วันเสาร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2555

ผ่าสมองต้องเอากระโหลกออกหรือไม่ครับ

สวัสดีครับ

ผมกลับจากอินโดนีเซียมาเมื่อวานนี้ ถึงบ้านตอนเย็นๆ ครับ ช่วงนี้บ้านเรามีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง หลายๆพื้นที่มีน้ำท่วมกันแล้ว ก็น่าเห็นใจสำหรับทุกๆครอบครัวที่ต้องเดือดร้อนกัน และก็ขอให้ทุกท่านผ่านความลำบากตรงนั้นไปได้ด้วยดีนะครับ

สำหรับวันนี้ผมมีเรื่องจะมาเล่ากันนิดหน่อย พอดีไปตัดผมมาครับ แล้วทุกครั้งที่ไปตัดผมก็จะต้องนึกถึงตรงรอยแผลผ่าตัดที่ท้ายทอย ซึ่งมันเป็นรอยแผลผ่าตัดที่ยาวมากๆ คือนึกว่าจะเอาทรงไหนดี ถ้าจะเปิดตีนผมขึ้นมากก็เกรงว่ารอยผ่าตัดมันจะเห็นเด่นชัดจนเกินไป ความจุกจิกอย่างแรกที่จะเกิดขึ้นก็คือขี้เกียจตอบคำถามครับว่าไปทำอะไรมา ทำไมจึงมีรอยแผลเป็นอย่างนั้น? อย่างที่สองก็กลัวว่ามันจะดูประหลาดๆ แล้วคนอื่นจะไม่อยากเข้าใกล้... ฮ่าๆ อันนี้ที่จริงก็ตลกๆ แต่ก็ไม่รู้สิครับ มันก็คิดไปเรื่อยแหละครับ สำหรับความขี้เกียจตอบคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นนี้เป็นเหตุผลหลักครับ เพราะว่ากว่าจะตอบให้เข้าใจได้ก็ต้องพูดกันยืดยาวอยู่พอสมควรเชียวนะครับ ไม่งั้นก็คงจะไม่ค่อยเข้าใจกัน นี่แหละครับ หลายๆ ครั้งที่ผ่านมาก็เลยตัดผมแบบที่ยังให้มันคลุมท้ายทอยอยู่ ซึ่งที่จริงผมก็ไม่ค่อยชอบทรงอย่างนั้นเท่าไหร่ มันรำคาญตอนที่มันเริ่มยาวแล้วมันไปเสียดสีท้ายทอยนี่แหละครับ วันนี้ก็เลยเอาแบบสั้นขึ้นมาหน่อย ก็เลยเป็นแบบที่เห็นนั่นแหละครับ

คราวนี้ก็มาเข้าเรื่องที่ต่อเนื่องกัน นั่นก็คือคำถามที่ว่าตอนผ่าสมองเค้าเอากระดูกกระโหลกศีรษะออกไปหรือไม่ อันนี้ที่จริงผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ก็เดาๆ เอาครับ ยังไงถ้าผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลก็เอามาเล่าสู่กันฟังได้นะครับ ยินดีมากเลยครับ ผมพยายามไปหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มานานแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ข้อมูลที่ชัดเจนครับ ลองจับดูที่ท้ายทอยตัวเองก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีว่ากระโหลกตรงนั้นยังอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า เพราะตรงท้ายทอยเรามันมีกล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆบังอยู่ครับ แต่จากวันนี้ที่ผมเอารูปมาให้ดู (อันที่จริงก็ไม่ค่อยจะตรงกับการผ่าตัดที่ท้ายทอยหรอกครับ แต่คิดว่าการผ่าตัดสมองก็ไม่น่าจะแตกต่างกันมาก อันนี้คิดเอาเองนะครับ เอาไว้ว่าถ้าผมมีข้อมูลเพิ่มเติมแล้วจะเอามาแชร์กันอีกครับ) จากรูปเราจะเห็นว่าการผ่าตัดสมองต้องมีการเจาะช่องกระโหลก แล้วเอาแผ่นกระโหลกนั้นออกไปก่อน หลังจากทำการผ่าตัดเสร็จแล้วจึงเอาแผ่นกระโหลกนั้นติดเข้าไปตามเดิมครับ แล้วก็เย็บหนังศีรษะปิดอีกที ดูแล้วการผ่าที่ท้ายทอยก็คงไม่ต่างกันมากหรอกนะครับ เพราะตรงนั้นก็มีกระโหลกคลุมสมองอยู่แล้วครับ การผ่าตัดก็คงต้องเอากระดูกออกก่อนเหมือนกัน แต่ส่วนการเอาชิ้นเดิมปิดคืนหรือเปล่าอันนี้ไม่ทราบเหมือนกันครับ

เอาละครับ สำหรับวันนี้ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ก็ขอให้ทุกคนมีความสุขนะครับ จะพักผ่อนหรือทำงานก็ขอให้ทุกท่านทำอย่างสบายใจ ไม่เครียดนะครับ สวัสดีครับ



วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

ชีวิตต้องเดินทางถึงจะสนุก


สวัสดีครับ

วันนี้ผมเขียนจากแดนไกลครับมาทำงานที่จาการ์ต้าอินโดนีเซียครับ.ที่นี่ห่างจากบ้านเราประมาณสองพันสองร้อยกว่ากิโลครับ.ใช้เวลานั่งเครื่องบินประมาณสามชั่วโมงนิดๆ.ก็สบายๆครับ.ไม่นานเกินไป.พอดีบนเครื่องบินมีหนังให้ดูด้วยก็เลยไม่เบื่อมากนัก.วันที่มาฉายเรื่อง เม็นอินแบล็ก ๓ ครับ สนุกดีครับ ดูเอามันอย่างเดียว หนังจบได้ไม่นานก็มาถึงอินโดแล้ว

เอาเรื่องของโรคมาเล่ากันหน่อยก็ดีนะครับ เชิญอ่านครับ

วันนี้มีเรื่องของผู้ป่่วยท่านหนึ่งมาเล่าครับ เป็นชาวต่างชาติ เข้าใจว่าเป็นชาวแคนาดาครับ ภรรยาเอาเรื่องมาลง บอกว่าสามีเธอซึ่งเป็นโรคนี้เสียชีวิตไปไม่นานมานี้เอง เธอบอกว่าสามีเป็นมะเร็งที่ไตและมีเนื้องอกในไขสันหลังด้วย เนื้องอกในไขสันหลังก่อให้เกิดความทรมานมาก เพราะมันทำให้เกิดความดันหรือสร้างแรงดันสูงออกมา ซึ่งนอกจากจะทำให้เดินได้ไม่ปกติแล้วยังทำให้เกิดความเจ็บปวดทรมานมากๆด้วย จนในที่สุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี่เองที่สามีเธอทนอาการเจ็บปวดไม่ได้และเสียชีวิตไปในที่สุด...

น่าสงสารมากเลยนะครับ ผมนึกถึงแม่ที่เสียชีวิตเพราะทนความเจ็บปวดเนื่องจากเนื้องอกในสมองไม่ไหวแล้วก็จินตนาการไม่ออกเหมือนกันว่ามันจะแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ ต้องหนักหนาสาหัสมากแน่นอน

ก็เอามาเขียนให้อ่านเพื่อเป็นข้อมูลกันครับ เพื่อที่ผู้ป่่วยจะได้เตรียมตัวไว้ถ้าต้องเจอกับเหตุการณ์อย่างนี้กับตัวเองในอนาคต จะได้เข้าใจและเตรียมตัวรับมือได้ถูกครับ

แล้วคุยกันใหม่ครับ สวัสดีครับ

วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

เรารักกันเพราะว่า...

Picture of a mother Ural owl and chick in Estonia

                                 ภาพจาก nationalgeographic.com
สวัสดีครับ

วันนี้คงเอาเรื่องเบาๆมาเขียนกันนะครับ เป็นเรื่องของความรักหรืออะไรที่ใกล้ๆกับความรักนี่แหละครับ บางคนบอกว่าความรักเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายที่สุดในโลก แต่บางครั้งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยากที่สุดในโลกได้เหมือนกัน โดยเฉพาะตอนที่เรารู้สึกว่าเอ๊ะ ทำไมความรักของเรามันไม่เห็นเป็นอย่างที่เราอยากให้เป็นเลย ทำไมมันดูขัดข้องไปหมด ไม่เห็นจะหวานแหววเหมือนคู่อื่นๆเลย อะไรอย่างนี้เป็นต้นครับ

สำหรับวันนี้ผมอยากจะเอาเรื่องที่มีผู้ป่วยท่านหนึ่ง เป็นหญิ่งสาวชาวต่างชาตินะครับ ได้มาเขียนแชร์ไว้ว่า พอแฟนหนุ่มของเธอทราบว่าเธอเป็นโรค VHL พวกเขาก็จากไป... ที่เขียนว่าพวกเขาก็เพราะว่ามันเกิดขึ้นหลายครั้งกับหลายคนแล้วครับ หนุ่มๆเหล่านั้นให้เหตุผลประมาณคล้ายๆกันว่าเพราะไม่อยากต้องมาเจ็บปวดในอนาคตถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอหรือกับครอบครัว... อะไรหรือครับที่จะเกิดขึ้นได้บ้าง ก็อย่างเช่นตัวเธอเองต้องเจ็บป่วยหนักจากการผ่าตัด อาจต้องรักษาไปตลอดชีวิต หรืออาจจะพิกลพิการ อะไรอย่างนี้เป็นต้น หรือที่อาจจะมีตามมาอีกก็อย่างเช่นการที่ลูกหลานจะต้องมารับถ่ายทอดโรคนี้อีก ซึ่งไม่รู้ว่าจะไปจบลงที่ตรงไหนน่ะซีครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่ที่มองข้ามไม่ได้เลยนะครับ สามีภรรยาบางคู่อาจจะตัดสินใจไม่ยอมมีบุตรเลยทีเดียวครับ เพราะไม่อยากจะถ่ายทอดโรคนี้ให้กับลูกที่จะเกิดมาในอนาคตอีก

การมีลูกที่เป็นโรคนี้และต้องเข้ารับการผ่าตัดเป็นสถานการที่หนักหนาสำหรับพ่อแม่มากเลยนะครับ เป็นความรู้สึกที่แย่มากๆที่สามารถเกิดขึ้นกับพ่อแม่ได้ตลอดเวลาที่นึกถึงว่าลูกของตัวเองเป็นโรคนี้กันเลยทีเดียวครับ อย่างแรกเลยก็คือเราจะรู้สึกว่าเราเป็นต้นเหตุโดยตรงที่ทำให้ลูกต้องมาเป็นโรคนี้ด้วย... อันนี้นี่แน่ๆเลยนะครับเนี่ย ความรู้สึกนี้ แล้วอีกอย่างก็คือเราก็จะต้องมาทรมานอีกครั้งตอนที่ลูกต้องเข้าโรงพยาบาล เห็นลูกต้องทรมานตอนที่ต้องผ่าตัดหรือไปเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องไปตลอดชีวิตอะไรอย่างนั้นนั่นเองครับ

แต่สำหรับพ่อแม่หลายๆคู่ ซึ่งก็คือส่วนใหญ่หรือแทบจะทั้งหมดของคนที่เป็นโรคนี้มักจะไม่ค่อยเข้าใจถึงกลไกการถ่ายทอดทางพันธุกรรมครับ ก็เลยมีลูกมีหลานกันไปแล้ว กว่าจะเรียนรู้และเข้าใจก็คงทำอะไรไม่ได้แล้ว ก็คงได้แต่ทำการรักษากันไปครับ

เห็นมั้ยครับว่าบางครั้งความรักก็มีอะไรมากกว่าแค่ความ...อะไรอะไร... ที่ฉาบฉวยนะครับ ความรักที่แท้คงจะมีความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจเกิดร่วมด้วย ถ้าเรามีความรักที่แท้จริงให้แก่กัน เราคงจะรู้สึกอบอุ่น...มั้งครับ?

สวัสดีครับ

วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

เครื่อง CT Scanner ถอดเสื้อ

สวัสดีครับ

วันนี้เอารูปที่มีเพื่อนฝรั่งเอามาแชร์ไว้ในเฟสบุ้คครับ เป็นรูปภายในของเครื่อง CT scanner หรือเครื่องเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ (Computed Tomography) ที่ใช้ในการตรวจหลายๆ อย่างในผู้ป่วยรวมทั้งใช้ตรวจหาเนื้องอกในสมองด้วยครับ ที่ผ่านมาเวลาผมไปพบแพทย์เพราะอาการที่น่าสงสัยว่าจะเป็นเนื้องอกในสมอง สิ่งแรกที่แพทย์จะสั่งให้ไปตรวจเพิ่มเติมก็มักจะเป็นการทำเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์ด้วย CT scanner นี้เองครับ หลังจากนั้น ถ้าผลบ่งบอกว่าจะเป็นเนื้องอกในสมอง แต่ไม่ค่อยชัดเจนนักก็จะต้องไปทำ MRI อีกที แต่ถ้าชัดเจนผมก็เห็นคุณหมอก็สั่งผ่าตัดได้เลยครับ อย่างเช่นการผ่าสมองครั้งแรกของผมเป็นต้น ตอนนั้นทำแค่ CT scan ครับ

ขอเอาหลักการทำงานของเจ้าเครื่องนี้มาแบ่งปันให้อ่านกันด้วยนะครับ เป็นบทความที่เขียนโดย ดร.  สุวิมล  เจตะวัฒนะ กลุ่มวิจัยและพัฒนานิวเคลียร์ สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ของสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ หรือ สทน ครับ (http://www.tint.or.th) เชิญอ่านหลักการทำงานบางตอนครับ...

"Tomography หรืออีกชื่อหนึ่งที่ไม่ค่อยได้ยินกันบ่อยนักคือ r?ntgenography คือการสร้างภาพโดยการตัดเป็นส่วน ๆ มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก คือ tomos (slice) และ graphein (to write) วัสดุที่ใช้ในการสร้างภาพ เรียกว่า tomograph ต้นกำเนิดของรังสีที่ใช้ในการทำ CT scan คือรังสีเอกซ์ โดยเครื่อง CT สแกนจะประกอบไปด้วยวงแหวนขนาดใหญ่ และมีเตียงวางผู้ป่วยอยู่ตรงกลาง หลอดกำเนิดรังสีเอกซ์หลายชุดจะวางเรียงกันบนวงแหวน และมีหัววัดรังสีเอกซ์วาง อยู่ด้านตรงข้ามอีกด้านหนึ่งของผู้ป่วย ลำแสงรังสีเอกซ์รูปพัดจะถูกปล่อยออกมาขณะที่หลอดเอกซเรย์ และหัววัดถูกหมุน ไปรอบ ๆ ตัวผู้ป่วยที่นอนนิ่งอยู่ตรงกลาง เป็นการเก็บภาพเอกซเรย์จากมุมที่แตกต่างกันรอบร่างกายของผู้ป่วย เมื่อการหมุนแต่ละรอบเสร็จสิ้น ภาพตัดขวางหนึ่งภาพก็จะถูกสร้างขึ้น ซึ่งในการสแกนด้วยเครื่องซีทีจะไม่มีการบันทึก ภาพที่ได้แต่ละภาพลงบนแผ่นฟิล์ม แต่จะนำภาพเหล่านี้มาสร้างเป็นภาพตัดขวาง 2 มิติโดยใช้คอมพิวเตอร์ ภาพที่ได้ จะถูกเรียกว่า tomogram และเมื่อเอาภาพตัดขวางเหล่านี้หลาย ๆ ชิ้นมาวางซ้อนกันก็จะสามารถสร้างภาพ 3 มิติ ของโครงสร้างร่างกายและอวัยวะภายในได้ ดังนั้น CT scan จึงหมายถึง การบันทึกภาพตัดขวางของร่างกายในระดับที่ ต่างกันนั่นเอง หากยังจินตนาการไม่ออก ก็ให้ลองนึกถึงขนมปังลูกเกดที่ถูกหั่นเป็นแถว ๆ เมื่อเราดึงขนมปังออกมาเพียง หนึ่งแผ่น ก็จะเห็นว่ามีลูกเกดติดอยู่บริเวณใดบ้างบนแผ่นขนมปังนั้น"

สำหรับวันนี้ก็ขอให้มีความสุขสนุกสนานกับการใช้ชีวิตวันนี้อีกวันนะครับ แล้วพบกันใหม่ สวัสดีครับ

วันเสาร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2555

นักรบผู้กล้า



สวัสดีครับ

วันนี้อยากเอาอะไรที่ผมคิดว่าน่าสนใจมาแบ่งปันกันครับ เป็นเรื่องราวตอนหนึ่งในหนังเรื่อง Gladiator ครับ หรือชื่อไทยก็คือ นักรบผู้กล้า ผ่าแผ่นดินทรราช นั่นเอง หนังเรื่องนี้ฉายไปนานหลายปีแล้วครับ มีหลายตอนที่ผมรู้สึกประทับใจมาก สำหรับวันนี้ที่เอามาเขียนถึงก็เป็นตอนที่ คอมโมดัส (Commodus) ลูกชายของกษัตริย์ซีซาร์ (Caesar) ได้กระทำการปิตุฆาต หรือฆ่าบิดาของตัวเองเพราะน้อยใจที่พ่อไม่เห็นคุณค่าของเขาและจะตั้งแม่ทัพเอกขึ้นเป็นกษัตริย์แทน ตอนนี้เป็นตอนที่ให้ความรู้สึกร่วมได้อย่างลึกซึ้งและน่าสะเทือนใจมากครับ ผมชอบประโยคที่ซีซาร์ได้พูดกับลูกชายที่ว่า "Your faults as a son is my failure as a father" ครับ แปลง่ายๆ แบบผมก็คือ "ความผิดพลาดชองลูก ก็คือความล้มเหลวของพ่อ" หรือ "ความล้มเหลวของลูก ก็คือความผิดพลาดของพ่อเอง" อะไรประมาณนี้แหละครับ

ชอบมากครับ ได้อารมณ์และเห็นด้วยแบบเต็มที่เลยครับ ใช่แล้ว ผมเชื่ออย่างเต็มที่ว่าพ่อแม่คือคนที่สั่งสอนและเป็นคนที่ทำให้ลูกเป็นอย่างที่ลูกเป็นครับ ไม่ใช่แค่คำพูดสั่งสอนหรอกครับ แต่รวมถึงการกระทำทุกๆอย่าง พูดง่ายๆ ก็คือ "บ้าน" นั่นเองครับ ที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของลูก หลายๆ ครั้งผมก็ไม่สามารถโทษว่าลูกทำไมจึงทำอย่างนั้นอย่างนี้ในแบบที่เราไม่ชอบได้เลย เพราะที่ลูกเป็นอย่างทุกวันนี้ ก็คงเป็นเพราะเราที่เป็นพ่อแม่เลี้ยงดูพวกเขามานั่นเองครับ

สำหรับวันนี้ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ หลายๆ คนคงได้พัก แต่คงมีอีกหลายคนที่ยังต้องทำงาน ก็ขอให้สนุกกับงานนะครับ มีความสุขกับทุกอย่างที่ทำครับ

สวัสดีครับ

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2555

เข้าที่ ...



                                 news.com.au
สวัสดีครับ

วันนี้ไปหาซื้อรองเท้าสำหรับวิ่งออกกำลังกายมาครับแล้วก็พบว่าเรื่องของรองเท้าวิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลยทีเดียวครับ แต่ก่อนนี้ถ้าคิดจะวิ่งออกกำลังกายละก็ผมก็แค่ไปที่ร้านขายเครื่องกีฬาแล้วก็เลือกรองเท้าสำหรับวิ่งแบบที่คุ้นเคยและคิดว่าน่าจะเป็นอย่างนี้แหละที่เราควรใส่วิ่ง ซึ่งก็จะมีราคาถูกและบางทีก็ดูเหมือนรองเท้าผ้าใบแบบใส่เที่ยวมากกว่า แต่พอวันนี้ไปดูแบบจริงๆ จังๆ แล้วก็เลยพบว่าที่ผ่านไปนั้น เราใช้แบบมั่วและ "ไม่ได้เรื่อง" จริงๆ เลยครับ ของมืออาชีพนั้น แพงและมีหลายแบบมาก ต้องลงมือศึกษากันให้ดีก่อนซื้อกันเลยทีเดียวครับ ถ้าไม่อยากบาดเจ็บตอนใส่วิ่งนานๆ แล้วละก็

ผมกำลังคิดจะเริ่มวิ่งออกกำลังกายอีกครั้งครับ หลังจากที่ห่างหายไปนาน เพราะว่าขี้เกียจนั่นแหละครับ ก็เลยหาเหตุผลอื่นมาอ้าง อ้างว่าบ้านไกลบ้าง ทำงานเสร็จแล้วต้องรีบกลับบ้าน หรือบางทีก็อ้างว่าทำงานเหนื่อยแล้ว ขอพักผ่อนหน่อย หรือบางทีก็อ้างว่าค่ำแล้ว อย่าไปวิ่งเลย อะไรพวกนั้นแหละครับ สุดท้ายก็เลยไม่ได้วิ่งนานเป็นปีเลย ถ้าจะนับจนถึงตอนนี้ก็น่าจะประมาณสามปีได้แล้วครับ นึกแล้วก็... โอ้ว... นานเกินไปแล้วนะเนี่ย

อีกเหตุผลที่ทำให้ผมต้องลุกขึ้นมา สร้างแรงจูงใจให้ออกไปหาซื้อรองเท้าวิ่ง ก็เพราะว่าผมเบื่อมากๆ กับการที่ต้องกินยาทุกครั้งหลังอาหารเช้าเย็นครับ หยิบยาขึ้นมาทีไรก็จะหงุดหงิดและถามตัวเองตลอดว่าเมื่อไหร่จะเลิกกินไอ้ยาพวกนี้ได้นะ... มันเบื่อจริงๆ ครับ ผมกินยาเบาหวานและความดันติดต่อกันมาน่าจะเจ็ดปีเข้าไปแล้ว ใจหนึ่งก็คิดว่าแล้วนี่เราจะต้องกินไปอีกนานเท่าไหร่ ไตก็เหลือแค่ข้างเดียวอีกต่างหาก สงสัยต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว ถ้ายังอยากอยู่ในโลกกลมๆ สวยๆ ใบนี้ต่อไปอีกนานๆ แล้วก็นึกถึงการวิ่งครับ การวิ่งน่าจะเป็นอะไรที่อยากทำมากที่สุดแล้ว สำหรับการออกกำลังกายต่างๆ ที่จะทำได้

ผมเคยวิ่งมินิมาราธอน 10 กิโล และวิ่ง ฮาล์ฟมาราธอน 21กิโลกว่ามาแล้ว เหลือแต่มาราธอนแบบเต็มๆ ครับ ที่ยังไม่เคยลองเลย และคิดว่าคงวิ่งไม่ได้แน่ๆ ถ้าไม่ยอมซ้อม อีกอย่างเป็นเบาหวานด้วย คงไม่ง่ายแน่นอนครับ แต่ก็เป็นอะไรที่ท้าทายดีมากๆ ท้าทายว่าตอนวิ่งจะเป็นลมตายหรือเปล่านะซีครับ ฮ่าๆ ก็บางครั้งแค่กินอาหารผิดเวลานิดหน่อยก็แทบจะเป็นลมล้มลงไปเลยก็หลายครั้งนี่ครับ... แต่ไม่เป็นไร ได้เวลาต้องลองแล้วล่ะครับ

แล้วจะเอามาเล่าให้ฟังกันนะครับ ว่าทำได้มากน้อยแค่ไหน อ้อ ลืมบอกไป ตอนนี้น้ำตาลก่อนอาหารวัดตอนตื่นนอนตอนเช้าของผม เฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ 100-140 ครับ หลังจากวิ่งไปได้สักระยะ (ถ้าทำได้) จะเอามารายงานให้ทราบกันนะครับ ว่าน้ำตาลจะลง หรือเบาหวานจะหายหรือไม่?? ผมตั้งใจประมาณว่าเบาหวานต้องหายเลยนะครับเนี่ย หวังว่าคงไม่หวังสูงเกินไป...

สวัสดีครับ