้น่าจะเยอะเหมือนกัน แต่คิดไปแล้วการรอเท่านี้ก็ไม่หนักหนาเกินทนหรอกครับ เพราะสิ่งที่ได้ตอบแทนก็คือการรักษา คือสุขภาพของเราโดยตรงเลยทีเดียว สุขภาพที่ดี ไม่เจ็บป่วยผมมั่นใจว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนใฝ่หาใช่ไหมครับ ลองนึกถึงแค่ตอนที่เราเป็นไข้ธรรมดา แค่นั้นก็แย่แล้วนะครับ จะกินอะไรก็ไม่อร่อย ทำอะไรก็ไม่สบายตัวไปหมด ฉะนั้นการไม่มีโรคจึงเป็นลาภอันประเสริฐอย่างที่ท่านว่าจริงๆ

ตัวผมเองตอนนี้ยังเจ็บแผลผ่าตัดที่หน้าท้องอยู่เลย แผลผ่าตัดต่อมหมวกไตและไตด้วยครับ ทั้งสองแผลยังเจ็บๆ ตึงๆข้างในอยู่ บางครั้งก็รู้สึกเจ็บจี๊ดๆขึ้นมาเฉยๆ ไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกัน ถ้านับเวลาตั้งแต่ผ่าตัด แผลแรกก็เก้าเดือนเข้าไปแล้ว ส่วนแผลที่สองก็ห้าเดือนแล้ว สงสัยต้องใช้เวลาเป็นปีแน่ๆ เลยนะครับ นอกนั้นก็ไม่มีอะไรผิดปกติ จะมีอีกอย่างก็เรื่องเบาหวานครับ น้ำตาลสะสมยังไม่ยอมลง ตอนนี้หมอให้กินยา glipeside ตอนเช้าเพิ่มเป็นสองเม็ดแล้ว ตัวผมเองก็ตั้งใจจะเอาให้ลงให้ได้ ก็ต้องควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และไม่เครียด ฟังดูแล้วไม่ง่ายเลยนะครับ แค่ตื่นนอนขึ้นมาผมก็หิวแล้ว ขับรถไปทำงานรถก็ติด ก็เครียดอีก ทำงานก็ต้องใช้สมอง ก็หิวบ่อย และก็ต้องกินบ่อย ไม่กินก็จะน้ำตาลต่ำเกินไปอีก โอย...สารพัดนะครับ แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินไป งั้นก็ลุยกันต่อไปครับ

อีกนิดก่อนจากกันวันนี้ น้องชายผมตอนนี้ก็เริ่มตรวจพบน้ำตาลในเลือดสูงแล้ว เป็นเบาหวานแล้วครับ น้ำตาลขึ้นสองร้อยกว่า อายุเพิ่งจะ 38 ปีเอง เป็นตามผมมาติดๆ ไม่รู้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไรเหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะกรรมพันธุ์ครับ เพราะพ่อเป็นครับ ไปทำ MRI แล้ว ไม่พบเนื้องอกหรือซีสต์ในตับไตแต่อย่างไดครับ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็คือเบาหวานแหละครับ เป็นแล้วก็ต้องสู้กันต่อไป

ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพแข็งแรง และอารมณ์ดีทุกคนนะครับ ยังไงอารมณ์ดีก็เป็นความสุขง่ายๆที่หาได้ทันทีนะครับ ก็เราทำเองนี่นา สวัสดีครับ...

วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554

VHL กับเนื้องอกในหู

http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=nonlimited

สวัสดีครับ วันนี้มาพูดกันถึงเรื่องเนื้องอกในหูชั้นในที่เกิดจากโรค VHL กันนะครับ เนื้องอกในหูชั้นในนี้จะเกิดขึ้นกับส่วนที่เรียกว่า Endolymphatic Sac ครับ และเราเรียกเนื้องอกนี้ว่า Endolymphatic Sac Tumor หรือ ELST ครับ ซึ่งเนื้องอกในหูชั้นในนี้พบในคนที่เป็นโรค VHL ประมาณ 15% ครับ ซึ่งก็ไม่น้อยเลยนะครับ ดังนั้นท่านที่เป็นโรคนี้อยู่แล้ว ควรจะเอาใจใส่กับเรื่องนี้ให้มาก

สำหรับการดูแลในเรื่องของเนื้องอกในหูชั้นในที่เกิดจากโรค VHL นี้ก็ทำได้สองวิธีโดยทั่วไปครับ อย่างแรกเลยก็คือการสังเกตุความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับการได้ยินของเรา และอีกวิธีก็คือไปตรวจด้วย CT scan หรือ MRI ครับ คือเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์นั่นเอง สำหรับเรื่องการได้ยินนั้นเราควรจะสังเกตุว่าการได้ยินเสียงของเรามีความผิดปกติ เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ ถ้าการได้ยินของเราลดลง ซึ่งอาจจะค่อยๆ ลดลงภายใน 3-6 เดือนหรืออาจจะมากกว่านั้น หรือทันทีทันใด ก็คงเป็นสิ่งที่จะบ่งบอกได้ว่าได้เวลาต้องไปหาหมอแล้ว สำคัญนะครับกับเรื่องนี้เพราะว่าโดยทั่วไปถ้าเราสูญเสียการได้ยินไปแล้ว โอกาสที่จะกลับมาเหมือนเดิมนั้นยากมาก ฟังดูแล้วน่ากลัวนะครับถ้าเราจะไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยไปตลอดชีวิต อดฟังเพลงเพราะๆ เลยนะครับ...

ถ้าตรวจพบแล้วทำอย่างไรต่อครับ? ก็คงต้องผ่าตัดครับ ซึ่งการผ่าตัดจะกระทำโดยทีมแพทย์ประสาทศัลยศาสตร์และแพทย์หู คอ จมูก ครับ ในกรณีที่ท่านสังเกตุว่าตัวเองเริ่มมีความผิดปกติของการได้ยิน ก็อาจจะไปปรึกษาแพทย์ด้านหู คอ จมูก ได้ก่อนเลย หรือถ้ามีแพทย์ที่รักษาโรค VHL ของท่านอยู่แล้ว ก็อาจจะไปปรึกษาคุณหมอก่อนก็ได้นะครับ

ถึงแม้ว่าโรคนี้จะสร้างความยุ่งยากในการใช้ชีวิตประจำวัน แต่เราก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ โดยตั้งสติและอย่าไปเครียดหรือท้อถอยอะไรนะครับ ชีวิตเมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องดำเนินต่อไป ขอให้สนุกกับวันนี้นะครับ ...สวัสดีครับ...

วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554

ในเมืองไทยมีคนเป็น VHL กันสักกี่คนกันแน่?

สวัสดีครับ พบกันอีกเช่นเคยตามแต่โอกาสจะอำนวยครับ ผมพยายามคิดว่าจะหาข้อมูลอะไรมาเขียนเพื่อให้เกิดประโยชน์กับผู้อ่านอยู่ตลอดเวลานะครับ หลายๆครั้งก็คิดไปถึงเรื่องการดูแลสุขภาพ บางครั้งก็นึกถึงเรื่องตลกๆ ว่าอาจจะมีคนสนใจเพื่อคลายเครียด หรือบางทีก็นึกว่าจะเขียนถึงเรื่องทางธรรมชาติๆ ที่ผมเองก็สนใจเป็นการส่วนตัวด้วย เอามาเล่าให้ฟังบ้างก็น่าจะดีนะครับ เพราะบางครั้งหลายๆเรื่องที่เกิดขึ้นรอบๆตัวเราก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย ยกตัวอย่างนะครับ เรื่องของปลาที่มีลักษณะคล้ายพยานาคที่เราอาจจะเห็นทางสื่อต่างๆอยู่บ่อยๆ เรื่องของฟอสซิลของสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่พบในชั้นหินอายุหลายสิบหรือหลายร้อยล้านปีขึ้นไป หรืออะไรอื่นๆที่น่าสนใจที่เกิดขึ้นรอบๆตัวเรา ที่ผมพอจะมีความรู้บ้างเหล่านี้แหละครับ เอาเป็นว่านอกจากโรค VHL โดยตรงแล้ว บางครั้งผมอาจจะเอาเรื่องอื่นๆ มาเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ

สำหรับวันนี้ผมหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของสถิติของจำนวนคนที่เป็นโรคนี้มาเล่าสู่กันฟังครับ หลายคนคงสงสัยว่าในประเทศไทยมีคนที่เป็นโรคนี้กี่คนกันแน่ แล้วเรามีโอกาสเป็นหรือไม่? น่าสนใจนะครับ หลายคนมีอาการปวดหัว ลิ้นแข็ง พูดจาไม่ชัดเจนในบางช่วง ก็เลยกังวลว่าเอ๊ะนี่เราเป็นอะไรกัน เป็นโรค VHL หรือเปล่า? การที่จะตรวจให้ทราบก็คงมีอยู่ไม่กี่ทางนะครับ คือคงต้องตรวจ DNA หรือไม่ก็ต้องทำ CT scan หรือ MRI ครับ ถึงจะรู้ได้

ส่วนใหญ่แล้วโรคนี้เกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมครับ คิดเป็น 80เปอร์เซนต์ของคนที่เป็นโรคนี้ทั้งหมด อีก 20เปอร์เซนต์เกิดจากการ "ผ่าเหล่า" หรือ Mutation ครับ เห็นแล้วน่าตกใจเหมือนกันนะครับ ที่คนปกติที่พ่อแม่ไม่ได้เป็นก็มีโอกาสที่จะเป็นโรคนี้ได้ด้วยเหมือนกัน จากสถิติอันนี้จะเห็นได้ว่า ในจำนวนคนที่เป็นโรคนี้หนึ่งร้อยคน มีคนที่เป็นเพราะมีพ่อหรือแม่เป็นมาก่อนอยู่แปดสิบคน ส่วนอีกยี่สิบคนเป็นเพราะว่าเกิดจากการผ่าเหล่าของยีน VHL เองครับ! ซึ่งการผ่าเหล่านี้ ด็อกเตอร์ Eamonn Maher แห่ง Bermingham, England ได้ศึกษาและแสดงออกมาเป็นตัวเลขว่า 1 ใน 4,400,000 ของเด็กที่เกิดมา มีโอกาสผ่าเหล่าและเป็นโรคนี้ครับ ถ้าคิดเป็นเปอร์เซนต์ก็ 0.00002 เปอร์เซนต์ครับ จะเห็นว่าน้อยมาก แต่ถ้าคิดจากจำนวนคนที่เกิดทั้งประเทศหรือทั่วโลกแล้วก็ไม่น้อยเลยนะครับ ใครอยากทราบว่าเป็นจำนวนเท่าไหร่ก็ลองหาสถิติการเกิดมาคูณดูครับ

จะเห็นว่าคนที่พ่อหรือแม่ไม่ได้เป็นโรคนี้ก็มีโอกาสเป็นโรคนี้ได้นะครับ

จากสถิติเค้ายังบอกอีกว่าในโลกนี้ มีคนเป็น 1 ใน 32,000 คนครับ โดยไม่แยกเผ่าพันธุ์หรือเพศนะครับ คิดเป็นเปอร์เซนต์ก็ 0.003125เปอร์เซนต์ครับ ที่จริงก็น้อยมาก ทีนี้ถ้าคิดถึงคนไทยว่าเป็นกันสักกี่คน ผมก็ประมาณเอาคร่าวๆว่าตอนนี้ถ้าประชากรไทยทั้งหมดคือ 65 ล้านคน ก็จะมีคนที่เป็นโรคนี้ประมาณ 2,031 คนครับ จะเห็นว่าไม่น้อยเลยทีเดียว อันนี้เป็นประมาณการจากสถิติเท่านั้นนะครับ ไม่ได้หมายความว่าคนที่เป็นจริงๆ จะมีจำนวนเท่านี้เป๊ะๆ เลย แต่คิดว่าน่าจะใกล้เคียงครับ ในความเป็นจริงแล้วเราไม่ค่อยจะได้ยินว่ามีคนเป็นโรคนี้เท่าไหร่ในบ้านเรา และผมก็ยังไม่เคยได้ยินชื่อของโรคนี้จากทางสื่อทั่วไปเลยนะครับ นั่นก็คงเป็นเพราะว่ามีคนที่รู้ตัวว่าเป็นโรคนี้น้อยมากๆ หรืออันที่จริงก็ต้องบอกว่ามีคนที่รู้จักโรคนี้แม้กระทั่งแพทย์เองในปัจจุบันนี้น้อยมากๆนั่นเองครับ แต่ผมมั่นใจว่ายิ่งนานวันโรคนี้ก็จะเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายมากยิ่งขึ้นครับ อย่างน้อยยกตัวอย่างของผมญาติพี่น้องและเพื่อนร่วมงานก็เริ่มจะได้ยินชื่อของโรคนี้ผ่านทางตัวผมและญาติที่เป็นกันมากขึ้นๆ ครับ

ทีนี้มาพูดถึงว่าแล้วเราจะเป็นกันตอนไหน ตอนอายุเท่าไหร่ล่ะ จากการศึกษาพบว่าสำหรับเด็กๆ แล้วจะมีอาการที่ตาหรือต่อมหมวกไตก่อนอายุ 10 ขวบประมาณ 10 เปอร์เซนต์ครับ

ยังมีข่าวดีครับ คือว่ามีคนอีกไม่น้อยที่พบว่ามียีน VHL แต่ไม่มีอาการป่วยใดๆเลยจนกระทั่งอายุ 80 ปี! อันนี้เป็นข้อมูลที่ชี้ให้เห็นว่ามันต้องมีอะไรอยู่เบื้องหลังแน่ๆ ใช่ไหมครับ คือเราจะเห็นว่าบางคนจะไม่มีอาการเป็นซีสต์หรือเนื้องอกที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วย เช่นปวดหัว หรืออื่นๆ เลยจนมีอายุมากแล้ว ซึ่งบางคนอาจจะเสียชีวิตไปโดยไม่มีอาการของโรคเกิดขึ้นเลยนะครับ ถ้าเราคิดต่ออีกสักนิดเราก็อาจจะเชื่อได้ว่าถ้าอย่างนั้นมันคงมีปัจจัยที่ทำให้มีการกระตุ้นและเกิดเนื้องอกขึ้นมาได้นะสิ ผมก็เชื่ออย่างนั้นเหมือนกันครับ แต่การค้นหาก็คงไม่ง่ายหรอกนะครับ เพราะคนทุกคนมีความแตกต่างกันทั้งสภาพร่างกายทุกๆ อย่าง และการดำรงชีวิต หรืออื่นๆ อีกมากมายที่ล้วนแตกต่างกันนะครับ ดังนั้นการจะหาว่าต้องใช้ชีวิตอย่างไรจึงจะปลอดภัยคงไม่ง่ายแน่นอน หวังว่าในอนาคตอันใกล้จะมีผู้ค้นพบนะครับ

อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์ก็เชื่อกันว่าน่าจะมีการค้นพบวิธีการรักษาผ่านการศึกษาเรื่องยีนภายในปี 2025 ครับ นับจากวันนี้ก็อีกประมาณ 14 ปีครับ ผมอยากให้เป็นเช่นนั้นครับ เพราะยังมีคนอีกมากที่ต้องทรมานกับโรคนี้อยู่ทุกวันๆ แต่ถึงแม้ว่าตอนนี้จะยังไม่มียารักษาให้หายขาดได้ ก็ยังมีแนวทางในการรับมือครับ เช่นที่ได้กล่าวไปในบทความที่ผ่านๆมาแล้วหลายๆตอน เช่นการรักษาสุขภาพให้แข็งแรง การใช้หลักโภชนาการที่ดี การไปตรวจร่างกายและติดตามผลอย่างใกล้ชิดเป็นต้น นอกจากนี้การระมัดระวังไม่ให้เครียดมากเกินไปก็มีส่วนดีไม่ใช่น้อย เรื่องความเครียดนี้ที่จริงแล้วก็ส่งผลถึงโรคเกือบทุกโรคได้เหมือนกันนะครับ ที่ชัดๆก็อย่างเช่นโรคหัวใจ ความดัน เบาหวานเป็นต้นครับ

หลายๆโรคก็รักษาไม่หายขาดเช่นกันนะครับ เช่นมะเร็ง เบาหวานนั่นไงครับ แต่เราจะเห็นว่าในปัจจุบันถึงแม้จะรักษาไม่หายขาดแต่ก็มีวีธีรับมือและสามารถมีชีวิตที่ปกติได้ถ้าเราตั้งใจครับ

มันอยู่ที่ใจด้วยครับ ... สวัสดีครับ...

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

มะเร็ง

มะเร็งคืออะไร?

มะเร็ง คำคำนี้ใครได้ยินก็ต้องรู้สึกกลัวๆไว้ก่อนใช่ไหมครับ ใช่แล้วครับ มะเร็ง เป็นอะไรที่น่ากลัวเสมอ และสำหรับครอบครัวที่เป็น VHL ก็ควรจะทราบด้วยว่ามะเร็งสามารถเกิดขึ้นกับโรค VHL ได้ครับ แต่ก็ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องเป็นมะเร็งเสมอไปนะครับ การได้รับการตรวจและรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ อาจจะทำให้เราไม่ต้องเสี่ยงกับมะเร็งเลยก็เป็นได้!

มะเร็งเป็นกลุ่มของโรคมากกว่าร้อยชนิด แต่ในทุกๆชนิดของมะเร็งซึ่งมีความแตกต่างกันออกไปนั้น ก็มีสิ่งที่เหมือนกันอยู่ นั่นคือ มะเร็งทุกชนิดเป็นโรคที่เกิดกับเซลล์ของร่างกายของเราครับ สำหรับมะเร็งที่เกิดกับโรค VHL นั้นมีอยู่ไม่กี่ชนิดครับ

เซลล์ปกตินั้นทำให้เนื้อเยื่อเจริญเติบโต แบ่งตัว และเกิดทดแทนเซลล์เก่าได้อย่างมีระบบระเบียบซึ่งทำให้ร่างกายสามารถดำรงอยู่ได้อย่างปกติ แต่ในบางครั้งที่เซลล์ปกติอาจสูญเสียความสามารถในการควบคุมการเจริญเติบโตของมันเอง ทำให้มีการเจริญเติบโตอย่างผิดปกติและไร้การควบคุมหรือมีระเบียบแบบแผนได้ ทำให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อที่มากเกินไป เกิดเป็นเนื้องอกตามมาได้ ซึ่งเนื้องอกอาจจะเป็นเนื้องอกธรรมดาหรือเนื้อร้ายก็ได้
  • เนื้องอกธรรมดา (ของผู้ที่เป็น VHL) เช่น เนื้องอกในสมอง ไขสันหลัง หรือในจอตา จะไม่มีการแพร่กระจาย
  • เนื้อร้าย เช่นเนื้องอกที่เกิดขึ้นที่ไต เป็นต้น มันจะสามารถแทรกเข้าไปในเนื้อเยื่ออวัยวะและทำลายเนื้อเยื่อหรืออวัยวะนั้นๆได้ เซลล์มะเร็งสามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะส่วนอื่นๆของร่างกาย และทำให้เกิดเป็นเนื้องอกใหม่ขึ้นมาได้
และเพราะว่า VHL สามารถทำให้เกิดเนื้อร้ายขึ้นกับระบบอวัยวะภายในช่องท้องได้ (เช่น ไต ตับ ตับอ่อน และต่อมหมวกไต) มันจึงถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มของปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งที่เกิดจากครอบครัวซึ่งมีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม

วัตถุประสงค์ในการตรวจรักษาจึงจำเป็นต้องตรวจหาให้พบตั้งแต่เนิ่นๆ หรือในระยะเริ่มแรกของโรค และจัดการรักษาก่อนที่มันจะเติบโตและทำร้ายเนื้อเยื่อหรืออวัยวะที่มันเกิดอยู่ได้ ซึ่งเราจะเห็นว่าการตรวจก็ต้องทำด้วยการเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ใช่ไหมครับ

สำหรับตอนนี้ก็ได้มีการทำวิจัยถึงวิธีการในการรักษาโรคนี้กันอย่างเข้มข้นด้วยความร่วมมือของผู้ป่วยเองที่เป็นผู้ให้ข้อมูลแก่แพทย์หรือทีมวิจัย และหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้องนะครับ มีการร่วมมือกับบริษัทยาทำการศึกษาหาหนทางอยู่ตลอดเวลา ผมหวังว่าในอนาคตอันใกล้นี้เราจะมีหนทางในการรับมือกับโรคนี้นะครับ แต่สำหรับในระหว่างนี้เราคงต้องอดทนและดูแลตัวเองให้ดี พยายามทำอารมณ์ให้แจ่มใสครับ ความเครียดทำร้ายเราได้สารพัดนะครับ ยิ่งอ่านมากก็ยิ่งทราบว่าความเครียดมีความสัมพันธ์กับโรคหลายๆ โรคเลยทีเดียว รู้อย่างนี้แล้วยิ้มกันเลยนะครับ สวัสดีครับ...

วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2554

เรื่องทั่วไปของเนื้องอกและซีสต์ของโรค VHL

สวัสดีวันอาทิตย์ครับ

วันนี้เอาเรื่องที่เป็นความรู้ทั่วๆไปเกี่ยวกับเนื้องอกและซีสต์ที่เกิดจากโรค VHL นี้มาเล่าให้ฟังกันครับ เราทราบกันดีแล้วว่าโรค VHL นี้ทำให้เกิดเนื้องอกขึ้นในส่วนต่างๆของร่างกายได้หลายที่ เราเรียกเนื้องอกที่เกิดขึ้นที่สมองและไขสันหลัง (สำหรับโรคนี้) ว่า Hemangoblastoma หรือ ฮี แมน จิ โอ บลาส โอ มา นะครับ ซึ่งประกอบไปด้วยหลอดเลือดที่เจริญเติบโตมากผิดปกติ ประกอบกันขึ้นเป็นก้อนเนื้องอกนั่นเอง และเจ้าก้อนเนื้องอกนี้ก็จะเป็นสาเหตุให้เกิดความดัน หรือแรงดันขึ้นมาครับ ซึ่งก็จะไปกดดันระบบประสาทหรือเนื้อสมองได้ ทำให้เกิดอาการต่างๆ ตามมาครับ อย่างเช่น ปวดหัว ปัญหาการทรงตัวขณะเดิน หรือความอ่อนแรงของแขน ขา เป็นต้น นอกจากนั้นการโตของก้อนเนื้องอกเองก็ยังไปก่อให้เกิดการขัดขวางการไหลของน้ำไขสันหลังในสมอง ทำให้ปวดหัวได้เช่นกันนะครับ ดังเช่นในกรณีของผมเอง และลูกสาว ต้องได้รับการผ่าตัดรักษาให้ทันท่วงทีครับ

ในกรณีที่เนื้องอกนี้โตขึ้น อาจทำให้ผนังของหลอดเลือดอ่อนแอลง และทำให้เกิดการรั่วไหลของเลือดออกมาจากผนังหลอดเลือดนั้นซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อที่อยู่รอบๆนั้นได้ เช่นการรั่วไหลของเลือดหรือของเหลวในจอตา (retina) อาจจะมีผลไปบดบังการมองเห็นได้ เป็นต้น ดังนั้นการได้รับการตรวจลูกตาอย่างใกล้ชิดและละเอียดจึงมีความสำคัญมากๆครับ เท่าที่ทราบสถานพยาบาลหลายๆ แห่งสามารถตรวจเรื่องเนื้องอกในจอตาให้เราได้ แต่การที่จะบ่งชี้ว่ามีความสัมพันธ์กับโรค VHL หรือไม่คงไม่สามารถทำได้ทุกที่ คงต้องเป็นสถาบันที่บุคลากรมีความรู้เกี่ยวกับโรคนี้ด้วยครับ ในกรณีของผมไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลศิริราชครับ ซึ่งการไปพบแพทย์ในแต่ละครั้งนั้นต้องใช้ความอดทนอย่างสูงเนื่องจากจำนวนคนไข้ที่เยอะมากนั่นเองครับ ปกติแล้วผมไปถึงโรงพยาบาลประมาณก่อนเจ็ดโมงเช้า จะได้รับการตรวจโดยแพทย์ประมาณเที่ยงหรือใกล้ๆ บ่ายโมงครับ คนไข้เยอะจริงๆ แต่ที่จริงแล้วการที่ต้องเข้าคิวคอยสำหรับผู้ป่วยนานๆ อย่างนั้นก็ยังเทียบไม่ได้กับแพทย์ครับ คุณหมอต้องตรวจคนไข้อย่างไม่ได้หยุดพักเลยตลอดเวลาจนกว่าคนไข้จะหมดในวันนั้น ซึ่งเท่าที่ผมได้มีประสบการณ์มา ส่วนใหญ่แล้วเห็นคุณหมอตรวจไปจนบ่ายสองบ่ายสาม อย่างต่อเนื่องเลยนะครับ ไม่ได้ทานข้าวกลางวันหรือนั่งพักทำโน่นทำนี่อย่างคนไข้เลยครับ ดังนั้นผมจึงยินดีคอยต่อไปครับ

ต่อกันนะครับ ซีสต์ (Cysts) อาจจะเกิดขึ้นได้รอบๆก้อนเนื้องอก ซึ่งซีสต์นี้ก็คือถุงน้ำที่ประกอบไปด้วยของเหลวอยู่ภายใน ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดแรงดันหรือไปขัดขวางการไหลเวียนของระบบของเหลวต่างๆ ของร่างกายและทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยขึ้นมาได้ครับ

ผู้ป่วยชายบางคนอาจพบมีเนื้องอกในถุงอัณฑะ (scrotal sacs) ได้ ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นเนื้องอกธรรมดาไม่ใช่เนื้อร้าย แต่ก็ควรได้รับการตรวจโดยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะนะครับ เช่นเดียวกับเพศหญิงที่อาจจะมีซีสต์หรือเนื้องอกเกิดขึ้นได้ที่อวัยวะที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ซึ่งก็สมควรจะไปตรวจเช่นกันครับ

ปกติแล้วซีสต์หรือเนื้องอกนี้อาจจะเกิดขึ้นได้ที่ไต ตับอ่อน หรือต่อมหมวกไตได้ ดังที่เคยเขียนถึงในตอนก่อนๆไปแล้วนะครับ ซึ่งปกติแล้วซีสต์กับเนื้องอกเหล่านี้จะไม่ก่อให้เกิดอาการใดๆขึ้นให้เราสังเกตได้ง่ายๆ แต่เราก็ต้องพยายามหาวิธีตรวจสอบให้ได้ครับ เพื่อความปลอดภัยของเราเอง อย่างเช่นอาการอย่างหนึ่งของต่อมหมวกไตก็คือความดันโลหิตสูงครับ เจ้าเนื้องอกพวกนี้โดยทั่วไปจะเป็นเนื้องอกธรรมดาไม่ใช่เนื้อร้าย แต่ก็มีที่เป็นเนื้อร้ายได้เช่นกัน โดยเฉพาะที่ไต ดังนั้นการได้รับการตรวจจึงเป็นเรื่องสำคัญมากๆ ปกติแล้วควรได้รับการตรวจด้วย CT scan หรือ MRI เป็นประจำทุกปีโดยอาจจะมีการตรวจอัลตราซาวด์ร่วมด้วยครับ

สุดท้ายนี้อย่าลืมนะครับว่าซีสต์หรือเนื้องอกจากโรคนี้ในหลายๆแห่งของร่างกายจะไม่มีอาการของโรคปรากฎให้เห็นหรือให้สังเกตุกันได้ง่ายๆ ดังนั้นท่านต้องระวังตัวเองและอาจจะต้องขอตรวจโดยที่แพทย์ไม่ได้เป็นคนสั่งตามที่ท่านเห็นว่ามีเหตุผลเพียงพอนะครับ เพราะในบางกรณีกว่าจะทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองท่านอาจต้องสูญเสียอวัยวะนั้นๆไป หรือดีไม่ดีอาจเสียชีวิตได้ง่ายๆ เลยครับ

คราวหน้าจะเอาเรื่องของโรค VHL กับมะเร็งมาเล่าให้ฟังครับ ว่าเกี่ยวข้องกันอย่างไรบ้าง คอยติดตามกันนะครับ ขอให้โชคดีทุกท่านครับ สวัสดีครับ...

วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554

ธรรมะสำหรับคนเจ็บไข้ จากท่านพุทธทาสภิกขุ

สวัสดีครับ วันนี้วันหยุด เช้านี้ที่นี่อากาศดีมากครับ ฝนตกเปาะแปะๆ อากาศเย็นสบาย มีลมพัดมาเบาๆ บรรยากาศน่าพักผ่อนมากๆ ครับ สำหรับคนที่ไม่ต้องทำงานวันเสาร์อย่างนี้ก็คงหยุดสบายและมีความสุขแต่สำหรับท่านที่ยังต้องทำงานกันก็ขอให้สนุกกับงานนะครับ วันหยุดสบายๆ อย่างนี้ผมตั้งใจจะไปวัดครับ จะไปวัดหลวงพ่อปัญญาที่รังสิตคลองหกนี่เอง ใกล้ๆบ้าน อยากจะไปทำบุญและหาที่สงบๆ ทำใจให้สบายหลังจากที่ผ่านเรื่องยุ่งๆ วุ่นวายมาระยะหนึ่งครับ โดยเฉพาะอาทิตย์ที่แล้วที่ญาติๆพากันป่วยเข้าโรงพยาบาลไปตามๆกัน

เมื่อวานหาหนังสือจากชั้นหนังสือที่บ้านอ่าน เจอพ็อกเก็ตบุคเล่มเล็กๆ เล่มหนึ่งพอดีชื่อ ธรรมะสำหรับคนเจ็บไข้ โดยท่านหลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ ครับ อ่านแล้วอยากจะเอาบางส่วนมาเล่าให้ฟังและแลกเปลี่ยนหากท่านใดอยากคุยด้วยนะครับ ที่จริงช่วงที่ตัวผมเองป่วยต้องเข้ารับการผ่าตัดก็ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ไปแล้ว แต่คราวนี้พอหยิบมาอ่านก็ได้อะไรๆ เพิ่มพูนปัญญามากขึ้นไปอีกครับ หนังสือหลายๆ เล่มเรามักจะได้อะไรเพิ่มเติมเสมอเมื่ออ่านซ้ำนะครับ

ที่จริงพออ่านไปแล้ว ไม่เฉพาะคนป่วยเท่านั้นหรอกครับที่จะได้ประโยชน์ คนที่ไม่ป่วยก็ได้มากเช่นกันครับ หลักธรรมของพุธศาสนาใช้ได้กับทุกคนครับ ชีวิตเป็นทุกข์ตั้งแต่เกิดมาแล้วครับ มีเกิดแล้วก็มีแก่ มีเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วก็ตาย เป็นเรื่องธรรมดามาก เราก็ล้วนทราบกันดีว่าชีวิตต้องเป็นเช่นนี้แต่พอเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นกับตัวเราแล้ว เราก็มักจะตั้งสติไม่ทัน เป็นทุกข์ไปกับมันทันทีนะครับ นี่แหละครับเราจึงควรจะมีธรรมะติดตัวไว้เสมอ มีสติพร้อมกับทุกๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับร่างกายและจิตใจนี้ครับ

เรื่องธรรมะสำหรับคนเจ็บไข้ในพระไตรปิฏกได้สรุปว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง เรียกว่า ตถตา-เป็นเช่นนั้นเอง มันมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งกันแล้ว เป็นเช่นนั้นเอง เรียกว่าอิทัปปัจยตา ทุกอย่างมันมีเหตุ มีปัจจัยที่ทำให้เกิดครับ ความเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนต้องมี เราต้องไม่เอาจิตใจไปสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของความเจ็บป่วยนั้นๆ ว่าเป็นตัวเรา เป็นของเรา แล้วทำให้เกิดเป็นความทุกข์ความร้อนใจขึ้นมาครับ เพื่อที่จะไม่เอาความยึดมั่นความมีตัวตนเข้าไปยึดกับอะไรต่างๆเราต้องสร้างความดับไม่เหลือ ให้เกิดขึ้น ซึ่งมีสองอย่างได้แก่ร่างกายตายแล้วดับไม่เหลือ กับอีกอย่างคือความรู้สึกว่าตัวตน ว่าของตน อย่าให้ความรู้สึกว่าตัวตน - ของตนเกิดมาอีก เราควรจะมีสติ ตั้งใจว่าเมื่อร่างกายนี้ดับไปแล้ว เราไม่อยากจะเกิดอีก ซึ่งการเกิดมาอีกก็จะมีแต่ความทุกข์ตามมาเหมือนเดิมครับ คือแก่ เจ็บ แล้วก็ตาย เราคงไม่อยากจะเจออะไรที่มันซ้ำๆ อย่างเดิมอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่านะครับ ทีนี้วิธีการที่จะใช้เพื่อให้เราเข้าถึงความเข้าใจ เข้าถึงความมีสติ รู้ทันสภาพร่างกายและจิตใจ สังขารที่เปลี่ยนแปลงไปก็คือ การทำสมาธิ ครับ การทำสมาธิเป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ เป็นสิ่งที่ทำได้ ไม่เกินวิสัย คือการกำหนดจิตไว้ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ทำสมาธิเพื่อหยุดหรือว่างจากความนึกคิด ปรุงแต่งอันวุ่นวายเหล่านั้น

การทำสมาธิอย่างง่ายที่สุดคือเอาจิตกำหนดที่ลมหายใจ จิตเป็นผู้วิ่งตามลมหายใจเข้าอยู่ ออกอยู่ อย่าไปเครียด ให้ทำอย่างเบาๆ สบายๆ จิตเท่านั้นทำ แล้วจิตก็จะตั้งมั่น จิตก็จะไม่ฟุ้งซ่าน ความทุกข์ก็จะไม่แทรกแซงเข้ามาได้ เพราะจิตตั้งมั่นเสียในสมาธิ

ท่านยังได้กล่าวอีกว่าการบังคับลมหายใจนี้ มันมีผลทั้งต่อร่างกายและจิตใจครับ เราไม่สามารถบังคับร่างกายได้โดยตรง แต่เราบังคับผ่านสมาธิครับ นี่เป็นเรื่องมหัศจรรย์ของสมาธินะครับ อยากให้ทุกท่านลองดู เพื่อความสุข และสงบที่หาได้ทันทีครับ เป็นความสุขที่ยั่งยืนตามหลักศาสนาโดยตรงด้วยนะครับ

สำหรับวันนี้คงขอลากันไปก่อนตรงนี้ละครับ ขอให้ทุกท่านมีความสุข มีสติรู้ทันสังขารในยามที่เจ็บป่วยกันทุกคนนะครับ สวัสดีครับ...

วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554

ลูกสาวกับพี่สาวผ่าตัดสมองเรียบร้อยแล้ว ผลออกมาดีเยี่ยมครับ

สวัสดีครับ ในที่สุดการผ่าตัดสมองของทั้งพี่สาวและลูกสาวก็ผ่านไปได้อย่างเรียบร้อยครับ สัปดาห์นี้ก็เลยเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสัปดาห์หนึ่งของครอบครัวและญาติๆเลยทีเดียวครับ หลังจากที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ลุ้นกันแทบตาย ทั้งๆที่ก็เคยเป็นกันมากับตัวเองและผ่านการผ่าตัดมาก็เยอะ แต่พอมาเกิดกับคนอื่นในครอบครัวก็อดเป็นห่วงและคิดไปต่างๆนาๆ ไม่ได้นะครับ พอพี่สาวผ่าตัดเสร็จและออกจากโรงพยาบาลได้ก็เลยดีใจแทบแย่ ยิ่งเมื่อลูกสาวก็ออกมาอย่างปลอดภัยด้วยก็ยิ่งทำให้ต้องดีใจกันยกกำลังสองเข้าไปอีก ฟ้าหลังฝนครับ ดูช่างสดใสจริงๆ


รวมเวลาตั้งแต่เข้าโรงพยาบาลจนถึงตัดไหมก็ 8 วันครับ หมอให้กลับมาพักฟื้นต่อที่บ้านอีกประมาณหนึ่งเดือน ลูกสาวคงต้องรีบกวดตามเพื่อนๆเรื่องเรียนให้ทันเอาเอง ก็คงเหนื่อยหน่อย แต่ก็เป็นความเหน็ดเหนื่อยที่คุ้มค่าครับ เมื่อเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องนับว่าโชคดีที่ผลการผ่าตัดออกมาปกติดีครับ เพราะคุณหมอบอกว่าเนื้องอกมันเกิดจากก้านสมอง และไปกดทับก้านสมองจนบวมด้วย การผ่าตัดต้องกระทำอย่างประณีตที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงการไปกระทบกระเทือนกับส่วนของก้านสมองเอง ซึ่งคุณหมอบอกว่าหมายถึงชีวิตเลยทีเดียว การกระทบกระเทือนต่อก้านสมองเช่นการไปสะกิดโดนเนื้อก้านสมองออกไปนิดเดียวก็อาจจะหมายถึงการเสียชีวิตได้ หรือความพิการของร่างกายในส่วนที่มันควบคุมอยู่ได้ครับ ก่อนผ่าตัดพ่อแม่จึงค่อนข้างกังวลและคิดไปต่างๆนาครับ ตอนนี้ทั้งพี่สาวและลูกสาวมีสภาพร่างกายทั่วไปปกติดีครับ ไม่ปวดหัวแล้ว มีแต่อาการเดินเซๆ นิดหน่อย และแผลยังตึงๆอยู่ครับ นอกนั้นก็ถือว่าปกติเหมือนคนทั่วไปครับ สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติแล้ว

สำหรับวันนี้ก็คงเท่านี้ก่อนครับ แล้วจะเอาเรื่องราวต่างๆมาเล่าให้ฟังกันใหม่ในคราวต่อๆ ไปนะครับ

สวัสดีครับ...