วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555

ไปเที่ยวงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติมา มีแต่หนอนหนังสือ...

สวัสดีเช้าวันอาทิตย์ครับ

เมื่อวานไปงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติที่ศูนย์ฯสิริกิตต์มาครับ พาลูกสาวสองคนไปดูงานและไปซื้อหนังสือที่อยากได้ เราวางแผนการเดินทางกันแบบให้สนุกด้วย โดยการนั่งรถส่วนตัวไปก่อนแล้วไปนั่งรถไฟใต้ดิน (MRT) ที่สถานีพหลโยธินครับ ซึ่งก็จะไปลงที่ทางเข้าศูนย์เลย แล้วขากลับก็จะขึ้นรถไฟฟ้าลอยฟ้า (BTS) ที่สถานีสุขุมวิท แล้วนั่งแท็กซี่ต่ออีกนิดมาเอารถที่จอดไว้ แล้วก็กลับบ้านที่รังสิตเลย

ทุกอย่างก็เป็นไปตามแผนครับ แต่ที่ผิดคาดก็คือพอไปถึงศูนย์ฯแล้วแทบเดินไม่ได้เลย คนเยอะมากครับ ต้องเรียกว่าหนอนหนังสือเยอะมากๆ อย่างที่เห็นในภาพครับ ภาพนี้ถ่ายจากบริเวณใกล้ๆทางเข้า ซึ่งเราจะเห็นว่าแค่จะเดินก็แทบจะไม่ไหวแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าแล้วจะเบียดเข้าไปดูหนังสือที่แผงสองข้างทางได้อย่างไร?? แต่สุดท้ายก็ได้หนังสือมากันคนละนิดคนละหน่อยครับ ได้ตรงร้านแรกๆที่เป็นหนังสือเด็กที่เอาคนสวมหุ่นตุ๊กตาน่ารักๆมาดึงดูดลูกค้านั่นแหละ แล้วก็เดินกันต่อไปเพื่อไปยังสำนักพิมพ์ที่ต้องการ ซึ่งพอไปถึงก็... เข้าไม่ได้ครับ หนอนหนังสือที่รอซื้อหนังสืออยู่หน้าร้านนั้นเต็มไปหมด เรียกว่าแค่จะหาที่ยืนมองก็ยังยากเลย สุดท้ายก็ต้องพากันออกมา กลับครับ มาหาข้าวกินและซื้อหนังสือกันต่อที่ร้านซีเอ็ดที่ห้างฟิวเจอร์รังสิต ใกล้บ้านครับ เฮ้อ ค่อยเดินสบายหน่อย เหนื่อยกันเลยครับ นี่ยังไม่รู้ว่าจะไปกันอีกหรือเปล่าหรือว่าจะเอายังไงกันดี...

เมื่อวานดึกๆก็เช็กผลสอบเข้า ม. 1 (gifted) โรงเรียนสวนกุหลาบรังสิตของลูกสาวคนเล็กปรากฎว่าไม่ผ่านครับ ก็เลยต้องมาลุยกันต่อไปสำหรับสอบเข้ารอบธรรมดา ยังมีเวลาอีกหนึ่งเดือนครับ สำหรับใครที่ได้ที่เรียนแล้วก็ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ

สวัสดีครับ

วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2555

นั่งให้สบาย และสนุกกับการเดินทางนะครับ...

สวัสดีครับ
Photo: A baby harp seal rests on the Arctic ice
Photograph by Norbert Rosing

ไม่ได้เจอกันนานเลย ช่วงที่ผ่านามาผมต้องเดินทางไปทำงานในหลายๆที่ในต่างประเทศครับ ก็เลยไม่มีโอกาสมาเขียนบล็อกเหมือนเดิม วันนี้มีโอกาสได้กลับมาอยู่บ้านตามปกติ แต่ก็เป็นช่วงสั้นๆครับ วันอังคารหน้าบ่ายๆ ผมก็ต้องไปพม่าอีก ไปประชุมครับ นี่เพิ่งกลับมาจากจาการ์ต้า อินโดนีเซียเองครับ ไม่ว่ายังไงก็จะพยายามเข้ามาทักทายกันให้ได้บ่อยที่สุดล่ะครับ เพราะถึงยังไงผมก็ยังอยากจะเอาความรู้ต่างๆที่เกี่ยวกับโรคนี้มาเล่าให้ฟังกันอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะกับพี่ๆน้องๆของผมที่เป็นโรคนี้กันเป็นว่าเล่น

เมื่อวานลองเข้าเว็บของ VHLFA ก็พบว่ามีวิดิโอคลิปเกี่ยวกับโรคนี้อยู่เยอะเหมือนกัน เอาไว้คราวหน้าจะแปลมาให้อ่านกันบ้างนะครับ

ช่วงนี้เดินทางบ่อยทำให้นึกถึงประโยคที่นักบินมักจะพูดกับผู้โดยสารเวลานั่งอยู่บนเครื่องบินครับ คือหลังจากแนะนำเรื่องข้อมูลการเดินทาง เช่นจะไปที่ไหนถึงเมื่อไร และคำแนะนำเกี่ยวกับความปลอดภัยเสร็จแล้ว เค้าจะบอกให้ผู้โดย "นั่งลง เอนหลังให้สบายและเพลิดเพลินไปกับการเดินทาง" ผมชอบประโยคนี้ครับ ฟังแล้วรู้สึกว่า อืม ใช่แล้ว เราควรจะมีความสำราญไปกับการเดินทางสินะ... ไม่ควรกังวลเรื่องอะไรแล้ว...

ในชีวิตจริงของเราก็คงคล้ายๆกับการเดินทางเหมือนกันนะครับ เราคงมีเป้าหมายกันทุกคน ต่างกันที่ของใครยาก ง่าย สูง ต่ำ หรือใกล้ ไกลเพียงไร แต่สุดท้ายที่ต้องทำก็คือเราต้องเดินทางครับ เราต้องผ่านเรื่องราวต่างๆ เราต้องลงมือทำอะไรต่างๆ ทั้งอย่างที่อยากทำ และอาจจะไม่ค่อยอยากทำเท่าไร แต่ไม่ว่าจะอย่างไร คงต้องทำด้วยความเพลิดเพลินครับ สนุกกับการกระทำ ดีกว่าที่จะมุ่งไปให้ถึงจุดหมายอย่างเดียว เครียดเปล่าๆครับ แล้วเวลาของชีวิตก็จะหมดไปอย่างรวดเร็วโดยที่เราไม่ได้สนุกกับ "ระหว่างทาง" เลยนะครับ

แล้วพบกันใหม่ครับ พรุ่งนี้จะพาลูกๆ ไปงานหนังสือที่ศูนย์สิริกิต์ครับ แล้วจะกลับมาเล่าให้ฟังครับผม สวัสดีครับ

วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2555

แคลเซียม แป้ง น้ำตาลและไขมัน

สวัสดีครับ

วันนี้ฟังรายการวิทยุเกี่ยวกับสุขภาพ เห็นว่าเป็นความรู้ที่มีประโยชน์ก็เลยเอามาฝากกันครับ เป็นรายการสนทนากับคุณหมอซึ่งจัดทุกเช้านะครับ เรื่องที่จะเอามาเล่าก็มีอยู่ว่า ความจริงแล้วเราไม่จำเป็นต้องไปกินแคลเซียมเสริมเลยนะครับ เรื่องของกระดูกพรุนเป็นปัญหาสุขภาพอันหนึ่งก็จริง แต่ในการดำเนินชีวิตประจำวันแล้ว ผู้สูงอายุควรระวังเรื่องการหกล้มหรือบาดเจ็บมากกว่าที่จะมัวไปห่วงแต่เรื่องกระดูกพรุนครับ และควรจะได้ออกกำลังกายบ้าง อย่างเช่นได้เดินตากแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าเป็นต้น เพราะนอกจากจะได้การสร้างวิตามินดีแล้ว กล้ามเนื้อก็ยังได้ใช้งานด้วย ซึ่งก็จะทำให้การยึดเกาะของกล้ามเนื้อกับกระดูกดีขึ้น ร่างกายก็แข็งแรงตามมาด้วย และการใช้แคลเซียมของร่างกายก็จะดีขึ้นไปด้วยอีกต่างหาก

อีกเรื่องนะครับ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการกินอาหาร และการสะสมไขมันในร่างกาย ปกติแล้วเวลาที่เราหิวมากๆ หรือร่างกายขาดพลังงานอย่างฉับพลันอย่างเช่นคนเป็นเบาหวานนะครับ ในช่วงเวลานั้นเราก็ควรกินพวกน้ำตาล อย่างเช่นขนมหวานหรือน้ำอัดลมครับ เพราะน้ำตาลจะให้พลังงานได้โดยตรงและในเวลาที่รวดเร็วกว่าพวกแป้ง คือน้ำตาลจะให้พลังงานในเวลาประมาณ 30 นาทีครับ ในขณะที่แป้ง เผือก มัน หรือพวกคาร์โบไฮเดรตจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าร่างกายจะได้รับพลังงานจากการย่อยอาหารพวกนี้ครับ

สำหรับการเปลี่ยนแป้งไปเป็นไขมันสะสมในร่างกายในกรณีที่ได้รับมากเกินไป (กินมากเกินความต้องการของร่างกาย) นั้น ขั้นตอนแรกแป้งจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกลูโคสก่อนครับ และถ้าร่างกายใช้ไม่หมดก็จะเปลี่ยนไปเป็นไขมันเก็บสะสมไว้ตามส่วนต่างๆของร่างกาย เช่น หน้าท้องเป็นต้นครับ ดังนั้นถ้าไม่อยากลงพุงมากๆก็คงต้องทานพวกแป้งและของหวานๆให้น้อยลงนะครับ อีกอย่างที่จำเป็นก็คือถ้าเราไม่อยากให้มันสะสมเป็นส่วนเกินเราก็ต้องใช้มันให้หมดก็คือต้องออกกำลังกายนั่นเองครับผม ไม่ยากใช่ไหมครับ ก็ตรงไปตรงมานะครับไม่มีอะไรซับซ้อนเลย

แถมอีกนิดสำหรับเรื่องกล้วยนะครับ กล้วยน้ำว้าปกติแล้วจะมีไฟเบอร์ที่ละลายในน้ำมากกว่ากล้วยอื่นๆนะครับ มากกว่ากล้วยหอมด้วย และย่อยง่ายกว่ากล้วยหอม ดังนั้นถ้าเลือกได้ก็ทานกล้วยน้ำว้าดีกว่า แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นเรื่องจำเป็นหรอกครับ ผมว่าใครชอบอะไรก็ทานไปเลย มีประโยชน์ทั้งนั้นแหละครับ เพียงแต่ว่ากล้วยหอมมันสวยกว่านะครับ ลูกยาว สีเหลืองสด...สวยมาก แต่ผมชอบรสชาติกล้วยน้ำว้ามากกว่า กล้วยนี่จัดว่าเป็นอาหารที่ใช้เวลาย่อยปานกลางครับ คือให้พลังงานเร็วกว่าพวกข้าว แป้งต่างๆ แต่ก็ช้ากว่าพวกผลไม้อื่นๆ แอปเปิ้ลก็เช่นเดียวกับกล้วย คือให้พลังงานออกมาช้ากว่าผลไม้อื่นๆเช่นกัน ก็เลือกเอาตามสบายนะครับ ชอบแบบไหน ก็ทานแบบนั้น ทุกอย่างมีประโยชน์ทั้งนั้นแหละครับ

สวัสดีครับ

วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2555

มีความหวังมาตั้งแต่สิบปีที่แล้วแต่ก็ยังไม่มา...

Photo: Butterfly with markings that look like "88"
                                          nationalgeographic.com
สวัสดีครับ

เมื่อประมาณสิบปีที่แล้วคุณหมอที่ผมไปรักษาด้วยบอกว่าอีกสิบปีน่าจะมีการค้นพบวิธีรักษาโรค VHL นี้ แต่จนป่านนี้ซึ่งก็สิบปีผ่านไปแล้วก็ยังไม่มีครับ การรักษาโรคนี้เท่าที่อ่านมามากๆ ผมเห็นว่าคงมีแต่ความหวังจากการศึกษาในระดับยีนเท่านั้นครับ ซึ่งต้องใช้เวลาและใช้เงินอีกเยอะ เงินทุนสำหรับการวิจัยครับ ซึ่งก็จะได้จากผู้บริจาคที่ทราบเรื่องราวของโรคนี้ ที่จริงแล้วความรู้จากการศึกษาเรื่องโรคมะเร็งและโรคอื่นๆอีกหลายโรค บางครั้งก็เป็นข้อมูลสำหรับการรักษาโรคนี้บ้างเหมือนกันนะครับ

การศึกษาเรื่องของสเต็มเซลล์กับโรค VHL นี้เริ่มมีมาเป็นสิบปีแล้วเหมือนกัน แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่พบวิธีการอยู่ดีครับ ล่าสุดวงการแพทย์ได้คาดการณ์ว่าการรักษาคงจะค้นพบในปี 2025 หรืออีก 23 ปีข้างหน้าครับ ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนไข้จะต้องเข้ารับการผ่าตัดอีกกี่ครั้งกัน...

แล้วพบกันใหม่ครับ สวัสดีครับ

วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2555

สเต็มเซลล์กับการรักษาโรค VHL (1)

สวัสดีครับ

ช่วงนี้กำลังเริ่มทำการค้นคว้าเรื่องของสเต็มเซลล์กับการรักษาโรค VHL ครับ ตอนนี้ก็เริ่มได้ข้อมูลมาบ้างแล้ว อย่างแรกสุดเลยก็คือรู้ว่าสเต็มเซลล์คืออะไร และมีบทบาทในการรักษาโรคได้อย่างไรบ้าง ผมไม่ได้รู้อย่างละเอียดหรอกครับ ก็รู้เพียงคร่าวๆ แบบหลักการเท่านั้น แต่ที่พยายามจะหาข้อมูลมาให้อ่านกันก็เพราะว่าตอนนี้การศึกษาเรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องหลักเรื่องหนึ่งของการศึกษาในระดับยีนเพื่อหาหนทางรักษาโรคนี้ครับ

หลักการทั่วไปนะครับ ก็คือว่าเราอาจจะใช้สเต็มเซลล์นี้ซ่อมแซมเนื้อเยื่ออวัยวะต่างๆที่เสียหายจากโรคนี้ครับ เพราะอย่างที่เราทราบ สเต็มเซลล์จะเข้าไปทำหน้าที่ของเซลล์ในอวัยวะต่างๆ เพื่อทดแทนส่วนที่เสียไปใช่ไหมครับ ถ้ายังไม่ลืมเรื่องของการรักษาแผลเบาหวานด้วยสเต็มเซลล์ก็จะเห็นว่าเค้าใช้สเต็มเซลล์นี้ให้เข้าไปเจริญเติบโตและทำหน้าที่เป็นเซลล์เนื้อเยื่อบริเวณนั้น ผลก็คือเติมเต็มบาดแผลครับ แล้วแผลก็หายสนิทได้

จากหลักการอย่างนี้ก็เชื่อกันว่าจะใช้สเต็มเซลล์ในการทดแทนอวัยวะส่วนที่เสียไป เช่น ไตที่ถูกตัดทิ้ง หรืออวัยวะอื่นๆ เป็นต้นครับ ที่สำคัญอวัยวะที่สร้างขึ้นมาใหม่นี้จะไม่เป็นโรค VHL อีกครับ ส่วนรายละเอียดของหลักการผมขอเวลาไปหามารายงานให้อ่านกันอีกทีนะครับ ตอนนี้ยังหาไม่เจอเลยครับ เพราะเป็นเรื่องทางวิชาการที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจงครับ จึงมีการศึกษากันน้อย และการเผยแพร่ข้อมูลก็ยิ่งน้อยลงไปอีก

เริ่มเห็นความหวังเลือนๆปรากฏขึ้นมาบ้างแล้วใช่ไหมครับ พบกันใหม่ครับ สวัสดีครับ

วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2555

สเต็มเซลล์กับการรักษาโรคหัวใจ

สวัสดีครับ สำหรับวันนี้ขอลอกเนื้อหามาจากเว็บของโรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ มาให้อ่านกันครับ เชิญเลยนะครับ

Stem cell สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
  1. เซลล์ต้นกำเนิดในตัวอ่อน (Embryonic stem cell)
  2. เซลล์ต้นกำเนิดในตัวเต็มวัย (Adult stem cell)
เซลล์ต้นกำเนิดจากตัวอ่อน ได้แก่ เซลล์ที่มาจากการผสมระหว่างอสุจิของเพศชายและไข่ของเพศหญิงจนเกิดเป็นตัวอ่อน (embryo) เซลล์ชนิดนี้ไม่นิยมใช้แพร่หลายเนื่องจากปัญหาทางจริยธรรม เซลล์ต้นกำเนิดอีกชนิดหนึ่ง ได้แก่ เซลล์ต้นกำเนิดในตัวเต็มวัย ซึ่งอาจได้มาจากไขกระดูก กล้ามเนื้อ หรือจากเลือด เซลล์เหล่านี้ยังมีความสามารถที่จะเจริญต่อไปเป็นเซลล์อื่นได้ตามอวัยวะที่เซลล์นี้ไปอยู่และเป็นเซลล์ที่เป็นที่ยอมรับว่าไม่ผิดจริยธรรมและมีการศึกษานำไปใช้อย่างแพร่หลาย
โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ ได้เลือกใช้เซลล์ต้นกำเนิด (stem cell) ชนิดที่ได้มาจากเลือดของผู้ป่วยเองในการรักษาโรคภาวะหัวใจวายและโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดในคนไข้มาแล้ว 26 ราย เซลล์นี้มีความปลอดภัยสูงและไม่ผิดหลักจริยธรรม เนื่องจากเป็นเซลล์ของผู้ป่วยเองและได้ผ่านการคัดแยกเซลล์ต้นกำเนิดออกจากเลือด แล้วนำไปเพิ่มจำนวนขึ้นจนมากพอสำหรับใช้ในการรักษา
ขั้นตอนได้แก่
เก็บเลือดจากผู้ป่วยจำนวน 250 ซีซี. ประมาณ 1 อาทิตย์ก่อนการผ่าตัด หลังจากกรรมวิธีพิเศษจะทำให้ได้เซลล์ประมาณ 2-50 ล้านเซลล์ในปริมาณ 15 ซีซี. เพื่อใช้ในการฉีดโดยการผ่าตัดใช้กล้องผ่านรูเล็กทางหน้าอกด้านซ้าย ก่อนการฉีดเซลล์ในรายที่กล้ามเนื้อตายและหัวใจวายจากการขาดเลือด ต้องทำการตรวจแบบสัมผัสภายนอก (noninvasive) ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Cardiac Magnetic Resonance Imaging หรือ CMR) ก่อนเพื่อหาบริเวณกล้ามเนื้อที่ยังไม่ตาย (viable) และกล้ามเนื้อที่ตายแล้ว (nonviable myocardium)
ในปัจจุบันมีผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยเซลล์ต้นกำเนิด (stem cell) เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ที่โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ โดยทั่วไปแล้วผลการรักษาอยู่ในเกณฑ์ที่มีความปลอดภัยสูงและได้ผลดีเป็นที่น่าพอใจมาก

สำหรับแนวทางในการรักษาโรค VHL คราวหน้าจะหามาเล่ากันนะครับ ก่อนจากกันต้องขอขอบคุณข้อมูลจากโรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพอีกครั้งครับ ผมเห็นว่าเผยแพร่สาธารณะแล้ว ก็เลยลอกเอามาให้อ่านกันได้ครับ

สวัสดีครับ

วันพุธที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2555

วันมาฆบูชา ไปทำบุญที่วัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์)

สวัสดีครับ

วันนี้หยุดงาน เลยไปทำบุญหล่อพระศรีอาริยเมตไตรย ที่วัดเขาวง สระบุรีมาครับ ที่วัดบรรยากาศดีมาก ต้นไม้เยอะ และอากาศเย็นสบายถึงแม้อากาศทั่วไปช่วงนี้จะร้อนอบอ้าวมากก็ตามครับ อีกอย่างกาแฟสดที่นั่นก็อร่อยมากๆด้วยครับ

วันนี้คนไปทำบุญเยอะมากเพราะเป็นวันพระใหญ่วันหนึ่งของชาวพุทธเราครับ แต่บรรยากาศโดยรวมก็ไม่ได้วุ่นวายอะไร เพราะทุกคนที่มาก็ตั้งใจมาทำบุญกันอยู่แล้ว ก็เลยสำรวมครับ ผมเพิ่งมาเป็นครั้งแรกและรู้สึกดี คราวหน้าถ้ามีโอกาสอีกก็คงจะไปอีกแน่นอนครับ

ขอให้ทุกท่านมีความสุขมากเป็นพิเศษในวันนี้นะครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ

วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2555

การใช้สเต็มเซลล์ ในการรักษาแผลเบาหวาน

Photo: Flowers


                                          ภาพจาก nationalgeographic.com
สวัสดีครับ

วันนี้มาว่ากันต่อถึงเรื่องของการใช้สเต็มเซลล์ในการรักษาแผลเบาหวาน ย้ำนะครับว่าเป็นการรักษาแผลเบาหวานไม่ใช่รักษาโรคเบาหวาน การรักษาโรคเบาหวานยังอยู่ในระหว่างการศึกษาครับ หวังว่าคงจะมีข่าวดีเร็วๆนี้นะครับ เพราะคนที่เป็นโรคเบาหวานนั้นตอนนี้ก็มีความหวังอยู่กับการรักษาไม่กี่วิธี เช่น กินยา ฉีดอินซุลิน และการควบคุมอาหาร รวมทั้งการออกกำลังกายด้วย หลายๆครั้งเราก็จะเห็นแนวทางการรักษาโดยใช้ยาสมุนไพรหรือวิธีการอื่นๆอีกมากมาย แล้วแต่ความเชื่อและประสบการณ์ของแต่ละคนครับ สำหรับผมตอนนี้ก็ทานยาที่แพทย์ให้มาและออกกำลังกายครับ หวังว่าจะช่วยควบคุมน้ำตาลได้บ้าง แต่จะว่าไปช่วงนี้ไม่ได้วัดน้ำตาลมาหลายอาทิตย์แล้วเหมือนกันครับ

สำหรับเรื่องการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเพื่อซ่อมแซมและเสริมสร้างเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายนั้น มีการใช้แล้วในหลายๆโรคอย่างเช่นที่ได้เขียนไว้เมื่อวาน วันนี้จะมาเน้นเรื่องการรักษาแผลที่เกิดจากโรคเบาหวานครับ แผลซึ่งคนที่เป็นเบาหวานทุกคนกลัวกันมาก เพราะเราคงจะได้ยินมาหลายๆครั้งกันแล้วว่าหลายๆกรณีผู้ป่วยต้องถูกตัดอวัยวะ เช่น นิ้วมือ นิ้วเท้าเป็นต้นครับ ดังนั้นข่าวการรักษาด้วยวิธีนี้ได้จึงเป็นความหวังอย่างสำคัญสำหรับผู้ป่วยทุกคนครับ

ส่วนใหญ่แผลเบาหวานเรื้อรังจะเกิดกับผู้ป่วยสูงอายุครับ เนื่องจากว่าผู้สูงอายุมักจะเคลื่อนไหวเชื่องช้าจึงมีโอกาสที่จะได้รับบาดเจ็บจากการใช้ชีวิตประจำวันนี่แหละครับได้ง่ายๆ เช่นการเปิดประตูแล้วมาโดนนิ้วเท้าเพราะชักเท้าหนีไม่ทัน หรือจากการเดินสะดุดเป็นต้น กรณีคุณพ่อผม (ยังไม่เป็นแผลเรื้อรัง) ครั้งนึงก็โดนมดตัวเล็กๆแดงๆมารุมกัดหลังเท้า มดเป็นหลายร้อยตัวเลยนะครับ แล้วพ่อก็ไม่รู้สึกอะไร แต่พอผมไปเห็นเท่านั้น ถึงกับตกใจ สะดุ้งเฮือกเลยครับ เพราะมันน่าสยดสยองมากที่เห็นมดมารุมกินหนังเท้าคุณพ่อ โชคดีที่ไปเห็นเร็ว ก็เลยมีแค่รอยถลอกๆ และวันเดียวก็หายเป็นปกติ

เข้าเรื่องเบาหวานต่อนะครับ การรักษาโดยใช้สเต็มเซลล์นี้จะต้องมีการป้องกันการติดเชื้อที่แผล การเพิ่มเลือดให้มาเลี้ยงแผล และการทานยารักษาระดับน้ำตาลไม่ให้เกิน 140 ร่วมด้วยครับ แล้วจึงจะมีการฉีดสเต็มเซลล์เพื่อให้สเต็มเซลล์นี้ไปทำหน้าที่ทดแทนเซลล์ที่เสียไป ซึ่งแผลก็จะหายได้สนิท แต่ถ้าเป็นแผลขึ้นมาใหม่อีกก็ต้องฉีดอีกนะครับ ไม่ใช่ครั้งเดียวจบเลย ปกติแผลจะหายในเวลาประมาณ 3 เดือนครับ แต่ถ้าเป็นแผลเล็กๆก็อาจจะแค่เดือนเดียว

สำหรับการได้มาของสเต็มเซลล์นี้ก็ได้จากการดูดจากเลือดที่แขนก็ได้ครับ โดยจะทำการกรองเอาสเต็มเซลล์เท่านั้น ส่วนน้ำเลือดที่เหลือก็ให้ไหลเวียนกลับเข้าไปคืนร่างกายของเราครับ สำหรับรายละเอียดคงไม่ได้ง่ายอย่างที่เขียนมานี้แน่ๆ ครับ คราวหน้าจะหามาเล่าให้ฟังใหม่ครับ

นอกจากนี้การใช้เทคนิกสเต็มเซลล์ในการรักษาโรคยังใช้กับโรคอื่นๆ (เพิ่มเติมจากเมื่อวาน) อีก เช่นรักษาโรคมะเร็งเม็ดโลหิตขาว (รูคีเมีย) โดยการปลูกถ่ายไขกระดูก โรคหัวใจ โรครูมาตอยด์ โรคด้านสมอง โรคด้านไขสันหลัง เป็นต้น

และที่สำคัญมากๆ คือที่โรงพยาบาลศิริราชเป็นที่แรกในโลกที่ใช้รักษาโรคทารัสซีเมีย (โลหิตจาง) ได้

เห็นมั้ยครับว่าคนไทยเราเก่งมากแค่ไหน โดยเฉพาะทางการแพทย์นะครับ ถ้าติดตามข่าวอยู่เรื่อยๆ ก็คงจะเห็นข่าวความก้าวหน้าทางการแพทย์ของไทย โดยเฉพาะที่โรงพยาบาลศิริราชอยู่บ่อยๆนะครับ

พบกันใหม่เกี่ยวกับสเต็มเซลล์กันคราวหน้าครับ สวัสดีครับ

วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2555

เซลล์ต้นกำเนิด (stem cell) ความหวังหนึ่งในการรักษา



                                      en.wikipedia.org

สวัสดีครับ

พยายามคิดอยู่นานว่าจะเอาอะไรมาเล่ากันดี เพราะถ้าต้องการเขียนทุกวันเรื่องที่จะเขียนก็จะไม่สามารถไปเอาเรื่องที่ต้องหาข้อมูลจำนวนมากๆมาได้ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องที่ไม่ต้องค้นคว้าอะไรมากนักและใช้เวลาในการแปลน้อย (ถ้าเป็นจากภาษาอังกฤษนะครับ) วันนี้พอคิดถึงเรื่องการรักษาโรคนี้ซึ่งก็ยังไม่มีการค้นพบเลย ก็พอดีนึกถึงเรื่องของวิทยาการทางการแพทย์ที่มีการค้นพบเรื่องสเต็มเซลล์ขึ้นมาครับ บางคนก็เรียกว่าเซลล์ต้นกำเนิด แต่ผมขอเรียกทับศัพท์ไปเลยก็แล้วกันนะครับ เพราะดูจะเป็นคำที่คนไทยเราก็คุ้นเคยกันดีทุกวันนี้ครับ

โรค vhl นี้ยังไม่สามารถรักษาได้นะครับ เท่าที่มีตอนนี้ก็มีแต่การผ่าตัด ผ่าตัดซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกว่าจะตายกันไปข้างนึง อาจจะฟังดูโหดร้ายแต่ก็เป็นเรื่องจริงครับ ที่จริงสเต็มเซลล์นี้ก็ยังไม่ใช่การรักษาโรค VHL นี้อยู่ดี เพียงแต่เป็นอีกหนึ่งความหวังครับ ที่คิดว่าน่าจะช่วยให้มีทางรักษาโรคนี้ได้ หลักการก็คือว่าจะใช้สเต็มเซลล์นี้ไปสร้างเนื้อเยื่อไปทดแทนเนื้อเยื่อที่เป็นโรคหรือเสียหายจากโรคครับ ซึ่งการศึกษาก็ดำเนินไปอย่างเข้มข้นตลอดเวลา

ฟังดูก็ดูเหมือนจะมีหนทางขึ้นมาบ้างแต่สำหรับโรคนี้ก็ยังไม่สำเร็จนะครับ ถึงแม้โรค vhl จะยังไม่สำเร็จแต่ก็มีการใช้เทคนิกนี้แล้วในโรคอื่นๆเช่น พาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์และโรคเบาหวานครับ ผมไม่แน่ใจว่าจะสามารถรักษาโรคที่ว่ามานี้ให้หายขาดได้เลยหรือเปล่า วันหน้าจะเอามาเล่าต่อนะครับ

สำหรับวันนี้ราตรีสวัสดิ์ครับ

วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2555

กาแฟดำ

สวัสดีครับ

ต่อกันอีกนิดนึงสำหรับเรื่องกาแฟของเวียดนาม อย่างที่บอกครับว่าคงไม่เอาเรื่องราววิชาการอะไรมาคุยกัน เพราะเรื่องอย่างนั้นหาอ่านกันได้จากเว็บไซต์ต่างๆอยู่แล้ว ผมคงเอามาเล่าเฉพาะที่ได้เจอมาเองนะครับ

ส่วนใหญ่แล้วคนเวียดนามที่รู้จักชอบกินกาแฟดำใส่น้ำตาลอย่างเดียวครับ เห็นน้อยมากที่จะใส่นมข้น จริงๆ แล้วสำหรับคนเวียดนามที่รู้จักยังไม่เคยเห็นใครสั่งกาแฟใส่นมเลยสักคน ถ้าเป็นบ้านเราก็ประมาณว่าชอบโอเลี้ยงอะไรอย่างนั้นครับ แต่ที่คิดว่ามีคนกินกาแฟใส่นมข้นก็เพราะว่ามีในเมนูทุกร้านกาแฟครับ ก็เลยคิดว่าคงมีคนกินแน่ๆ

นอกจากเรื่องกาแฟแล้ว สำหรับเรื่องนิสัยใจคอ คนเวียดนามเป็นคนที่มีอัธยาสัยดีครับ ถ้าคบใครเป็นเพื่อนแล้ว ก็จะให้ความสำคัญและจริงใจด้วยมากเลยครับ และเท่าที่เห็น ทุกคนจะขยันขันแข็งมาก เรื่องเรียนก็ตั้งใจกันจริงๆ มีเวลาว่างก็เข้าหาคอมพ์ ทำงานครับ เมื่อไม่นานมานี้มีการศึกษาเรื่องการอ่านหนังสือของประชากรในประเทศต่างๆ ปรากฎว่าคนเวียดนามอ่านหนังสือมากกว่าคนไทยอีกนะครับ พวกเราคงต้องกระตุ้นให้ลูกๆหลานๆ อ่านหนังสือกันให้มากขึ้นแล้ว เดี๋ยวจะมีความรู้น้อย สู้เค้าไม่ได้ครับ

ช่วงนี้ผมมีโปรแกรมเดินทางอยู่บ่อยๆ แล้วจะเอาเรื่องจากที่ที่ไปมาเล่าให้ฟัง (อ่าน) กันนะครับ

วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2555

กาแฟร้อน กาแฟเย็น ค่อยๆจิบ ใจเย็นๆ ความสุขอยู่ตรงหน้านี้เองครับ

marketthai.com
สวัสดีครับ ซิน จ่าว

การกินกาแฟที่เวียดนามนั้น เท่าที่ผมได้สัมผัสมาจะเป็นอะไรที่มีเสน่ห์มาก คือบรรยากาศการนั่งจิบกาแฟจะเป็นไปอย่างใจเย็นๆ สบายๆ นั่งคุยกันไปเรื่อยๆประมาณนั้นครับ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการชวนกันไปนั่งกินกาแฟระหว่างพักเบรคในวันทำงานตามร้านกาแฟใกล้ๆที่ทำงานซึ่งก็หาได้ง่ายมีอยู่ทั่วไปหมด แล้วแต่ความชอบในบรรยากาศครับ ส่วนรสชาติของกาแฟก็คล้ายๆกัน (สำหรับผมนะครับ)

ที่เห็นในรูปนี้คือกาแฟร้อนที่เอามาเสิร์ฟและกำลังรอให้มันหยดลงมาจากถ้วยอลูมิเนียม (หรืออาจจะเป็นสเตนเลสก็ได้) ที่อยู่ข้างบนครับ ในถ้วยข้างบนจะมีผงกาแฟคั่วบดอยู่และถูกปิดทับด้วยแผ่นอลูมิเนียม(หรือสเตนเลส) อีกที และมีน้ำร้อนเทใส่จากข้างบนครับ น้ำกาแฟจะค่อยๆหยดลงมาที่แก้วกาแฟที่รองอยู่ข้างล่างอย่างช้าๆครับ ก็ระหว่างนี้เราก็นั่งคุยกันไปเรื่อยๆครับ ไม่มีการรีบร้อนใดๆให้เสียอารมณ์พักผ่อนครับ แล้วพอกาแฟหยดลงมาได้ที่พอดี ก็ตามอัธยาศัยครับ ใครใคร่ดื่มก็ดื่ม ใครอยากรอต่อก็ตามสบาย ทีนี้ใครชอบหวานก็เติมนมข้นครับ ที่นั่นผมเห็นมีแต่นมข้นครับ ไม่เห็นมีการเติมพวกครีมหรือน้ำตาลนะครับ ยกเว้นพวกร้านกาแฟตามโรงแรมครับที่จะมีครีมกับน้ำตาลให้ด้วย ส่วนกาแฟเย็นก็แค่เอาส่วนที่เห็นนี่แหละครับเทลงไปในแก้วน้ำแข็ง ก็จะได้กาแฟเย็นแล้วครับ

รสชาติของกาแฟเวียดนามนั้นค่อนข้างจะเข้มและขมครับ ใครที่ไม่ชอบก็ต้องเทน้ำร้อนเพิ่มลงไป หรือเติมนมข้นเพิ่มขึ้นอะไรประมาณนี้ การจิบกาแฟก็จะจิบกันไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อนอะไร คุยกันไปด้วยเรื่อยๆ เสร็จแล้วก็กลับขึ้นมาทำงานหรือทำอะไรอื่นๆกันต่อไปครับผม หลายๆครั้งก็จะพากันไปนั่งกินที่ร้านกาแฟข้างทางเท้า ซึ่งจะมีเก้าอี้ตัวเล็กๆ ไว้ให้นั่ง ส่วนแก้วกาแฟก็วางบนโต๊ะเล็กๆ เตี้ยๆครับ นั่งจิบไป คุยไป ชมบรรยากาศรอบตัว มอเตอร์ไซค์วิ่งกันไปมา คนเดินผ่านไปผ่านมา (เฉียดไปเฉียดมา) ด้วย เพลินไปอีกแบบครับ

พรุ่งนี้เป็นวันหยุดแล้ว พักผ่อนกันให้สบายนะครับ แล้วคุยกันใหม่นะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2555

ร้านกาแฟเล็กๆที่มุมตึกในโฮจิมินห์เวียดนาม


สวัสดีครับ

วันนี้จะเล่าเรื่องกาแฟที่เวียดนามหน่อยนะครับ และอีกสองสามวันก็คงจะเป็นเรื่องกาแฟที่เวียดนามนี่แหละครับ แต่คงไม่ได้เขียนเชิงวิชาการหรอกครับ เรื่องเชิงวิชาการนั้นผมว่าหาอ่านง่ายอยู่แล้ว แค่เสิร์ชในอินเตอร์เน็ตแป๊บเดียวก็อ่านกันไม่ทันแล้วครับ แต่ที่ผมจะเขียนถึงก็จะเป็นประสบการณ์ตรงจากที่ได้ไปอยู่เวียดนามมาสามปี และยังได้กลับเข้าไปอีกหลายต่อหลายครั้งเนื่องจากงานนี่แหละครับ และสิ่งที่ชอบมากเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับเวียดนามก็คือรสชาติและบรรยากาศของการดื่มกาแฟนี่แหละครับ

เรื่องที่จะเล่าจะเป็นประสบการณ์ที่เวียดนามใต้หรือที่ไซ่ง่อนหรือโฮจิมินห์นะครับ เมืองไซ่ง่อนก็คือเมืองโฮจิมินห์ครับ อันเดียวกัน จริงๆแล้วก็มีโอกาสได้ไปเมืองอื่นๆอีกหลายแห่งอยู่เหมือนกันครับ แต่ถ้าพูดถึงเรื่องการกินกาแฟแล้ว ก็เหมือนๆกันครับ วิธีการเท่าที่ไปเจอมาก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกันมาก

เชื่อไหมครับว่าเวียดนามส่งออกกาแฟเป็นอันดับสองของโลก! เป็นรองแค่บราซิลที่เดียวครับ แต่อันนี้เป็นความจริงเมื่อประมาณสี่ห้าปีที่แล้ว ตอนนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ายังเป็นอย่างนั้นอยู่หรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามเราก็จะเห็นแล้วว่ากาแฟที่เวียดนามนั้นมีมากจริงๆนะครับ

ผมอยู่ที่เวียดนามกินกาแฟทุกวันครับ แถมบางวันก็สองแก้วอีกต่างหาก จะมีที่ไม่ได้กินก็ตอนที่กลับมาบ้านที่เมืองไทยนี่แหละครับ ซึ่งเฉลี่ยแล้วก็เดือนละครั้งครับ ครั้งนึงก็ประมาณห้าวันได้ ดังนั้นถ้าคิดง่ายๆก็อยู่เวียดนามสามร้อยวันต่อปี รวมแล้วกินกาแฟประมาณมากกว่าสามร้อยถ้วยต่อปี รวมสามปีก็พันกว่าถ้วยครับ ฮ่าๆ... เมากาแฟกันไปเลยนะครับ

ส่วนวิธีการกินและร้านกาแฟหรือบรรยากาศอะไรต่างๆ เอาไว้จะมาเล่าวันหลังนะครับ สำหรับวันนี้สวัสดีครับผม ซิน จ่าว...